การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 203 เหมาเจียวเจียว
บทที่ 203 เหมาเจียวเจียว
บทที่ 203 เหมาเจียวเจียว
หลังจิงเจ้อหรงและเฮ่อหลานแยกกันไปพักผ่อน ซูเหนียนอวิ๋นก็ลากเกอชิงเหม่ยไปคุย
“ชิงเหม่ย น้องสาวของเธอโชคดีจริง ๆ ดูจากท่าทีของเสี่ยวจิงระหว่างมื้ออาหารนั่นสิ เห็นชัดว่าเขาเอาใจใส่อาหลานตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ฉันมั่นใจมากว่าเราสองคนควรเตรียมตัวให้พร้อม หากน้องสาวของเธอแต่งงานเมื่อไหร่ เราจะต้องทำชุดปักให้กับเธออย่างสุดฝีมือเลยนะ”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว เกอชิงเหม่ยก็ยกยิ้มพลางตอบกลับว่า “ค่ะอาจารย์ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วฉันก็คิดว่าจะเริ่มปักผ้าวันพรุ่งนี้เลยค่ะ”
“ฮ่า ๆ … ในฐานะพี่สาว ก็เหนื่อยหน่อยนะ”
หลังพูดคุยได้สักพัก ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
เช้าวันถัดมา เฮ่อหลานพูดคุยถึงเหตุผลที่มาเยี่ยมในคราวนี้
“อาจารย์คะ นี่เป็นเรื่องที่ฉันเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ งานปักเป็นงานฝีมือที่นิยมมากในเมืองก่างเฉิง เราขายมันได้แน่ค่ะ”
ในตอนท้าย แววตาของเฮ่อหลานเป็นประกาย สิ่งที่เธอกำลังจะทำไม่เพียงแต่จะสร้างเงินเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมงานปักให้คงอยู่ต่อไปอีกด้วย
ด้านซูเหนียนอวิ๋นพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อหลาน แต่เธอยังคงคิดกังวลและรู้สึกว่าพวกตนไม่สามารถดูแลโรงงานเย็บปักได้ด้วยตนเอง “อาหลาน ความคิดดีมาก แต่พวกเราจะสามารถสร้างโรงงานเย็บปักของตนเองได้หรือ?”
เฮ่อหลานไม่ได้นึกถึงสิ่งนี้เลยในคราวแรก
แต่เป็นเพราะซวงเอ๋อร์ที่เตือนเธอก่อนหน้านี้ “อาจารย์คะ แน่นอนว่าเราจะไม่ทำในนามของเรา เราจะขอให้หมู่บ้านเป็นคนทำให้ ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ คุณต้องการสร้างโรงงานเย็บปักในเมืองซูหรือเปล่าคะ?”
ซูเหนียนอวิ๋นโบกมือเมื่อได้ยินอย่างนั้นก่อนจะตอบกลับว่า “ฉันแก่แล้ว ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น และฉันเองก็ไม่อยากทำอยู่ที่นี่ด้วย แต่เธออุตส่าห์มาถึงที่นี่ แน่นอนว่าเธอต้องเป็นคนรับผิดชอบ ตอนนี้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับเธอแล้ว ทั้งการบริหารและการจัดการโรงงานทั้งหมด แล้วแต่อาหลานเลยนะ”
เกอชิงเหม่ยเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “ใช่แล้วอาหลาน อย่างมากที่สุดพวกเราก็ช่วยเย็บปักได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เราทำไม่ได้แน่นอน ต้องฝากเธอแล้ว”
เมื่อเห็นอาจารย์และพี่สาวพูดอย่างนั้นแล้ว เฮ่อหลานพยักหน้าตอบกลับ “ค่ะ อาจารย์ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะดูแลเรื่องนี้เอง และจะทำงานอย่างหนักเพื่อบริหารโรงงานเย็บปักของพวกเรา เพื่อให้ช่างปักที่มีฝีมือสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้”
“อืม… ฝากด้วยนะ”
ดวงตาของซูเหนียนอวิ๋นเปล่งประกาย เธอมองเฮ่อหลานอย่างภาคภูมิใจ ศิษย์ตัวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์และยังขยันเสมอ คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมองการไกลขนาดนี้ เธอไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับอีกต่อไป ทว่าเวลานี้เธอกลับมองไปถึงการเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นเสียแล้ว
จิงเจ้อหรงที่อยู่ด้านข้างมองเฮ่อหลานด้วยแววตาภูมิใจเช่นกัน
อาหลานทำงานหนักอย่างนี้ดูเหมือนจะมีรัศมีที่ทำให้ผู้คนหลงชื่นชมโดยไม่รู้ตัวจริง ๆ
หลังเฮ่อหลานได้รับการอนุญาตจากซูเหนียนอวิ๋น ความคิดในใจของเธอก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น “อาจารย์คะ พี่คะ พวกคุณคงจะรู้จักช่างเย็บปักที่มีฝีมืออยู่มาก คุณสามารถให้พวกเขาเข้ามาที่โรงงานเย็บปักได้เลยนะคะ ส่วนเงินเดือนนั้นขึ้นอยู่กับความขยันของพวกเขาค่ะ”
ซูเหนียนอวิ๋นยิ้มก่อนจะตอบรับ “ได้สิ ฉันจะติดต่อให้สองสามคน ถ้าพวกเขายินดี ฉันก็จะให้พวกเขาเตรียมตัวเลย”
“ขอบคุณนะคะอาจารย์”
เกอชิงเหม่ยกล่าวต่อ “น้องสาว ไม่ต้องกังวลไป ถึงฉันจะรู้จักช่างเย็บปักน้อยกว่าอาจารย์ เพราะฉันไม่ได้พบเจอผู้คนมากนัก แต่เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะออกไปพบเจอผู้คนและเสาะหาช่างเย็บปักมาให้แน่นอน”
“ค่ะ ขอบคุณพี่มากนะคะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งอาจารย์และพี่สาวเห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอ เฮ่อหลานก็ยิ่งมีความสุข แต่เธอก็รู้ดีว่ามีหลายสิ่งที่เธอต้องจัดการหากว่าเธอต้องการสร้างโรงงานเย็บปักจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเฮ่อหลาน จิงเจ้อหรงก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
“อาหลาน ถ้าอย่างนั้นในอนาคตคุณก็คงจะยุ่งมากแล้วละ และคงจะต้องเหนื่อยมากแน่”
เฮ่อหลานยกกำปั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า “ต่อให้มันจะเป็นงานหนัก แต่ก็คุ้มค่าแน่นอน ส่วนเรื่องการร่วมธุรกิจคงต้องรอให้คุณชายซ่างมาเห็นสถานที่ด้วยตนเอง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมาเมื่อไหร่”
“อาหลาน ไม่ต้องรีบร้อน มันไม่สายเกินไปที่จะพูดคุยเรื่องนี้หลังจากคุณชายซ่างมาถึงนะครับ”
เฮ่อหลานยกยิ้มแล้วพยักหน้า “ค่ะ ฉันรู้ ฉันจะไม่กินเต้าหู้ในขณะที่มันกำลังร้อนหรอก”
อีกด้านหนึ่ง ถังซวงและถังเซวี่ยที่มาอยู่ที่บ้านของหลี่จงอี้ วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนตื่นพร้อมกัน และมุ่งหน้าไปโรงเรียนอย่างที่เคย
“พี่คะ เราจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกแล้วนะ”
หลังได้ยินคำพูดของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงก็ยิ้มก่อนจะพูดว่า “เอาเถอะ ห้องชั้นมัธยมต้นปีที่ 1 กับชั้นมัธยมต้นปีที่ 3 ห่างกันนิดเดียว อย่าคิดมากเลย ถ้าเธอเลิกเรียนก่อนก็แค่รอพี่ แล้วถ้าพี่เลิกเรียนก่อนพี่ก็จะรอเธอ”
“ได้ค่ะ”
หลังได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้นแล้ว ถังเซวี่ยก็รู้สึกดีขึ้น
“เอาเถอะ เสี่ยวเซวี่ยเข้าห้องเรียนได้แล้ว ฉันเองก็จะไปเรียนแล้วเหมือนกัน”
“ค่ะ…”
ถังเซวียโบกมือให้กับถังซวงและโม่เจ๋อหยวน ก่อนจะตรงไปที่ห้องชั้นมัธยมต้นปีที่ 1
แต่โม่เจ๋อหยวนไม่ได้ไปที่ชั้นเรียนของตนทันที เขาเดินไปส่งถังซวงที่ชั้นมัธยมต้นปีที่ 3 ก่อน
เมื่อมองโม่เจ๋อหยวนที่ไม่ค่อยจะรีบร้อนอะไรนัก ถังซวงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “พี่โม่ ฉันเดินไปคนเดียวได้ พี่ไม่ต้องไปส่งฉันหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่นานหรอก”
โม่เจ๋อหยวนไม่คิดจะปล่อยให้เธอเดินไปคนเดียว เขาเดินไปส่งถังซวงที่ห้องเรียน หลังเห็นว่าเธอเดินเข้าไปในชั้นเรียนแล้ว เขาถึงหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียนของตัวเอง
ด้านหูปินที่เห็นถังซวงเข้ามา เขาโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดว่า “นักเรียนถังซวง ในที่สุดเธอก็มา” เวลานั้นเขาหันมองนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนแล้วพูดว่า “นี่คือเรื่องที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้ เธอเป็นนักเรียนสอบเทียบระดับย้ายมาที่ชั้นเรียนของพวกเรา ต้อนรับถังซวงกันดี ๆ ล่ะ”
ถังซวงเดินขึ้นไปที่แท่นกลางห้องท่ามกลางเสียงปรบมือจากทุกคน ก่อนจะกล่าวอย่างกระชับว่า “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อถังซวง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หลังได้ยินประโยคสั้น ๆ ของถังซวงแล้ว หูปินอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม ก่อนจะชี้ไปยังที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่แล้วเอ่ยพูดว่า “ถังซวง เธอไปนั่งตรงนั้นแล้วกัน”
ถังซวงชำเลืองมองเก้าอี้ที่ว่าง ด้านข้างคือสาวน้อยตัวเล็ก ดวงตากลมโต
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
หลังถังซวงนั่งลง หูปินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเริ่มชั้นเรียนทันที
ส่วนถังซวงที่อ่านหนังสือเรียนมาก่อนแล้ว เธอจึงไม่ได้ตั้งใจฟังบรรยายมากนัก
ชั้นเรียนจบลงอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเก็บหนังสือและกำลังจะเตรียมไปยังชั้นเรียนห้องถัดไป
แต่จู่ ๆ เหมาเจียวเจียวที่นั่งข้างเธอ ก็มองเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สวัสดีถังซวง ฉันชื่อเหมาเจียวเจียว หลังจากนี้เราจะนั่งด้วยกันนะ”
“สวัสดี ฉันถังซวง”
หลังทั้งสองแนะนำตัวต่อกัน พวกเธอก็ยกยิ้ม นับว่าเป็นความประทับใจแรกพบที่ดี
แต่ในทางกลับกัน เหมาเจียวเจียวรู้สึกสงสัยในตัวของถังซวง “ถังซวง ฉันได้ยินมาว่าเธอสอบเลื่อนระดับจากชั้นมัธยมต้นปีที่ 1 มาชั้นมัธยมต้นปีที่ 3 โดยตรง ทำไมเธอถึงเก่งจังเลย? ปกติเธอมีวิธีเรียนยังไงหรือ?”