การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 241 มันเป็นใคร - บทที่ 245 ไร้ความปรานี
- Home
- การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย
- บทที่ 241 มันเป็นใคร - บทที่ 245 ไร้ความปรานี
บทที่ 241 มันเป็นใคร
บทที่ 241 มันเป็นใคร
จูหมิงฟูนึกถึงข่าวที่เขาได้รับ ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด แต่เขาจะไม่พูดในสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนเด็ดขาด เช่นนั้นจึงพูดเบา ๆ ว่า “มีคนขอให้เราสองคนมาที่นี่ ผมเลยพาคุณมาด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหม่ยหยิงเต๋อยิ่งทวีความสงสัย
“ใครกัน? แล้วเขานัดเรามาที่นี่หรือครับ?”
“เข้าไปก็รู้เอง”
จูหมิงฟูเดินนำหน้า ตอนนี้เขาสงสัยว่าเหม่ยหยิงตงอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเขายิ่งเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงหอบอย่างหนักหน่วงจากห้องด้านหน้า
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าของจูหมิงฟูชาวาบ
ส่วนเหม่ยหยิงเต๋อไม่คิดว่าจะเป็นเสียงของน้องสาวตนเอง เขารู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะทำเรื่องนี้ในเวลากลางวันแสก ๆ
“นี่… ใครกันที่นัดพวกเรามาที่นี่ ทำไมถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้”
จูหมิงฟูหันศีรษะกลับมามองเหม่ยหยิงเต๋อด้วยแววตาฉงนก่อนจะถามเบา ๆ ว่า “คุณชายเหม่ย คุณคิดว่าเป็นเสียงของคุณเหม่ยไหมครับ?”
นับตั้งแต่เขาทราบข่าว เวลานี้เขาลองถามออกไปอย่างระมัดระวัง และเขารู้สึกว่านี่เป็นเสียงของเหม่ยหยิงตงที่เขาเคยพบเจอมาก่อนหน้านี้
“อะ… อะไรนะ…”
เมื่อเหม่ยหยิงเต๋อได้ยินอย่างนั้น ร่างกายของเขาชะงักค้างก่อนจะส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงครับ หยิงตงอยู่ที่บ้าน คนที่อยู่ด้านในไม่ใช่เธอแน่”
ยังไงซะ ทันทีที่เหม่ยหยิงเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านใน
“คุณเหม่ยครับ ผมไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่ดูสูงส่งอย่างคุณจะทำได้ขนาดนี้ รสชาติของคุณยอดเยี่ยมจริง ๆ ผมชอบมาก”
“อ๊ะ…”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหม่ยหยิงเต๋อรู้สึกว่ามีบางอย่างระเบิดขึ้นในใจ เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่ด้านในคือเหม่ยหยิงตงน้องสาวของเขาจริง ๆ? แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ในห้องนี้กับผู้ชายแปลกหน้า? นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อนึกคิดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเหม่ยหยิงเต๋อก็ฟื้นคืนสติ เขาส่ายศีรษะแล้วพูดว่า
“หมิงฟู นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ครับ อาจมีคนได้ยินเรื่องที่ครอบครัวของเราสองคนกำลังจะแต่งงาน ดังนั้นเลยสร้างเรื่องเพื่อทำลายงานแต่ง น้องสาวของผมไม่มีวันทำเรื่องอย่างนี้เด็ดขาด เธอเกิดในเมืองหลวง ทุกคนล้วนแต่รู้ว่าเธอสง่างาม ใจกว้าง อ่อนโยน และยังสุภาพ เธอย่อมไม่มีวันทำเรื่องน่าอับอายอย่างนี้แน่”
“อืม… คุณชายเหม่ยอย่าเพิ่งปฏิเสธเลยครับ เราเข้าไปดูกันเถอะ”
เมื่อได้ยินจูหมิงฟูพูดอย่างนั้น เหม่ยหยิงเต๋อรีบขวางทางเพื่อหยุดเขา
“หมิงฟู อย่าเข้าไปขัดจังหวะคนที่อยู่ด้านในเลยครับ”
อย่างไรก็ตาม จูหมิงฟูมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อสืบทราบความจริง ดังนั้นเขาจึงไม่จากไปพร้อมชำเลืองมองชายที่ตามมา และก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเตะประตูที่ปิดอยู่ให้เปิดออก
ชายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านในตกใจพร้อมตะโกนเสียงดัง “พวกแกเป็นใคร เข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตงั้นหรือ?”
เวลานี้ยาในร่างกายของเหม่ยหยิงตงหมดฤทธิ์แล้ว เธอกำลังผลักผู้ชายตรงหน้าออก แต่ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก และเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หลังประตู เธอกรี๊ดลั่นพร้อมกับรีบดึงผ้านวมมาคลุมร่างกายไว้ ในขณะเดียวกันก็ผลักชายตรงหน้าออก
ชายคนนั้นตกใจเพราะเห็นว่ามีคนมากมาย เขาถอยออกพร้อมกับรีบหาอะไรมาคลุมตัว
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ก็เพียงพอแล้วที่ผู้ยืนหลังประตูจะเห็นสถานการณ์ด้านใน
ส่วนเหม่ยหยิงเต๋อที่เห็นน้องสาวของตนกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับชายคนอื่นในเวลากลางวันแสก ๆ และถูกจับได้โดยจูหมิงฟู เขาก็รู้สึกหน้ามืดจนแทบจะเป็นลม ตระกูลเหม่ยของเขาไม่เคยมีเรื่องไหนที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อน
จูหมิงฟูที่อยู่ด้านข้างเห็นเหม่ยหยิงตงชัดเจน
แม้ว่าเขาจะได้รับข่าวนี้ในตอนเช้า แต่เมื่อเขาเห็นเหม่ยหยิงตงหลับนอนกับชายอัปลักษณ์ เขากลับรู้สึกโกรธอย่างน่าประหลาดใจ เขาเกือบจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แล้ว หากรอจนกระทั่งแต่งงานแล้วได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของเธอ วันนั้นเขาจะต้องขยะแขยงขนาดไหน แล้วเวลานั้นมันสายเกินไปแล้วที่จะรู้ความจริง
“ไม่คิดจริง ๆ ว่าคุณเหม่ยจะเป็นคนอย่างนี้ ดังนั้นลืมเรื่องงานแต่งงานของเราไปได้เลย”
เหม่ยหยิงตงไม่ได้สนใจจูหมิงฟูมากนัก และรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าจิงเจ้อหรงในทุกอย่าง
ทว่าเวลานี้เธอถูกจิงเจ้อหรงปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ถ้าเธอถูกจูหมิงฟูปฏิเสธอีก เธอคงจะรู้สึกอัปยศเกินกว่าที่จะไปเชิดหน้าชูตาสู้ใครได้
“คุณชายสามเข้าใจผิดแล้วค่ะ ผู้ชายคนนี้หลอกให้ฉันมาที่นี่ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น รีบจับเขาเร็วเข้า เขาหลอกฉันมา”
หลังได้ยินอย่างนั้น ชายอัปลักษณ์ถึงกับไม่พอใจ
“หลอกอะไร? เธอเป็นคนขอให้ฉันมาแท้ ๆ? ทำไมถึงโกหกหน้าด้าน ๆ อย่างนี้ล่ะ แล้วดูที่เธอทำลงไปสิ กล้าพูดไหมว่านั่นคือการขัดขืน? อย่ามาโกหกหน้าด้าน ๆ แบบนี้เลย ฉันจะไปหลอกเธอได้ยังไง”
“แกโกหก!”
เหม่ยหยิงตงมองชายตรงหน้าด้วยแววตาเคียดแค้น เธอต้องการฉีกร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ
“หืม… ก็เธอเป็นคนขอให้ฉันมาที่นี่ แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมรับซะอย่างนั้น ทำไมไม่พูดความจริงออกมาล่ะ”
ชายอัปลักษณ์ยังคงใช้สายตาเหยียดหยามและดูถูกเหม่ยหยิงตง
“แก…”
เหม่ยหยิงตงอยากจะบอกเกี่ยวกับเปาลี่ผิง แต่ถ้าเธอพูดถึงเขา อีกฝ่ายก็จะพูดเรื่องของเธอ และเมื่อนั้นทุกคนก็จะรู้ว่าเธอเคยทำอะไรลงไปบ้าง
หลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เหม่ยหยิงตงก็ไม่พูดอะไรต่อ
เมื่อเห็นเหม่ยหยิงตงไม่อธิบายอะไรต่อ เหม่ยหยิงเต๋อก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ
“หยิงตง บอกฉันมาให้หมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น รีบอธิบายให้หมิงฟูเข้าใจเดี๋ยวนี้”
อย่างไรเสียเวลานี้จูหมิงฟูไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของเหม่ยหยิงตงอีกแล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม เหม่ยหยิงตงได้กระทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติลงไปแล้ว มันจึงไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“คุณชายเหม่ย ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรแล้วครับ งานหมั้นระหว่างครอบครัวเราจะถูกยกเลิก ผมจะกลับไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่เอง”
หลังพูดจบ คุณชายจูออกไปทันที
“หมิงฟู… คุณชายสาม…”
เหม่ยหยิงเต๋อตะโกนเรียก แต่เมื่อเห็นจูหมิงฟูไม่หยุดฝีเท้า เขาจึงตระหนักได้ว่าตนไม่สามารถรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้
หลังจูหมิงฟูจากไป สุดท้ายเหม่ยหยิงเต๋อหันมองเหม่ยหยิงตงด้วยความโกรธ
“หยิงตง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงทำตัวแบบนี้!”
เหม่ยหยิงตงค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นกลอุบายเพื่อให้ตระกูลเหม่ยไม่ได้สานสัมพันธ์กับตระกูลจู
“พี่รอง มีคนวางแผนไม่ให้ครอบครัวของเราแต่งงานกับตระกูลจูค่ะ”
เมื่อเหม่ยหยิงเต๋อได้ยินอย่างนั้น เขาก็รู้สึกตัว ก่อนจะเผยความโกรธผ่านสีหน้า
“ใครกันที่มันต้องการทำลายการแต่งงานของตระกูลเรากับตระกูลจู?”
——————————————
บทที่ 242 จุดจบของสองแม่ลูก
ใบหน้าของเหม่ยหยิงตงพลันมืดมน และนึกไปถึงศัตรูทั้งหมดที่มี ทว่าก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนทำ
แต่โชคดีที่ผู้ลงมือยังคงอยู่ตรงหน้า เธอจึงไม่พูดอะไรต่อก่อนจะหันมองเหม่ยหยิงเต๋อแล้วเอ่ยปาก “พี่รองคะ รีบจับตัวคนที่รังแกฉันไว้เร็วเข้า ฉันต้องการสืบสวนมันโดยละเอียดว่าใครเป็นคนส่งมาที่นี่”
หลังได้ยินอย่างนั้น เหม่ยหยิงเต๋อพยักรับหน้าอย่างรีบร้อน “อืม ฉันจะจับมันเอง”
วันนี้เหม่ยหยิงเต๋อมาที่นี่พร้อมกับจูหมิงฟูเพียงคนเดียว หากเขาคิดจะจับกุมใครสักคน เขาจึงต้องทำมันด้วยตัวเอง
ยังไงเสีย ชายศีรษะใหญ่และหูกางคนนี้แม้จะดูโง่เง่าและเฉื่อยชา ทว่ากลับวิ่งเร็วมากเสียอย่างนั้น ก่อนที่เหม่ยหยิงเต๋อจะทันได้จับกุมอีกฝ่าย เขาก็วิ่งหนีไปซะแล้ว
“พี่รอง รีบตามมันไปเร็วเข้าสิ!”
ใบหน้าของเหม่ยหยิงตงมืดมนเมื่อเห็นว่าพี่รองของตนไร้ประโยชน์ขนาดไหน
“ได้ ฉันจะตามมันไปเอง”
หลังได้ยินคำสั่งเหม่ยหยิงเต๋อรีบวิ่งตามไป ส่วนเหม่ยหยิงตงรีบใส่เสื้อผ้า ทว่าเธอไม่ได้ไล่ตามออกไปด้านนอก เพราะเธอรู้ดีว่าต่อให้ไปก็คงวิ่งไล่ตามไม่ทัน ดังนั้นเธอจึงยังอยู่ที่นี่เพื่อมองหาเปาลี่ผิงและสอบถามว่าอีกฝ่ายหายไปไหนมา
หลังค้นหารอบ ๆ แล้วเหม่ยหยิงตงก็ยังไม่พบใคร เหลือเธอเพียงคนเดียวที่นี่
“รอก่อนเถอะ อย่าให้ฉันเจอนะ!”
น้ำเสียงของเหม่ยหยิงตงฟังดูเคียดแค้น ในใจของเธอคิดอยากจะสับเปาลี่ผิงออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ทว่าก่อนที่เธอจะออกจากที่นี่ เหม่ยหยิงเต๋อก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับหอบหายใจเหนื่อย “หยิงตง หมอนั่นวิ่งเร็วเกินไป ฉันตามไม่ทัน”
“พี่รอง พี่นี่มัน…”
เหม่ยหยิงตงไม่คิดพูดให้จบประโยค เธอรู้ดีว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการรักษาหน้าตาของตัวเอง และเธอต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบนี้
ขณะเดียวกันเธอก็ต้องค้นหาเปาลี่ผิงพร้อมกับชายอัปลักษณ์คนนั้น เพื่อคาดคั้นให้ได้ว่าใครเป็นคนส่งมันมาทำร้ายเธอ
“พี่รอง รีบกลับบ้านกันเถอะค่ะ เราต้องขอให้ที่บ้านช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ ยังไงซะฉันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด ใครก็ตามที่คิดทำร้ายฉัน มันจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม”
“อืม กลับบ้านกันเถอะ”
เหม่ยหยิงเต๋อยังคงเหม่อลอย ทว่าเมื่อได้ยินเสียงของน้องสาวแล้ว เขารีบพยักหน้ารับพร้อมมุ่งหน้ากลับบ้านตระกูลเหม่ยทันที
หลังทุกคนกลับออกไปกันหมด ถังซวงก็ก้าวออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มร้าย ใบหน้าของเธอดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา “การแสดงวันนี้ยอดเยี่ยมมาก ๆ ดูเหมือนว่าตระกูลเหม่ยจะไม่ได้แต่งงานกับตระกูลจูแล้วละ”
“ใช่ ยังไงตระกูลจูก็ยังต้องรักษาเกียรติของตัวเองอยู่แล้ว”
โม่เจ๋อหยวนพยักหน้าเห็นด้วย ขณะเดียวกันก็หันมองถังซวงแล้วถามว่า “แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ?”
“ขั้นตอนต่อไปคือการแฉเรื่องความสัมพันธ์ฉาวของเหม่ยหยิงตง”
“อืม”
เมื่อเห็นถังซวงเตรียมการไว้แล้ว โม่เจ๋อหยวนพยักหน้าเห็นด้วย
ทว่าเปาลี่ผิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นโม่เจ๋อหยวนพยักหน้าตอบรับถังซวงอย่างไร้เงื่อนไข เขาอดไม่ได้ที่จะลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ ชายคนนี้ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเอาซะเลย เห็นดีเห็นงามกับหัวหน้าไปเสียหมด
หลังเหม่ยหยิงเต๋อและเหม่ยหยิงตงกลับถึงบ้าน พวกเขาก็ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณชายเหม่ยทันที แต่หลังจากตระกูลเหม่ยทราบเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้าของพวกเขาก็ถึงกับมืดมน
“หยิงตง ทำไมถึงประมาทอย่างนี้ แล้วยังเป็นจูหมิงฟูที่มาเจออีก ตอนนี้การแต่งงานระหว่างตระกูลเหม่ยกับตระกูลจูถูกยกเลิกไปแล้ว”
“คุณพ่อคะ ฉันก็โดนหลอกเหมือนกัน”
เมื่อเห็นความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ เหม่ยหยิงตงรีบปกป้องตนเองทันที
ยังไงซะคุณชายเหม่ยก่นด่าอย่างเย็นชา “โดนหลอกงั้นหรือ? พวกเขาเป็นคนจูงมือแกไปที่นั่นหรือไง? อย่างนี้จะเรียกว่าคนอื่นวางแผนทำร้ายแกได้หรือ?”
“คุณพ่อคะ ฉัน…”
แววตาของเหม่ยหยิงตงวูบไหว เธอไม่รู้ว่าควรเล่าเรื่องทั้งหมดดีไหม
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเหม่ยหยิงตง คุณชายเหม่ยยิ่งโกรธจัด “ยังมีความลับที่ไม่บอกอีกงั้นหรือ? ชื่อเสียงของแกป่นปี้หมดแล้ว และชื่อเสียงของตระกูลเหม่ยก็เหมือนกัน พวกเราพังไปพร้อมกับแกแล้ว!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหม่ยหยิงตงจึงไม่คิดปิดบังต่อ เธอเล่าทุกอย่างที่ถูกคุกคามออกไปตามตรง
เวลานี้คุณชายเหม่ยยังคงเผยสีหน้าเรียบเฉย แต่เป็นเหม่ยหยิงเต๋อที่ตกตะลึงขณะมองน้องสาวของตนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “หยิงตง… แก… แกกลายเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตระกูลหลี่ และตอนนั้นฉันก็เป็นห่วงพวกเขามาก แต่กลับกลายเป็นแกที่เล่นงานพวกเขา… คนที่ทำร้ายพี่สะใภ้คือแกเองงั้นหรือ”
เหม่ยหยิงตงโต้กลับทันที “ก็เพราะตระกูลหลี่ไม่ได้สนใจชีวิตของเราสองแม่ลูก แล้วทำไมฉันต้องสนใจชีวิตของพวกเขาด้วยล่ะ”
“แก… แกมัน…”
เหม่ยหยิงเต๋อถึงกับพูดไม่ออก
ส่วนคุณชายเหม่ยมองลูกชายคนที่สองแล้วพูดว่า “พอได้แล้ว แกจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม พวกเราต้องรีบทำลายหลักฐานทั้งหมด และเรียกคืนชื่อเสียงของหยิงตงกลับมาให้เร็วที่สุด”
“คะ… ครับ…”
เหม่ยหยิงเต๋อพยักหน้ารับ
ทว่าก่อนที่ตระกูลเหม่ยจะทันได้เคลื่อนไหว ข่าวฉาวของเหม่ยหยิงตงที่ลอบนัดพบชายในสถานที่ลับตาก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง อีกทั้งข่าวการแต่งงานของตระกูลเหม่ยและตระกูลจูก็ถูกเผยแพร่ด้วยเช่นกัน เวลานี้ทุกคนมองว่าจูหมิงฟูถูกสวมหมวกสีเขียว[1]*เสียแล้ว
จูหมิงฟูเองก็รู้สึกหดหู่ใจมากและนึกเสียใจว่าทำไมเขาถึงยินยอมแต่งงานกับตระกูลเหม่ยในคราวแรก
เวลานี้มันสายเกินไปแล้วที่จะนึกเสียใจ ตระกูลจูประกาศยกเลิกการแต่งงานทันทีที่ข่าวลือของตระกูลเหม่ยถูกเผยแพร่
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของตระกูลเหม่ยและตระกูลจูก็ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาของใครหลาย ๆ คนในเมืองหลวง
ข่าวฉาวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่จิงเจ้อหรงที่อยู่ในเมืองเจียงยังทราบเรื่อง คราวแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อนึกดูอีกทีเขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเหม่ยหยิงตงถึงถูกแฉว่ามีความสัมพันธ์กับชายอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ดูคุ้น ๆ มากด้วย
เมื่อสืบเสาะต่อไปเขาจึงพบเรื่องบังเอิญอีกอย่างก็คือทั้งถังซวงและโม่เจ๋อหยวนไม่ได้อยู่ที่โรงงานเครื่องจักร
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ จิงเจ้อหรงก็เคลื่อนไหวทันที
เรื่องของเหม่ยหยิงตงจะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับถังซวงแน่ ซึ่งเขาไม่คิดว่าถังซวงและโม่เจ๋อหยวนจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรเด็กสองคนนี้ก็ทำได้ดีมาก ดังนั้นเขาจึงต้องรีบลงมือเช่นกัน
เวลานี้เรื่องของเหม่ยหยิงตงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เดิมทีตระกูลเหม่ยต้องการกอบกู้ชื่อเสียงให้กับเหม่ยหยิงตงเพื่อให้หล่อนได้แต่งงานอีกครั้ง
แต่เวลานี้ แม้แต่จิงเจ้อหรงเองก็ไม่คิดแต่งงานกับหล่อน ตระกูลเหม่ยจึงส่งเหม่ยหยิงตงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อแต่งงานกับชายในท้องถิ่นแถวนั้น ส่วนหลี่ว์ตานก็ถูกส่งไปพร้อมกับแม่ของเธอด้วยเช่นกัน ทำให้ทั้งสองแม่ลูกต้องไปอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกัน
[1] สวมหมวกสีเขียว หมายถึง การถูกสวมเขาหรือการที่ฝ่ายหญิงมีชู้
บทที่ 243 คำถามของฉินหรูเหมิ่ง
บทที่ 243 คำถามของฉินหรูเหมิ่ง
บทที่ 243 คำถามของฉินหรูเหมิ่ง
หลังเรื่องของเหม่ยหยิงตงกับหลี่ว์ตานจบลง ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนก็ได้พักผ่อนเสียที
“พี่โม่ อย่างไรเราก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว พรุ่งนี้ไปหาผู้เฒ่าโม่กันเถอะค่ะ อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านนานแล้ว กลับไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อยดีกว่า”
หลังได้ยินอย่างนั้น โม่เจ๋อหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อืม แต่เธอก็ต้องไปกับฉันด้วยนะ คุณปู่คงคิดถึงเธอมากแน่”
ถังซวงไม่ปฏิเสธ ในเมื่อมาเมืองหลวงทั้งทีการจะไปเยี่ยมพวกเขาก็เป็นเรื่องที่สมควร
วันรุ่งขึ้น ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนตรงไปที่บ้านตระกูลโม่ทันที
เมื่อผู้เฒ่าโม่เห็นทั้งสอง เขาก็รู้สึกประหลาดใจ “เจ๋อหยวน ซวงเอ๋อร์ มาได้ยังไงเนี่ย เข้ามาก่อนเร็ว” เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบทั้งสอง จึงยินดีอย่างมาก
เมื่อเห็นชายชรามีความสุข โม่เจ๋อหยวนก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “คุณปู่ครับ ซวงเอ๋อร์กับผมกำลังค้นคว้าบางอย่าง และพวกเราเบื่อมาก เราสองคนเลยมาที่เมืองหลวงเพื่อพักผ่อนสักหน่อย แล้วบางทีหลังจากพักผ่อนสักพักผมอาจจะได้ความคิดใหม่ ๆ กลับไปน่ะครับ”
นี่เป็นข้อแก้ตัวที่เขากับถังซวงพูดคุยกันไว้ก่อนหน้า และต้องไม่ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อชำระแค้น
พอผู้เฒ่าโม่ได้ยินว่าทั้งสองกำลังค้นคว้าบางอย่าง เขาก็ไม่ถามอะไรต่อพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ๆ เพราะพวกหลานใช้สมองกันมากเกินไปมันถึงเหนื่อยล้าไง เอาเถอะ ไหน ๆ ก็มาที่เมืองหลวงแล้ว อยู่ที่นี่สักสองสามวันเถอะ”
“ต้องขอรบกวนผู้เฒ่าโม่ด้วยนะคะ”
เมื่อผู้เฒ่าโม่ได้ยินคำพูดของถังซวง เขารีบโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่รบกวนเลย ไม่รบกวนสักนิด ฉันอยากให้พวกเธออยู่ที่นี่ด้วยกันทุกวันเลยยิ่งดี”
ชายชราไม่ได้เจอหลานชายคนโตของเขาและถังซวงมานาน เขาจึงมีเรื่องราวมากมายให้พูดไม่รู้จบ
ขณะทั้งสามกำลังนั่งลงพูดคุยกันในห้องนั่งเล่น โม่ถิงฮวาและหลินเหม่ยเจินก็กลับมา แต่ทั้งสามคนก็ยังไม่หยุดพูดคุยกัน
หลินเหม่ยเจินตกใจเมื่อเห็นลูกชายของตนและถังซวงอยู่ที่บ้าน
“เจ๋อหยวน ถังซวง มาตั้งแต่เมื่อไหร่? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“แม่ครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกับซวงเอ๋อร์แค่กลับมาเยี่ยมแม่น่ะครับ”
เมื่อเห็นลูกชายตอบกลับมาอย่างนั้น หลินเหม่ยเจินก็โล่งอก เธอคิดว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับลูกชายของตนและถังซวงซะอีก พวกเขาถึงมาที่นี่อย่างกะทันหันแบบนี้ จากนั้นเธอก็ยิ้มให้ถังซวง แล้วดึงเธอเข้าใกล้ “ซวงเอ๋อร์ เราไม่ได้พบกันตั้งนาน คราวนี้หนูพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันนะจ๊ะ”
เธอไม่ได้พบทั้งคู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่ลูกชายออกจากเมืองหลวงไปอยู่ที่มณฑลเจียงเพียงลำพัง เธอจึงอยากอยู่กับพวกเขาให้ได้นานที่สุด
ทว่าเธอทราบดีว่าตราบใดที่ถังซวงอยู่ที่นี่ ลูกชายของเธอก็จะอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“ค่ะป้าหลิน”
ถังซวงยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
เมื่อได้ยินคำตอบของถังซวงแล้ว หลินเหม่ยเจินเดินเข้าครัวอย่างอารมณ์ดี
แต่เมื่อครอบครัวเอ้อฟางมาถึง พวกเขาก็ถึงกับประหลาดใจมากที่เห็นโม่เจ๋อหยวนและถังซวง จนเจิ้งหงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “นี่พวกเธอไม่ต้องไปโรงเรียนงั้นหรือ?”
“ป้ารองครับ ผมกับซวงเอ๋อร์ทำงานสำคัญ ๆ ของภาคเรียนนี้หมดแล้ว เราเลยมาเยี่ยมคุณปู่น่ะครับ”
ผู้เฒ่าโม่ชำเลืองมองลูกสะใภ้เล็กของตนพร้อมพูดว่า “เจ๋อหยวนกับซวงเอ๋อร์มาที่นี่ทั้งที ทำไมเธอเอาแต่พูดพล่ามไร้สาระล่ะ รีบเข้าครัวไปดูซิว่าอาหารพร้อมแล้วหรือยัง”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา เจิ้งหงก็เม้มปากก่อนจะลุกเข้าครัวไปโดยไม่ตอบโต้อะไรอีก
หลังจากนั้นทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารร่วมกันอย่างอบอุ่น หลินเหม่ยเจินพาถังซวงมาที่ห้องซึ่งเคยเป็นที่พักของเธอมาก่อน “ซวงเอ๋อร์ พักผ่อนที่นี่ได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ แล้วถ้าขาดเหลืออะไรบอกฉันได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
เวลานี้ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนอยู่ในบ้านของตระกูลโม่ ทว่าในวันรุ่งขึ้น ฉินหรูเหมิ่งกลับปรากฏตัวที่นี่โดยไม่มีใครคาดคิด
“หรูเหมิ่ง มาหาชืออวี่หรือ?”
เจิ้งหงยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉินหรูเหมิ่ง ลูกสาวของเธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านก็จริง แต่เวลานี้เธอรู้แก่ใจว่าฉินหรูเหมิ่งคงจะมาที่นี่เพราะทราบเรื่องโม่เจ๋อหยวนเข้าเมืองหลวง แต่เธอไม่ได้กล่าวทักอย่างนั้นเพราะเกรงว่าสาวน้อยจะเขินอาย
ฉินหรูเหมิ่งยิ้ม “ค่ะ ฉันมาหาชืออวี่ แล้วก็ได้ยินว่าพี่เจ๋อหยวนกลับมาพร้อมกับคุณถังใช่มั้ยคะ”
เมื่อได้ยินฉินหรูเหมิ่งพูดถึงถังซวง แววตาของเจิ้งหงถึงกับวูบไหวด้วยความสงสัย แต่เธอไม่ได้ถามอะไรเพียงตอบกลับไปว่า “ใช่จ้ะ พวกเขามาด้วยกัน”
หลังพูดอย่างนั้น ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนก็เดินออกมาพร้อมกันพอดี ทั้งสองกำลังจะออกไปซื้อของ แต่ถูกเจิ้งหงรั้งเอาไว้เสียก่อน “เจ๋อหยวน ซวงเอ๋อร์ หรูเหมิ่งมาหาพวกเธอน่ะจ้ะ”
สีหน้าของโม่เจ๋อหยวนเย็นชาเล็กน้อย และท่าทีของถังซวงก็ไม่ได้เป็นมิตรนัก
ยังไงซะฉินหรูเหมิ่งไม่ได้สนใจ หลังได้พบทั้งสองแล้ว เธอก็พูดถึงสองแม่ลูกเหม่ยหยิงตงว่า “พวกคุณเพิ่งมาที่เมืองหลวง คงจะไม่ได้ยินเรื่องของหลี่ว์ตานกับแม่ของหล่อนที่ถูกส่งตัวไปตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือเปล่า ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาคงจะไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว”
ถังซวงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอหันมองฉินหรูเหมิ่งอย่างใช้ความคิด
หล่อนคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะสืบว่าเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของสองแม่ลูกนั่นใช่ไหม? เธอจึงตอบว่า “อืม เราเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ และยังไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ”
โม่เจ๋อหยวนเองก็ส่ายศีรษะ ก่อนถามออกไปอย่างสุภาพ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง? ทำไมตระกูลเหม่ยถึงให้สองแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือล่ะ?”
ก่อนที่ฉินหรูเหมิ่งจะพูด เจิ้งหงขมวดคิ้วแล้วพูดแทรกขึ้นว่า “เหม่ยหยิงตงสร้างปัญหาเพราะพฤติกรรมส่วนตัวของเธอน่ะ เอาเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว มันเป็นเรื่องของสองคนนั้นที่ทำตัวเอง ทำให้พวกหล่อนต้องไปอยู่ไกลบ้านไกลเมือง”
พูดจบ เธอหันมองฉินหรูเหมิ่งด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวก่อนจะถามว่า “หรูเหมิ่ง แล้วช่วงนี้เธอทำอะไรอยู่หรือจ๊ะ?”
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนกำลังจะพูดถูกขัดจังหวะโดยเจิ้งหง ฉินหรูเหมิ่งรู้สึกโกรธมากแต่ไม่ได้แสดงมันออกผ่านสีหน้า
ทว่าเหตุผลที่เธอถามอย่างนั้นในวันนี้เพราะเธอทราบว่าสองแม่ลูกนั่นเคยไปที่มณฑลเจียงมาก่อน พวกเขาเพิ่งกลับมาไม่นาน ตามที่หลี่ว์ตานพูดไว้ก่อนหน้าว่าเหม่ยหยิงตงกำลังจะแต่งงานใหม่ แต่เป้าหมายของหล่อนจริง ๆ แล้วเป็นจิงเจ้อหรง ดังนั้นมันจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่ แต่เธอไม่รู้ว่าที่มณฑลเจียงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
แต่มันต้องทำให้สองแม่ลูกต้องประสบกับเรื่องฉาว และมันก็เกิดขึ้นพร้อมกับที่ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนมาที่เมืองหลวงพอดี ดังนั้นเธอจึงคิดสืบเรื่องนี้
ทว่าการแสดงออกของถังซวงและโม่เจ๋อหยวนยังคงนิ่งเฉย
เธอเลยไม่รู้ว่าเรื่องราวของสองแม่ลูกนั่นเกี่ยวข้องกับพวกเขาด้วยหรือไม่
“ช่วงนี้ฉันก็ยังยุ่ง ๆ เหมือนเดิมน่ะค่ะ”
เมื่อเห็นฉินหรูเหมิ่งไม่คิดใส่ใจแล้ว เจิ้งหงจึงไม่ถามอะไรต่อ
ส่วนถังซวงหันมองฉินหรูเหมิ่งอีกครั้ง ก่อนจะหันไปยิ้มให้โม่เจ๋อหยวนแล้วพูดว่า “พี่โม่คะ เราไปกันเถอะค่ะ”
“อืม”
เมื่อเห็นโม่เจ๋อหยวนและถังซวงกำลังจะออกไป เจิ้งหงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ๋อหยวน หรูเหมิ่งไม่ได้จะมาที่นี่บ่อย ๆ นะ ทำไมเธอยังจะออกไปข้างนอกอีกล่ะจ๊ะ?”
บทที่ 244 ไม่สามารถซ่อนอะไรจากเธอได้
บทที่ 244 ไม่สามารถซ่อนอะไรจากเธอได้
บทที่ 244 ไม่สามารถซ่อนอะไรจากเธอได้
เมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้งหงแล้ว ถังซวงไม่ได้พูดอะไร แต่เป็นโม่เจ๋อหยวนที่กล่าวขึ้นว่า “ป้ารองครับ ซวงเอ๋อร์กับผมมีธุระต้องไปทำ คุณป้าอยู่ต้อนรับคุณฉินเองเถอะครับ”
จากนั้นเขาพาถังซวงออกไปทันที และไม่หันหลังกลับมามองอีก
เมื่อเห็นทั้งสองออกไปโดยไม่สนใจตน ใบหน้าของเจิ้งหงบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้กับฉินหรูเหมิ่งแล้วพูดว่า “หรูเหมิ่ง อยู่คุยกับฉันสักพักไหมจ๊ะ?”
ฉินหรูเหมิ่งยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “ป้าเจิ้งคะ ในเมื่อพี่เจ๋อหยวนมีธุระ อย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ทว่าเจิ้งหงไม่ได้รั้งอีกฝ่ายไว้เช่นกัน และเธอก็ทราบดีว่าฉินหรูเหมิ่งไม่ได้มาหาตน
หลังฉินหรูเหมิ่งออกจากบ้านตระกูลโม่ไป สีหน้าของเด็กสาวพลันเย็นชา
เดิมทีเธอต้องการมาที่นี่เพื่อค้นหาความจริง ทว่าสุดท้ายก็ไม่พบสิ่งใด เธอยังคงสงสัยว่าสถานการณ์ของสองแม่ลูกเกี่ยวข้องกับถังซวงหรือไม่ และหากมันเกี่ยวข้องจริง ๆ เธอก็ต้องระมัดระวังตัวให้มาก
สุดท้ายแล้วถังซวงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ คงดีที่สุดหากไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
“หวังว่าฉันคงจะคิดมากไปเอง”
ฉินหรูเหมิ่งพึมพำกับตนเอง และเดินออกจากบ้านตระกูลโม่ไป
อีกด้านหนึ่ง ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนเดินไปตามถนน ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของฉินหรูเหมิ่ง
“ฉินหรูเหมิ่งคนนี้ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเลยนะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่เจ๋อหยวน ถังซวงยกยิ้ม “ไม่น่าใช่นะคะ ถ้าเธอรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ เธอคงไม่มาหาความจริงวันนี้หรอก เพราะเราก็เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อวาน เราจึงไม่รู้อะไรเลย”
“ฮ่า ๆ …”
โม่เจ๋อหยวนหัวเราะออกมาพร้อมพยักหน้ารับ “ใช่ ๆ เราไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
วันนี้ทั้งสองออกมาเพื่อซื้อของฝากให้กับผู้เฒ่าโม่และหลินเหม่ยเจิน เป็นเพราะพวกเขารีบร้อนและไม่ได้หยิบสิ่งใดติดตัวมาด้วย ดังนั้นจึงเดินไปตามถนนเพื่อหาซื้ออะไรบางอย่าง
หลังทั้งสองซื้อของเสร็จ พวกเขาก็กลับไปที่บ้านตระกูลโม่ ซึ่งเจิ้งหงและฉินหรูเหมิ่งออกไปข้างนอกแล้ว แต่หลินเหม่ยเจินนั่งอยู่ด้านใน และเมื่อเห็นว่าทั้งสองกลับมาแล้วเธอรีบกล่าวทักทาย
“พวกเธอสองคนไปไหนมา ฉันกลับมาก็ไม่เห็นเลย”
ถังซวงยิ้มแล้วยื่นของในมือให้หลินเหม่ยเจิน “ป้าหลินคะ เราออกไปซื้อของกันค่ะ และเห็นมันสวยดีก็เลยซื้อมาให้ค่ะ ไม่รู้ว่าคุณป้าจะชอบไหม”
“โอ้ ชอบสิจ๊ะ ชอบมากเลยละ ขอบคุณนะซวงเอ๋อร์”
ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน หลินหมิงซู่ก็เดินเข้ามา
หลินเหม่ยเจินเห็นพี่ชายที่ไม่ได้พบกันเสียนานเดินเข้ามาจึงรีบกล่าวทักทาย
“อ้าว พี่หมิงซู่ มาทันเวลาพอดี เจ๋อหยวนกับซวงเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย อย่างนั้นอยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันนะ”
ทว่าหมิงซู่ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นถังซวงและโม่เจ๋อหยวน แต่เขาก็ยกยิ้มอย่างมีความสุข
“โอ้ ได้เลย ฉันไม่ได้เจอเจ๋อหยวนกับซวงเอ๋อร์นานแล้วเหมือนกัน”
“คุณลุงไปไหนมาหรือครับ เมื่อครู่แม่บอกว่าไม่ได้เจอคุณลุงนานเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่เจ๋อหยวน หมิงซู่รีบกล่าวตอบทันที “ฉันเพิ่งได้งานใหม่น่ะเลยค่อนข้างยุ่ง และอาจจะต้องเดินทางไปที่อื่นด้วย วันนี้ฉันเลยแวะมาหาแม่ของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเธอด้วย บังเอิญจริง ๆ”
“คุณลุงจะไปไหนหรือครับ?”
หมิงซู่ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนนัก แต่ก็กล่าวเพียงว่า “มันเป็นเรื่องที่ฉันพูดไม่ได้น่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น โม่เจ๋อหยวนจึงไม่ถามอะไรต่อ
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มก่อนจะบอกหมิงซู่ถึงเรื่องราวของซ่างหมิงซู่
“ตอนที่ฉันได้ยินชื่อของเขา ฉันคิดถึงลุงหลินทันทีเลยค่ะ”
เมื่อหมิงซู่ได้ยินอย่างนั้น แววตาของเขาพลันเปล่งประกาย
“เธอบอกว่า… ซ่างหมิงซู่มาจากก่างเฉิง… และตอนนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านเถาฮวาหรือ?”
“ใช่ค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หมิงซู่ก็ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องของซ่างสยงเยี่ยและซ่างหมิงซู่ไม่หยุด ซึ่งเขาดูสนใจเรื่องของทั้งสองมาก
ถังซวงมองเขาด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ทราบดีว่าไม่ควรถามอะไรออกไป เธอจึงบอกเล่าเรื่องราวของซ่างสยงเยี่ยและซ่างหมิงซู่ให้เขาฟัง
ในตอนท้าย หมิงซู่มองถังซวงแล้วถามว่า “ซวงเอ๋อร์ แล้วเธอจะกลับหมู่บ้านเถาฮวาเมื่อไหร่?”
“วันมะรืนนี้ค่ะ”
“อย่างนั้นฉันจะกลับไปด้วย”
เวลานี้ทั้งโม่เจ๋อหยวนและถังซวงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้หมิงซู่บอกว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานและต้องเดินทางไปที่อื่น แต่เวลานี้กลับจะไปที่หมู่บ้านเถาฮวากับพวกตนงั้นหรือ…
เมื่อเห็นว่าทั้งสองดูประหลาดใจ หมิงซู่จึงพูดขึ้นว่า “ที่จริงฉันกำลังจะไปเมืองก่างเฉิง เพราะต้องไปจัดซื้ออุปกรณ์น่ะ”
หลังได้ยินอย่างนั้น ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนจึงเข้าใจ
ทุกวันนี้ อุปกรณ์จำนวนมากหาซื้อได้ยาก แต่มันสามารถหาซื้อได้ง่ายภายในเมืองก่างเฉิง และหากออกไปต่างประเทศก็จะมีโอกาสหาซื้ออุปกรณ์ที่ดีได้มากขึ้น
“ค่ะลุงหลิน งั้นพวกเรากลับไปพร้อมกันนะคะ”
เมื่อหลินเหม่ยเจินรู้ว่าพี่ชายของตนจะไปที่หมู่บ้านเถาฮวาพร้อมกับถังซวงและลูกชายของตน เธอเผยท่าทีประหลาดใจ
“เมื่อครู่พี่บอกว่ายุ่งอยู่กับงาน แต่จะไปหมู่บ้านเถาฮวาหรือคะ?”
“ฉันบังเอิญมีธุระที่นั่นพอดีน่ะ”
หลังหลินเหม่ยเจินได้ยินอย่างนั้น เธอไม่ถามอะไรอีก
ส่วนผู้เฒ่าโม่มีความสุขมากที่ได้พบหมิงซู่ ทั้งหมดร่วมรับประทานอาหารกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อถังซวงและโม่เจ๋อหยวนกำลังจะกลับ หมิงซู่ก็ไปกับพวกเขาด้วย ทั้งสามจึงขึ้นรถมุ่งหน้าไปหมู่บ้านเถาฮวาด้วยกัน
หลังผ่านไปหลายวัน เฮ่อหลานก็ได้พบกับลูกสาวของตนอีกครั้ง
“ซวงเอ๋อร์ทำไมกลับมาช้าจัง แม่กับเสี่ยวเซวี่ยเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอสองคนซะอีก”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวและโม่เจ๋อหยวนไม่กลับบ้านเป็นเวลานาน เธอจึงคิดจะไปที่โรงงานเครื่องจักร แต่จิงเจ้อหรงกลับอาสาไปถามและกลับมาบอกเธอว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ดังนั้นเธอจึงโล่งอก
“แม่คะ ช่วงนี้หนูยุ่งนิดหน่อยเลยกลับมาช้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวและโม่เจ๋อหยวนยังสบายดี เฮ่อหลานก็สบายใจขึ้น ก่อนจะหันไปทักทายหมิงซู่อย่างเป็นกันเอง
“พี่หมิงซู่ คุณเจอซวงเอ๋อร์และเจ๋อหยวนในเมืองหรือคะ? เข้ามานั่งพักด้านในก่อนเถอะค่ะ ไม่ได้พบหน้ากันเสียนานเลย”
หมิงซู่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาหันมองถังซวงและโม่เจ๋อหยวนด้วยความสงสัยก่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“น้องหลาน รบกวนด้วยนะ”
หลังทั้งหมดเข้ามาด้านใน พวกเขาก็ได้พบกับซ่างสยงเยี่ยและซ่างหมิงซู่นั่งอยู่ตรงนั้น
ทันใดนั้นหมิงซู่พลันแววตาเป็นประกาย เฮ่อหลานจึงกล่าวแนะนำทันที
“คุณชายซ่างคะ นี่คือคนที่ฉันเคยเล่าว่าเขามีชื่อเดียวกันกับหลานชายของคุณ เขาชื่อหมิงซู่ค่ะ เป็นลุงของเจ๋อหยวน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ซ่างสยงเยี่ยก้าวไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“โอ้ คุณหมิงซู่นี่เอง ผมได้ยินชื่อของคุณมานานแล้วครับ”
“สวัสดีครับคุณซ่าง”
หมิงซู่ก้าวไปด้านหน้าพร้อมจับมือกับซ่างสยงเยี่ยด้วยรอยยิ้ม
ส่วนซ่างหมิงซู่มองหมิงซู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะก้าวไปด้านหน้าเพื่อทักทาย และตระหนักได้ว่าลุงของโม่เจ๋อหยวนยังเด็กมากจริง ๆ ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเขาแค่สองปีเท่านั้น
หลังทั้งสามนั่งลง หมิงซู่พูดคุยกับซ่างสยงเยี่ย แต่ไม่มีใครคิดว่าทั้งสองจะพูดคุยกันได้ถูกคอขนาดนี้
“ซวงเอ๋อร์นั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะไปดูอาหารในครัว”
“แม่คะ หนูไปด้วยค่ะ”
ถังซวงตามเฮ่อหลานไป แม้แต่ถังเซวี่ยที่พึ่งเลิกเรียนแล้วกลับมาถึงบ้านก็ยังรีบเข้าครัวไปด้วยเช่นกัน
เมื่อจิงเจ้อหรงมาถึง อาหารเย็นก็พร้อมแล้ว
ทว่าเมื่อจิงเจ้อหรงเห็นถังซวงและโม่เจ๋อหยวนกลับมาแล้ว เขามองทั้งสองอย่างไม่วางสายตา
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุย เขาจึงยังไม่ถามอะไร เพราะหลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ค่อยถามทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงจะเป็นการดีกว่า
“ก่อนหน้านี้พวกเธอสองคนไม่ได้ไปที่โรงงานเครื่องจักร แต่ไปเมืองหลวงใช่มั้ย”
“ลุงจิงรู้เรื่องแล้วหรือคะ?” ถังซวงเลิกคิ้วก่อนจะพูดว่า “ถึงเราจะทำลายชื่อเสียงของเหม่ยหยิงตง แต่เราไม่ได้ทำอะไรต่อจากนั้นนะคะ เราคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะขับไล่สองแม่ลูกไปอยู่ที่ห่างไกลอย่างนั้นแน่ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังซวง จิงเจ้อหรงเหลือบมองเธอด้วยใบหน้าจริงจังก่อนจะพูดว่า “ฉันซ่อนอะไรจากเธอไม่ได้เลยจริง ๆ”
บทที่ 245 ไร้ความปรานี
บทที่ 245 ไร้ความปรานี
บทที่ 245 ไร้ความปรานี
เมื่อได้ยินคำพูดของจิงเจ้อหรงแล้ว ถังซวงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะลุงจิงไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังพวกเราต่างหาก พวกเราถึงรู้ค่ะ”
แน่นอนว่าจิงเจ้อหรงไม่ตั้งใจที่จะซ่อนมันจากถังซวงและโม่เจ๋อหยวน แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ทั้งสองทำแล้ว เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“พวกเธอสองคนกล้ามาก ถ้าเรื่องนี้ถูกตระกูลเหม่ยที่มีอำนาจในเมืองหลวงจับได้ พวกเขาต้องฆ่าเธอสองคนแน่ ๆ เพราะไม่ค่อยมีใครคิดอยากจะยั่วยุพวกเขาขนาดนี้มาก่อน”
ในตอนท้าย จิงเจ้อหรงหันมองโม่เจ๋อหยวนแล้วพูดว่า “เจ๋อหยวน ทำไมนายถึงไม่บอกฉันสักนิดล่ะ ถึงครอบครัวของพวกเราจะช่วยเหลือนายในคราวคับขันได้ แต่สุดท้ายมันก็จะสร้างปัญหามากมายตามมาได้นะ”
โม่เจ๋อหยวนตอบกลับ
“ครับลุงจิง คราวหน้าพวกเราจะระวังตัวให้มากครับ”
จากนั้นจิงเจ้อหรงหันมองถังซวงอย่างขุ่นเคืองก่อนจะพูดว่า “พวกเธอยังคิดว่ามันจะมีครั้งต่อไปอีกหรือ”
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าถังซวงออกไปแก้แค้นให้กับเฮ่อหลาน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถ้ามีเรื่องอย่างนี้อีกในอนาคต ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของฉัน อย่าให้มือของพวกเธอต้องแปดเปื้อน แต่เพราะครั้งนี้ฉันช้าเกินไป ถ้ามีคราวหน้าฉันจะจัดการอะไรให้เร็วกว่านี้”
“ค่ะลุงจิง”
แม้จะเห็นว่าถังซวงดูเชื่อฟัง แต่จิงเจ้อหรงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเด็กคนนี้อาจจะตอบกลับเขาไปอย่างนั้น แต่หากมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าเธอจะไม่หาทางลงมืออีก ทว่าในเมื่อเห็นว่าถังซวงรับปากแล้ว เขาจึงพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “เอาเถอะ อย่างนั้นแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ”
หลังถังซวงและโม่เจ๋อหยวนกลับไปที่ห้องของตัวเอง เฮ่อหลานก็เดินเข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ และเมื่อเห็นจิงเจ้อหรงอยู่คนเดียว เธออดไม่ได้ที่จะถาม
“ซวงเอ๋อร์กับเจ๋อหยวนไปไหนแล้วหรือคะ? เมื่อครู่พวกเขายังอยู่ที่นี่อยู่เลยไม่ใช่หรือ?” เธอวางจานผลไม้ในมือลงแล้วหันไปถาม “คุณคุยอะไรกับพวกเขาคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ถามทั่วไปเกี่ยวกับโรงงานเครื่องจักรน่ะ”
“โอ้ จริงด้วย ฉันก็อยากจะถามเหมือนกัน ช่วงนี้ที่โรงงานเครื่องจักรเป็นยังไงบ้างคะ?”
จิงเจ้อหรงรีบตอบ “ทั้งซวงเอ๋อร์และเจ๋อหยวนยุ่งอยู่ในโรงงานเครื่องจักรนานหลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาจะค้นพบบางอย่าง แม้ว่าจะเสียเวลาไปมากแต่มันก็คุ้มค่า”
หลังได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานก็โล่งอก
“ดีจังเลยค่ะ”
แต่เวลานี้จิงเจ้อหรงค่อย ๆ เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เฮ่อหลานสนใจเรื่องของถังซวงและโม่เจ๋อหยวนนัก
ทว่าเขาเห็นด้วยกับความคิดของถังซวงที่ไม่ต้องการให้เฮ่อหลานมารู้เรื่องดำมืดเหล่านี้
อีกด้าน ถังซวงไม่ได้พักผ่อนหลังกลับมาที่ห้องของตนเอง เพราะคราวนี้เธอเข้าไปเมืองหลวงหลายวัน และหลังจากกลับมาถึงบ้าน ทั้งซ่างสยงเยี่ยและซ่างหมิงซู่ก็กำลังจะกลับเมืองก่างเฉิง เมื่อพวกเขากลับไปแล้ว ถังซวงคิดว่าจะให้พวกเขานำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและงานเย็บปักกลับไปด้วย เช่นนั้นเธอจึงต้องเตรียมตัวให้ดี
หลังถังซวงทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอรีบพักผ่อนอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้น เมื่อถังชุนหยานมาหา เธอรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นถังซวงอยู่ที่นี่ “พี่ซวง ในที่สุดพี่ก็กลับมา ถ้าพี่ไม่กลับมา ฉันไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงต่อ”
เมื่อเห็นถังชุนหยานมาที่นี่ ถังซวงเองก็มีความสุขมากเช่นกัน ก่อนที่เธอจะออกไป เธออธิบายงานบางอย่างและตรวจสอบมันเสร็จสิ้นแล้ว จึงรู้ว่าถังชุนหยานทำงานได้ดีมาก “ชุนหยาน เราเหลือบรรจุมันลงขวดน่ะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองลงมือทำกันอย่างรวดเร็ว หลังทำงานเสร็จแล้ว ถังซวงไปหาซ่างสยงเยี่ยแล้วมอบเครื่องสำอางให้เขา “คุณชายซ่างคะ ฉันรบกวนให้คุณนำมันไปให้ป้าของฉันทีนะคะ”
“คุณถังไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะส่งมันด้วยมือของตัวเองเลย”
ซ่างสยงเยี่ยยกยิ้ม พลางถามเกี่ยวกับเหม่ยหยิงตง “ถึงผมกำลังจะกลับเมืองก่างเฉิง แต่คนสกุลเหม่ยที่คิดทำร้ายผมยังคงลอยนวล และผมไม่สามารถชำระแค้นนี้ได้ด้วยตัวเอง คุณถังบอกผมเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หญิงคนนั้นได้ไหมครับ?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ถังซวงหัวเราะเบา ๆ “คุณชายซ่างไม่ต้องกังวลนะคะ เหม่ยหยิงตงได้รับบทเรียนสาสมแล้วค่ะ”
“อ้าว… ผู้หญิงคนนั้นได้รับบทเรียนยังไงหรือครับ?”
ซ่างสยงเยี่ยอยากรู้จริง ๆ เขารู้มาว่าผู้หญิงคนนั้นกลับเมืองหลวงไปแล้ว แม้จิงเจ้อหรงจะรับปากจัดการให้ แต่เขาก็บอกว่าต้องรอไปก่อน ทว่าตอนนี้กลับถูกจัดการแล้ว?
“สองแม่ลูกนั่นต้องไปอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือค่ะ และพวกเขาจะไม่กลับมาอีกเด็ดขาด พวกเขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น”
แม้ซ่างสยงเยี่ยจะมาจากเมืองก่างเฉิง แต่เขาก็พอจะรู้เรื่องราวของทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ถังซวงพูดถึงอยู่บ้าง สถานที่แห่งนั้นแร้นแค้นและไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย แต่ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะได้รับบทเรียนอย่างสาสมแล้วจริง ๆ
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ซ่างสยงเยี่ยมองถังซวงแล้วถามว่า “คุณถังครับ เป็นไปได้ไหมว่าเป็นคุณที่จัดการกับสองคนนั่น?”
จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนออกไปจากหมู่บ้านเถาฮวาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้ไปที่โรงงานเครื่องจักรตามที่บอก แต่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงแทน
ถังซวงไม่ยอมรับโดยตรง
“คุณชายซ่างคะ เดี๋ยวเราไปที่โรงงานเย็บปักกันเถอะค่ะ งานปักชุดแรกจะถูกส่งไปเมืองก่างเฉิงในคราวนี้ด้วย”
เมื่อเห็นถังซวงพูดอย่างนั้น ซ่างสยงเยี่ยก็ยกยิ้มและไม่ถามอะไรอีก แล้วตอบกลับไปว่า “ครับ”
หลังจากนั้นถังซวงขอให้เฮ่อหลานไปที่โรงงานเย็บปักด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเขาเตรียมงานปักชุดแรกทั้งหมดเพื่อให้ซ่างสยงเยี่ย และมีสัญญาเพื่อให้ซ่างสยงเยี่ยลงนามด้วย
ทว่าซ่างสยงเยี่ยจ่ายค่างานปักชุดแรกอย่างง่ายดาย
ซึ่งทำให้หลิวเหลียงไคตกตะลึงเมื่อเห็นเงินจำนวนมาก และมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าหมู่บ้านของตนกำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของเขายิ่งตื่นเต้น และไม่สามารถหุบรอยยิ้มได้แม้กระทั่งซ่างสยงเยี่ยจากไป
หลังซ่างสยงเยี่ยกลับมาแล้ว เขาบอกกล่าวกับซ่างหมิงซู่ให้เก็บของและเตรียมตัวกลับบ้านเกิด
“คุณลุงครับ คุณลุงบอกว่าจะติดตามเรื่องของผู้หญิงสารเลวคนนั้นไม่ใช่หรือครับ? แล้วจะกลับบ้านไปทั้งอย่างนี้หรือ?”
ซ่างสยงเยี่ยส่ายศีรษะเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ?”
ซ่างสยงเยี่ยเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วพูดว่า “คุณถังนี่โหดเหี้ยมจริง ๆ เธอตัดสินใจรวดเร็วและเด็ดขาดมาก โชคดีที่เราไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มั่นใจว่าตัวฉันเองจะรับมือกับเธอได้ไหม ถึงฉันจะไม่รู้ว่าตระกูลเหม่ยมีอิทธิพลมากแค่ไหน แต่ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเขามีอำนาจล้นเหลือ ทว่าถังซวงคนนี้ยังจัดการพวกเขาได้ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
ทว่าซ่างหมิงซู่กลับไม่เห็นด้วย
“บางทีเธออาจจะขอความช่วยเหลือจากพ่อเลี้ยงของเธอก็ได้นะครับ คุณชายจิงนั่นก็ไม่ได้ธรรมดา”
ซ่างสยงเยี่ยชำเลืองมองซ่างหมิงซู่ก่อนจะพูดว่า “มันยากมากเลยหรือที่จะยอมรับว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเอง?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ซ่างหมิงซู่ถึงกับเงียบ
แน่นอนว่าถังซวงไม่รู้ว่าลุงและหลานกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน เธอหันมองหลินหมิงซู่แล้วถามว่า “ลุงหลินคะ ลุงจะไปเมืองก่างเฉิงกับคุณชายซ่างจริง ๆ หรือคะ?”
“ใช่ ก่อนหน้านี้ฉันคุยกับคุณชายซ่างแล้ว และคิดว่าคงจะดีหากเดินทางไปพร้อมพวกเขาเลย และเขาก็รู้จักใครบางคนด้วย บางทีเขาอาจจะพอแนะนำคนเหล่านั้นให้กับฉันได้”
ถังซวงพยักหน้ารับเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ค่ะ อย่างนั้นฉันจะขอให้คุณชายซ่างดูแลคุณลุงดี ๆ”
“ฮ่า ๆ … ขอบคุณมากนะซวงเอ๋อร์”
หลังโม่เจ๋อหยวนรู้ว่าลุงของตนกำลังจะเดินทางไปเมืองก่างเฉิง เขารู้ดีว่าเป็นงานของอีกฝ่ายจึงไม่ได้พูดอะไรนัก แต่เมื่อรู้ว่าถังซวงกำลังจะไปหาซ่างสยงเยี่ย เขาจึงขอไปด้วย
“คุณชายซ่างครับ โปรดดูแลคุณลุงด้วยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังซวงและโม่เจ๋อหยวน ซ่างสยงเยี่ยหัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่ต้องกังวล ผมจะดูแลหมิงซู่ให้ดีแน่ และผมรู้จักใครบางคนในวงการธุรกิจอุปกรณ์อยู่บ้าง ผมคิดจะแนะนำให้พวกเขารู้จักกับหมิงซู่อยู่แล้ว”
“อย่างนั้นรบกวนคุณชายซ่างด้วยนะครับ”