การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 202 รักษาคำพูด
บทที่ 202 รักษาคำพูด
บทที่ 202 รักษาคำพูด
หลังถังซวงกลับไปที่ห้องของตนเองแล้ว เธอหยิบปากกาและกระดาษออกมาเพื่อเขียนใบสั่งยาสองสามรายการ เป็นเพราะเธอรับปากกับเจียงหงเหลียงว่าจะเขียนใบสั่งยาอีกสองสามรายการก่อนหน้านี้ แต่มีหลายอย่างที่ต้องทำ เวลาจึงผ่านล่วงเลยมานาน เวลานี้เมื่อนึกออกแล้วเธอรีบจดมันทันที
หลังจากใช้ความคิดอยู่นาน ในที่สุดถังซวงก็สามารถเขียนใบสั่งยาเสร็จสิ้นสองรายการ มันเป็นยาแก้ท้องเสียกับยาแก้พิษ
ถังซวงและคนอื่น ๆ ต่างยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง ดังนั้นลานแห่งนี้จึงกลายเป็นเงียบงัน
อีกด้านหนึ่ง เฮ่อหลานพาจิงเจ้อหรงไปที่เมืองซู และทั้งสองมาถึงบ้านของซูเหนียนอวิ๋นแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่อยู่ด้านในวิ่งเหยาะ ๆ ไปพร้อมกับตะโกนด้วยรอยยิ้ม “มาแล้ว ๆ”
เมื่อเกอชิงเหม่ยเห็นว่าเป็นเฮ่อหลานยืนอยู่ที่ประตู แววตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “อาหลาน ในที่สุดก็มาที่นี่สักที รีบเข้ามาก่อนเร็วเข้า” ขณะนั้นเองดวงตาของเธอเหลือบไปเห็นจิงเจ้อหรงที่ยืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นเหลือบมองเฮ่อหลานด้วยความสงสัย ก่อนจะหันมองจิงเจ้อหรงอีกครั้งอย่างอยากรู้อยากเห็น
เฮ่อหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกมองเช่นนี้ แต่สุดท้ายเธอก็เริ่มแนะนำอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “พี่คะ เขาคือจิงเจ้อหรง เอ่อ… เขาเป็น… คนรักของฉันค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าเฮ่อหลานแนะนำตนเองอย่างนี้ จิงเจ้อหรงถึงกับไม่สามารถหลบซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้ เขามองเกอชิงเหม่ยพลางพยักหน้าให้เธอก่อนจะพูดว่า “สวัสดีครับพี่สาว ผมชื่อจิงเจ้อหรง เป็นคนรักของอาหลานครับ”
ด้านเกอชิงเหม่ยที่ฟื้นขึ้นจากความตกตะลึง พลันตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ค่ะ สวัสดีค่ะ งั้นเชิญเข้ามาด้านในก่อนค่ะ”
หลังเกอชิงเหม่ยต้อนรับเฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงแล้ว เธอหันไปพูดกับซูเหนียนอวิ๋นว่า “อาจารย์คะ อาหลานกับคนรักของเธอมาพบคุณค่ะ”
เมื่อซูเหนียนอวิ๋นได้ยินเสียงจากด้านนอก เธอเดินออกมาเห็นเฮ่อหลานและจิงเจ้อหรง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความยินดี “อาหลาน มาแล้วหรือ” ขณะพูดอย่างนั้น เธอหันมองจิงเจ้อหรงอย่างสำรวจและพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อาหลาน คนรักของเธอดูดีมากเลย”
“อาจารย์คะ เขา… ชื่อว่าจิงเจ้อหรง คราวนี้เป็นโอกาสดีฉันเลยพาเขามาพบคุณค่ะ”
“เอาเถอะ ดีแล้ว ๆ ฉันค่อยโล่งใจหน่อยที่ได้เห็นว่าเธอมีครอบครัวที่ดี” หลังจากที่ซูเหนียนอวิ๋นทราบถึงการหย่าร้างของเฮ่อหลาน และเธอเองก็รู้เรื่องราวชีวิตของอีกฝ่ายดีเมื่อครั้งอยู่ในตระกูลถัง ความสงสารจึงก่อเกิดไม่มีสิ้นสุด ทว่าคราวนี้ได้เห็นลูกศิษย์ของตัวเองพบเจอผู้ชายที่ดี เธอเองก็ยิ่งรู้สึกดีใจไปด้วย
แต่ไม่ช้า ซูเหนียนอวิ๋นก็เริ่มกังวลอีกครั้ง
จิงเจ้อหรงคนนี้ไม่เพียงมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา แต่ยังโดดเด่นอีกด้วย ผู้ชายอย่างนี้เหมาะสมกับเฮ่อหลานจริง ๆ หรือ? ผู้หญิงที่อ่อนโยนและบอบบางอย่างเฮ่อหลานจะสามารถยืนเคียงข้างผู้ชายที่ยอดเยี่ยมคนนี้ได้จริงหรือเปล่า?
ถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนั้นในใจ ซูเหนียนอวิ๋นก็ไม่ได้แสดงออกไป เธอเพียงยกยิ้มแล้วพูดคุยกับเฮ่อหลาน
“อาหลาน แล้วทำไมถึงไม่พาซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ยมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
“อาจารย์คะ เด็กสองคนนั้นกำลังจะเปิดเรียนแล้ว ฉันเลยไม่ได้พาพวกเธอมาด้วย เดี๋ยวรอให้พวกเธอปิดเทอมก่อนแล้วฉันจะพามาหานะคะ”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว ซูเหนียนอวิ๋นก็หัวเราะก่อนจะพูดว่า “โอ้ ดูท่าฉันจะขี้ลืมจริง ๆ ลืมเรื่องโรงเรียนไปสนิทเลย เอาเถอะ ๆ สัญญากับฉันแล้วกันว่าเธอจะพาเด็กน้อยทั้งสองมาหาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ยังไงซะบ้านของเธอกับฉันก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก”
ขณะพูดอย่างนั้น ซูเหนียนอวิ๋นหันมองเกอชิงเหม่ยแล้วพูดว่า “ชิงเหม่ย รีบไปตลาดเร็วเข้า ซื้ออาหารมาเพิ่มสักหน่อย คืนนี้เราจะต้องต้อนรับอาหลานกับคนรักของเธออย่างดี”
“ค่ะ ฉันจะรีบไป”
หลังได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานก็รีบพูดว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ต้องซื้ออะไรมาเพิ่มหรอก พวกเรากินอะไรก็ได้”
“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ เธอไม่ได้มาที่นี่บ่อย ๆ ซะหน่อย ฉันจะต้องต้อนรับเต็มที่สิ”
เกอชิงเหม่ยยกยิ้มแล้วเดินออกไป
ซูเหนียนอวิ๋นจับมือเฮ่อหลานแล้วพูดต่อว่า “เอาเถอะ อาหลาน… พี่สาวของเธอกำลังจะไปซื้ออาหารเพิ่ม ฉันอยากให้เธอกินมื้อเย็นร่วมกัน แต่น่าเสียดายที่วันนี้เธอไม่ได้แสดงฝีมือการทำอาหาร”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ซูเหนียนอวิ๋นหันมองจิงเจ้อหรงก่อนจะพูดกับเขาสองสามคำ
จิงเจ้อหรงสุภาพต่อซูเหนียนอวิ๋นมาก เขาตอบคำถามของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
หลังจากเห็นท่าทีของจิงเจ้อหรงแล้ว ซูเหนียนอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้กับตัวเอง เธอพูดกับเขาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะสงสัยว่าเฮ่อหลานกับจิงเจ้อหรงพบกันได้อย่างไร “อาหลาน เรื่องของเธอกับคุณชายจิงเป็นมากันยังไงหรือ? ไปเจอกันตอนไหน?”
“อาจารย์คะ ความจริงแล้วเป็นซวงเอ๋อร์ค่ะที่ได้พบกับอาเจ้อก่อน”
เฮ่อหลานยกยิ้มก่อนจะเล่าเรื่องราวที่ตนได้รู้จักกับจิงเจ้อหรง และยังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจิงเจ้อหรงอย่างไม่ปิดบัง
หลังได้ฟังเรื่องราวแล้ว ซูเหนียนอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แล้ว… เขารู้จักเธอก่อนที่จะถูกคนพวกนั้นลักพาตัวไปหรือ?”
เฮ่อหลานเงียบ
เธอไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดคล้ายจะเป็นความจริง
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว จิงเจ้อหรงก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาจารย์ครับ ผมจะไม่ปล่อยให้อาหลานต้องตกอยู่ในอันตรายอีกแน่”
เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของจิงเจ้อหรงแล้ว ซูเหนียนอวิ๋นก็ไม่พูดอะไรเพียงพยักหน้ารับ “จำคำของตนให้ดี อย่าทำให้อาหลานต้องตกอยู่ในอันตรายอีก ก่อนหน้านี้ชีวิตของเธอลำบากมากเกินพอแล้ว ฉันหวังว่าหลังจากนี้เธอจะมีความสุขจริง ๆ เสียที”
“ครับ ผมจะไม่มีวันทำให้อาหลานต้องเจ็บปวดอีกแล้ว”
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงจริงจังเพียงใด ซูเหนียนอวิ๋นจึงไม่พูดอะไรต่อ
แต่เฮ่อหลานเอ่ยพูดขึ้นว่า “อาจารย์คะ ฉันไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณเลย ก่อนหน้านี้ฉันได้พบกับครอบครัวของคุณแม่ เราสามคนแม่ลูกไปที่เมืองก่างเฉิงในช่วงตรุษจีน ตอนนี้ชีวิตของพวกเราดีขึ้นมาก และฉันไม่ต้องลำบากอย่างที่ผ่านมาแล้วค่ะ”
ซูเหนียนอวิ๋นรู้เรื่องนี้แค่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ภายในต่าง ๆ ดังนั้นเธอจึงอยากรู้เรื่องราวของตระกูลเฮ่อมากขึ้น
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เกอชิงเหม่ยก็กลับมาจากการซื้อของ เธอรีบตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัวและวุ่นวายกับการทำอาหารจนหัวหมุน
ส่วนซูเหนียนอวิ๋นชำเลืองมองเฮ่อหลานก่อนจะเอ่ยพูดว่า “อาหลาน ไปช่วยพี่ของเธอปรุงอาหารสักหน่อยสิ”
แต่เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองจิงเจ้อหรง
ซึ่งเขาเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อาหลาน ไปเถอะครับ”
เมื่อเห็นใบหน้าผ่อนคลายของชายหนุ่มแล้ว เฮ่อหลานพลันลุกขึ้นพร้อมตอบกลับซูเหนียนอวิ๋นว่า “ค่ะ งั้นฉันขอตัวเข้าครัวก่อนนะคะ”
เมื่อเห็นท่าทีของเฮ่อหลาน ซูเหนียนอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย เธอรู้สึกเสมอมาว่าศิษย์คนนี้ยังคงน่าเป็นห่วงเสมอ เมื่อนึกอย่างนั้นแล้วเธอหันกลับมามองจิงเจ้อหรงอีกครั้ง
จิงเจ้อหรงรู้ดีว่าอาวุโสผู้นี้ต้องการคุยกับเขาตามลำพัง ใบหน้าของชายหนุ่มจึงเต็มไปด้วยความจริงจัง
ซูเหนียนอวิ๋นรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่เธอก็โล่งใจมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของจิงเจ้อหรง หลังจากนั้นเธอจึงเริ่มถามบางอย่างกับจิงเจ้อหรง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ “ฉันเห็นแล้วว่าคุณจริงใจกับอาหลานมาก หวังว่าในอนาคตคุณจะรักษาความจริงใจและมั่นคงเช่นนี้ไว้เสมอไป”
“อาจารย์ไม่ต้องห่วงเลยครับ ผมทำได้แน่นอน”
ซูเหนียนอวิ๋นไม่พูดอะไรอีกหลังจากได้ยินอย่างนั้น เพราะมันไม่สามารถตัดสินกันในเวลานี้ได้ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับอนาคต
ไม่นาน หลังจากเกอชิงเหม่ยและอาหลานทำอาหารเสร็จแล้ว ทั้งหมดเริ่มลงมือรับประทานอาหารร่วมกัน
เมื่อเห็นว่าเฮ่อหลานไม่ได้กินมากนัก จิงเจ้อหรงจึงเริ่มดูแลเรื่องการกินของเฮ่อหลานอย่างเอาใจใส่ เขาทั้งแกะเปลือกกุ้ง เอาก้างปลาออก และทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจ
เมื่อเห็นจิงเจ้อหรงทำตัวเช่นนี้ เกอชิงเหม่ยถึงกับรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ในใจ
แต่ซูเหนียนอวิ๋นกลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และเธอก็ปล่อยให้เฮ่อหลานกับจิงเจ้อหรงอยู่ในโลกของพวกเขาสองคนต่อไป