การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 199 ขัดจังหวะ
บทที่ 199 ขัดจังหวะ
บทที่ 199 ขัดจังหวะ
หลังได้ยินคำพูดของถังซวงแล้ว จิงเจ้อหรงหันมาพูดกับเธอว่า “ในเมื่อเธอตัดสินใจว่าจะขึ้นเป็นผู้นำโถงยี่ชีที่เคยปกครองโดยคุณฉี ก็ไม่เลวนะ เขามีอำนาจในการจัดการเรื่องสำคัญหลาย ๆ อย่าง”
ถังซวงพยักหน้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะพูดต่อว่า “โถงยี่ชีเองก็ไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่เลวร้ายสร้างความเดือดร้อนอะไร และฉันก็ตั้งใจแล้วค่ะว่าจะนำพาทุกคนไปมีชีวิตที่ดีขึ้นและอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง”
“อืม ฉันเชื่อใจเธอ”
จิงเจ้อหรงวางใจถังซวงมาก แม้เธอยังเด็ก แต่ในสายตาของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าเธอสามารถเป็นผู้นำโถงยี่ชีได้
เฮ่อหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ซวงเอ๋อร์ ลูกไม่ได้อยากเป็นผู้นำของโถงยี่ชีใช่ไหม แต่ทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ?” เธอไม่คิดสนใจพลังอำนาจของโถงยี่ชีแม้แต่น้อย เวลานี้เธอห่วงเพียงว่าลูกสาวของตนจะเหนื่อยเกินไปสำหรับจัดการเรื่องทั้งหมด
สุดท้ายแล้วถังซวงไม่รู้จะพูดอะไร เธอเปลี่ยนใจด้วยเหตุผลหลายประการ และเหตุผลเหล่านี้จะทำให้เฮ่อหลานกังวลแน่ถ้ารู้เข้า
แต่โม่เจ๋อหยวนกลับมองถังซวงอย่างนิ่งเงียบ เพราะเขาคิดว่าเฮ่อหลานควรจะรู้เรื่องทั้งหมด
แน่นอนว่าถังซวงเข้าใจความหมายในแววตาของโม่เจ๋อหยวน และเธอก็คิดว่าแม่ควรจะรู้เรื่องทั้งหมด เช่นนี้เธอจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในก่างเฉิงและเรื่องของถังเจี้ยนกั๋วให้แม่ฟัง
“อะไรนะ… ตอนอยู่ที่ก่างเฉิงมีคนพยายามจับตัวลูกไปงั้นหรือ? ซวงเอ๋อร์ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้” สีหน้าของเฮ่อหลานเปลี่ยนไปทันที เมื่อนึกคิดว่าลูกสาวต้องพบเจอเรื่องร้ายแรง เธอกลัวจริง ๆ
“แม่คะ หนูไม่เป็นไร แล้วลุงไห่ก็ยังจัดการเรื่องทั้งหมดได้ ตระกูลซูไม่กล้ามารบกวนเราแน่นอน แต่ฉันจะบอกกล่าวกับคุณลุงในภายหลัง ให้เขาคอยจับตาดูตระกูลซูไว้”
เวลานั้นเธอเห็นว่าตระกูลซูไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ ดังนั้นจึงเข้าใจว่าเฟ่ยไห่ชางคงจะแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว แต่ถึงตระกูลซูจะไม่กล้าเคลื่อนไหว เธอก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องคิดทำอะไรกับตระกูลเฮ่ออย่างแน่นอน
“อืม ลูกต้องขอบคุณคุณลุงด้วยนะ”
หลังเห็นท่าทางเยือกเย็นของลูกสาว เฮ่อหลานที่กังวลมากในตอนแรกก็เริ่มสงบ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ลูกบอกว่าตอนนี้ถังเจี้ยนกั๋วอยู่ที่ไห่เฉิงงั้นหรือ แล้วเขายังอยู่กับคนที่มีอำนาจที่นั่นด้วย? คนอย่างเขา จะได้รับโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้ยังไงกัน”
ถังซวงไม่รู้ถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ เธอส่ายศีรษะอย่างหมดหนทาง “หนูก็ไม่รู้ แต่ว่าหนูจะสืบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเรา”
ก่อนเฮ่อหลานจะทันได้พูดอะไรต่อ จิงเจ้อหรงก็เอ่ยพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ฉันจะดูแลอาหลานเอง และจะไม่ปล่อยให้เธอต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายอะไรอีก”
เมื่อได้ยินว่าจิงเจ้อหรงพูดอย่างนั้นแล้ว แววตาของถังซวงฉายแววยินดี
“ค่ะ อย่างนั้นเรื่องความปลอดภัยของแม่ต้องรบกวนลุงจิงแล้วค่ะ”
ทว่าเฮ่อหลานกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าตนเองมักจะสร้างปัญหาให้กับจิงเจ้อหรงกับลูกสาวของตนอยู่เสมอ “ฉันดูแลตัวเองได้ และจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงค่ะ” และเมื่อนึกถึงว่าตนเองกำลังจะทำโรงงานเย็บปัก เธอก็จะต้องมีเรื่องให้ออกไปข้างนอกแน่นอน
“แต่ว่าฉันจะไปที่เมืองซูในอีกสองวันเพื่อคุยกับอาจารย์และศิษย์พี่เกี่ยวกับโรงงานเย็บปัก แต่ไม่ต้องกังวลกันมากเกินไป อีกอย่างถังเจี้ยนกั๋วก็อยู่ในเมืองไห่เฉิง ไม่ได้ใกล้กับเราสักหน่อย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเราที่นี่หรอก”
ถังซวงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แม่คะ เดี๋ยวหนูจะให้บางอย่างกับแม่ไว้ใช้ป้องกันตัว และต่อจากนี้แม่ต้องพกมันติดตัวตลอดเวลานะคะ”
เฮ่อหลานไม่ปฏิเสธ เธอพยักหน้ารับ “ตกลงจ้ะ แม่จะเอามันติดตัวตลอดเวลาเลย”
แต่จิงเจ้อหรงหันกลับมามองเฮ่อหลานพลางพูดว่า “งั้นผมจะไปเมืองซูกับคุณด้วย”
“เรื่องนี้… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไปคนเดียวได้” เธอรู้ดีว่าจิงเจ้อหรงยุ่งมากในแต่ละวัน และเธอไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเวลาไปด้วย
แต่จิงเจ้อหรงยกยิ้มก่อนจะตอบกลับ “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจัดการเรื่องสำคัญเสร็จแล้วก่อนหน้านี้ หลังจากนี้ผมมีเวลาว่างพอสมควรและพาคุณไปพบอาจารย์กับศิษย์พี่ได้ อีกอย่างผมก็อยากเจอพวกเธอด้วย”
เดิมทีเฮ่อหลานอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายแล้ว ใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณ… คุณจะไปพบอาจารย์กับศิษย์พี่ของฉันหรือคะ?” ซูเหนียนอวิ๋นคืออาจารย์ที่สั่งสอนทักษะงานปักให้กับเธอ และยังปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีราวกับเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวจริง ๆ แน่นอนว่าเธอคิดอยากพาจิงเจ้อหรงไปพบอาจารย์เช่นกัน
“ครับ ผมต้องการไปพบพวกเธอทั้งสองคน และเธอก็จะเป็นผู้อาวุโสของผมในอนาคตด้วย”
ถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นก้างขวางคอเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ ถังซวงจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่คะ ยังไงลุงจิงก็ว่างแล้ว งั้นแม่ก็ไปเมืองซูกับลุงจิงนะคะ ส่วนฉันกับพี่โม่มีเรื่องต้องไปจัดการก่อน”
ก่อนเฮ่อหลานจะทันได้พูดอะไร ถังซวงก็ลากโม่เจ๋อหยวนออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองออกไปด้านนอกแล้ว โม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ซวงเอ๋อร์ เธอเขินหรือไง?”
“ฉันไม่ได้เขิน แต่คิดว่าพวกเราสองคนกำลังขัดจังหวะพวกเขา”
“ฮ่า ๆ …”
ได้ยินอย่างนี้แล้วโม่เจ๋อหยวนก็หัวเราะออกมาทันที แต่เขาก็ยังอิจฉาจิงเจ้อหรงไม่หายที่อีกฝ่ายสมปรารถนา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะมองถังซวงด้วยแววตาสดใส ใบหน้างดงามของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง “ซวงเอ๋อร์… เธอ…”
ยังไงก็ตาม ก่อนที่โม่เจ๋อหยวนจะทันได้พูดจบ เสียงสดใสของถังเซวี่ยก็ดังขึ้น “พี่คะ พี่โม่ ทำอะไรกันอยู่ข้างนอก ไม่เข้าไปด้านในหรือ?”
เมื่อเห็นว่าถังเซวี่ยกลับมาแล้ว ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “วันนี้ไปไหนมาหรือจ๊ะสาวน้อย?”
เธอได้ยินว่าถังเซวี่ยออกไปข้างนอกกับเหรินอวี่ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่อย่างหยอกล้อ
ถังเซวี่ยหัวเราะคิกคักให้กับถังซวง
“คงจะเที่ยวเล่นไปครึ่งเมืองเวิงชานแล้วละมั้ง”
ถังเซวี่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะพูดว่า “ใช่ค่ะ เลขาเหรินคุ้นเคยกับเมืองเวินซานมาก และรู้ว่ามีอาคารสวย ๆ อยู่ตรงไหนบ้าง เขาพาฉันไปดูหลายที่มาก ฉันเลยได้รู้เรื่องต่าง ๆ มากมายในวันนี้ แล้วก็เกิดความคิดใหม่ ๆ ด้วย”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ “ถ้าได้รับความคิดใหม่ ๆ แล้วก็รีบบันทึกมันไว้ก่อนนะ”
“ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ตอนท้ายถังเซวี่ยนึกบางอย่างขึ้นได้ “พี่กับพี่โม่กำลังจะไปข้างนอกหรือคะ” เธอคิดว่าทั้งสองเพิ่งจะกลับมาจากข้างนอกเหมือนกัน
“ใช่ พี่กับพี่โม่มีเรื่องบางอย่างต้องทำน่ะ เดี๋ยวเราจะออกไปแล้ว”
“งั้นพี่รีบไปเถอะ”
หลังจากถังเซวี่ยพูดจบ เธอก็รีบตรงเข้าไปที่ประตู
ถังซวงมองโม่เจ๋อหยวนก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่โม่ เราก็ไปกันเถอะค่ะ” แต่ดูเหมือนเวลานี้สีหน้าของโม่เจ๋อหยวนแปลกไป เธอจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พี่โม่ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมสีหน้าของพี่ดูแปลก ๆ”
โม่เจ๋อหยวนรีบส่ายศีรษะอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตอบว่า “ไม่ล่ะ ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อย”
ความจริงแล้วโม่เจ๋อหยวนแค่เสียใจ เขาเกือบจะได้พูดมันออกไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันถูกขัดจังหวะเสียก่อน และเวลานี้ถังซวงมีอย่างอื่นต้องไปจัดการ มันจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงตามถังซวงออกไปข้างนอกด้วยกัน