การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 225 มุ่งมั่น
บทที่ 225 มุ่งมั่น
บทที่ 225 มุ่งมั่น
“อุ๊บ…”
ถังซวงไม่คิดมาก่อนว่าถ้อยคำของซ่างสยงเยี่ยจะน่าฟังอย่างนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเสียมารยาท
เหมือนกันกับเฮ่อหลานที่ยกยิ้มมุมปาก เธอต้องการจะหัวเราะเช่นกัน ทว่าอับอายเกินกว่าจะทำมันได้ จึงต้องอดกลั้นเอาไว้สักพัก อย่างไรเสียเธอก็ลอบคิดในใจว่าคงจะต้องพูดคุยกับซ่างสยงเยี่ยสักหน่อย ก่อนจะหันมองจิงเจ้อหรงแล้วพูดว่า “อาเจ้อ คุณไปทานข้าวเถอะค่ะ ส่วนฉันมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ แล้วเดี๋ยวหลังจากเสร็จงานแล้วฉันจะไปหานะคะ”
จิงเจ้อหรงไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อเขาเห็นเฮ่อหลานบอกว่ามีเรื่องต้องทำ เขาพลันนึกถึงบางสิ่งออกในทันที เวลานี้เขารู้แล้วว่าซ่างสยงเยี่ยคือใคร ผู้ชายตรงหน้านี้น่าจะเป็นคุณชายซ่างจากเมืองก่างเฉิงที่สนใจงานปักของเฮ่อหลานและต้องการซื้อมันในราคาสูง
เมื่อนึกอย่างนั้นแล้ว สีหน้าของจิงเจ้อหรงก็ผ่อนคลายลง เขายกยิ้มด้วยใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะตอบว่า “ครับ คุณไปทำงานเถอะ ผมจะรอนะ”
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงกลับมาเป็นเช่นเคยแล้ว เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันมองซ่างสยงเยี่ยแล้วพูดว่า “คุณชายซ่างคะ เราไปกันเถอะค่ะ”
ซ่างสยงเยี่ยมองจิงเจ้อหรงด้วยแววตาอ่านยาก ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเฮ่อหลานและถังซวง
เมื่อเห็นว่าเฮ่อหลานและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว จิงเจ้อหรงหันมองหยางซู่แล้วพูดว่า “เชิญกินกันตามสบาย ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ ขอตัวก่อน” หลังพูดจบแล้ว เขาเดินออกไปทันทีโดยไม่หันหลับมามอง
เมื่อเห็นอย่างนั้นหยางซู่รู้ทันทีว่าจิงเจ้อหรงกำลังโกรธ จึงรีบไล่ตามหลังเขาไป
เหม่ยหยิงตงมาที่นี่ในคราวนี้ก็เพื่อต้องการมาพบจิงเจ้อหรง แต่เมื่อเธอเห็นว่าเขากำลังจะจากไป เธอก็รีบติดตามไปเช่นกัน ส่วนหลี่ว์ตานเห็นอย่างนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ ตามแม่ของตนไปอีกคน
ส่วนหลิวปิงที่เห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว เขาส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะหันมองฟ่านเป่าหลงแล้วพูดว่า “คงไม่มีอะไรหรอก แต่หยางซู่ก็ทำไม่ถูก เขาชวนพวกเรามากินข้าวแต่กลับชวนสองคนนั้นมาด้วย โกหกกันซะอย่างนั้น…” แม้เขาจะไม่รู้จักเหม่ยหยิงตง แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ฟ่านเป่าหลงหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้นและกล่าวต่อว่า “หยางซู่กับเจ้อหรงมาจากเมืองหลวงเหมือนกัน พวกเขาคงจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นพอสมควร แต่ฉันก็ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้อหรงจะโกรธขนาดนี้ อีกอย่างเขาก็รู้ว่าเจ้อหรงมีคนรักแล้ว แต่ก็ยังทำอย่างนี้อีก ไม่แปลกหรอกถ้าเจ้อหรงจะโกรธ”
ใช่ ตอนนี้จิงเจ้อหรงโกรธมาก
เขามองหยางซู่ที่วิ่งตามหลังมาก่อนจะพูดว่า “ไปให้พ้น!”
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของจิงเจ้อหรง หยางซู่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าสองแม่ลูกไม่ค่อยได้มาที่เมืองเวิงชานเท่าไหร่ และพวกเขาก็ไม่ได้พบเจอกันนานแล้ว มันคงไม่เป็นไรหากพวกเขาจะรับประทานอาหารร่วมกัน แต่ใครจะไปคิดว่าวันนี้จะบังเอิญได้พบกับเฮ่อหลาน… อีกอย่างพอเหม่ยหยิงตงได้พบเจอสองแม่ลูก ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีปัญหากันกับอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้ด้วย สิ่งที่เขาทำลงไปวันนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
“อาเจ้อ ไม่ว่างานจะด่วนแค่ไหน แต่เราก็ควรจะกลับไปหลังจากทานข้าวก่อนนะ เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
แม้เหม่ยหยิงตงจะตามทัน ทว่าได้ยินคำพูดของหยางซู่ก่อนจึงจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ “อาเจ้อ ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหนก็ต้องทานข้าวนะคะ รีบเข้าไปเถอะค่ะ”
หลังจิงเจ้อหรงได้ยินอย่างนั้น เขาหันกลับมามองเหม่ยหยิงตง
“คุณเหม่ย ผมเคยบอกไปแล้วว่าอย่าเรียกผมว่าอาเจ้อ ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้สนิทสนมมากพอจะให้คุณเรียกผมอย่างนั้น”
“คุณ…”
เหม่ยหยิงตงลืมเลือนเหตุการณ์คราวนั้นไปแล้ว แต่เมื่อจิงเจ้อหรงพูดขึ้นมา เธอพลันนึกถึงสิ่งที่ชายตรงหน้าเคยปฏิเสธเธออย่างไม่ไยดี เธอแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดจึงตอบกลับออกไปว่า
“เมื่อก่อนพวกเราสองคนเคยสนิทสนมกันมากแท้ ๆ แต่ทำไมตอนนี้…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เหม่ยหยิงตงจะทันได้พูดจบ จิงเจ้อหรงก็ขัดจังหวะเสียก่อน
“คุณเหม่ย พูดจาให้เกียรติตัวเองหน่อยเถอะครับ เราสองคนแค่หมั้นกันเท่านั้น พูดตามตรงผมไม่เคยรู้จักคุณเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้”
เหม่ยหยิงตงมองท่าทีเย็นชาและไร้ความเห็นใจของจิงเจ้อหรงในตอนนี้ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในความคิดของเธอคือท่าทีอ่อนโยนและเอาใส่ใจของเขาเมื่อยืนเคียงข้างเฮ่อหลานก่อนหน้านี้ การกระทำที่แตกต่างมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
หยางซู่เองก็เห็นชัดแล้วว่าจิงเจ้อหรงเกลียดเหม่ยหยิงตงมากแค่ไหน เวลานี้เขาทั้งประหลาดใจและสับสน
เหม่ยหยิงตงเคยสนิทสนมกับจิงเจ้อหรงมาก่อน แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
จิงเจ้อหรงไม่สนใจพวกเขาพร้อมเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง เขาคิดใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่อาหลานและคนอื่น ๆ กำลังรับประทานอาหารกลับไปพักผ่อนสักหน่อย แล้วค่อยกลับมารับพวกเขาภายหลัง
เมื่อเหม่ยหยิงตงเห็นว่าจิงเจ้อหรงจากไปแล้ว เธอจึงเม้มปากแน่นด้วยแววตาหม่นหมอง
ทว่าหยางซู่กลับเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสับสน “หยิงตง ระหว่างคุณกับอาเจ้อมันเกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่คุณหรือที่บอกผมว่าคุณไปที่บ้านตระกูลจิงอยู่บ่อย ๆ แล้วยังสนิทสนมกับตระกูลจิงด้วย แต่ทำไมอาเจ้อถึง…” เพราะคำพูดของเหม่ยหยิงตงทำให้เขาคิดว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลจิง
“วันนี้อาเจ้อคงจะอารมณ์ไม่ดีละมั้ง”
เหม่ยหยิงตงไม่คิดตอบคำถามหยางซู่ตามตรง เธอจึงแก้ตัวไปอย่างนั้น
แต่หยางซู่ไม่เชื่อคำพูดของเธออีกแล้ว ถ้าทั้งสองสนิทสนมกันจริง ๆ จิงเจ้อหรงคงไม่มีท่าทีอย่างนี้แน่นอน เพราะเขาต้องเห็นแก่หน้าของครอบครัวด้วย
“หยิงตง ในเมื่ออาเจ้อไปแล้ว งั้นผมก็ขอตัวลากลับก่อนแล้วกัน”
เมื่อพูดจบหยางซู่ก็รีบออกไปทันที เขารู้สึกว่าการทะเลาะกับจิงเจ้อหรงเมื่อครู่นี้มันยังไม่จบ เขาคิดจะพูดคุยกับอีกฝ่ายให้เข้าใจ แม้ทั้งสองจะมาจากเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ตระกูลหยางไม่สามารถเทียบเทียมกับตระกูลจิงได้ ดังนั้นเขาทนไม่ได้แน่ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิงเจ้อหรงต้องหยุดลงเพียงเท่านี้
เมื่อเห็นหยางซู่จากไป เหม่ยหยิงตงก็เผยสีหน้าที่แท้จริงออกมา
“บ้าจริง ดูเหมือนเรื่องราวจะร้ายแรงกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
เธอเคยคิดว่าไม่ว่าถังซวงจะทำได้ถึงขนาดนี้ แม่ของเธอก็เป็นแค่สาวบ้านนอกที่เรียบง่ายและอ่อนแอ ผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับจิงเจ้อหรงสักนิด ทว่าคราวนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองประมาทเกินไป ไม่คิดเลยว่าเฮ่อหลานจะมีอิทธิพลกับจิงเจ้อหรงขนาดนี้
หลี่ว์ตานมองแม่ของตนด้วยความกระวนกระวาย “แม่คะ เราจะทำยังไงกันต่อดีคะ? ดูเหมือนลุงจิงจะไม่ชอบพวกเราแล้ว”
เมื่อนึกถึงท่าทีของจิงเจ้อหรงที่ปฏิบัติกับพวกเธอและปฏิบัติต่อเฮ่อหลานและถังซวงแล้ว ทำให้หลี่ว์ตานยิ่งกังวล คราวนี้เธอและแม่มาที่เมืองเวิงชานเพราะไม่มีทางอื่นแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
เหม่ยหยิงตงหันมองลูกสาวด้วยแววตามุ่งมั่น “ไม่หรอก มันต้องมีทางอื่นสิ จิงเจ้อหรงเคยเป็นคู่หมั้นของแม่ เขาจะเป็นสามีและพ่อของลูกในอนาคต!”
เมื่อเห็นท่าทีมุ่งมั่นของแม่ตัวเองแล้ว หลี่ว์ตานก็ผ่อนคลายลง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเฮ่อหลานและคนอื่น ๆ นั่งลงบนโต๊ะอาหารก็เริ่มมาจัดวาง
“คุณชายซ่างคะ ลองทานจานนี้ดูสิคะ นี่เป็นจานขึ้นชื่อของเมืองเราเลย ไม่รู้ว่าคุณจะชอบมันหรือเปล่า…”