การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 257 ยากู้ชีพ
บทที่ 257 ยากู้ชีพ
EnjoyBook
บทที่ 257 ยากู้ชีพ
เมื่อได้ยินที่เจียงหงเหลียงพูด ถังซวงก็เชิญเขาเข้ามาด้านในด้วยรอยยิ้ม
“รองเจียง เข้ามาข้างในก่อนเถอะค่ะ”
หลังเจียงหงเหลียงเข้ามา เขาเห็นถังเซวี่ยอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มกว้าง “สหายถังซวง นี่คือน้องสาวของเธอหรือ?”
“ค่ะ นี่ถังเซวี่ย”
ถังซวงแนะนำถังเซวี่ย “เสี่ยวเซวี่ย นี่คือสหายเจียงหงเหลียง เรียกว่ารองเจียงก็ได้จ้ะ”
ถังเซวี่ยเคยได้ยินพี่สาวพูดถึงเจียงหงเหลียงบ่อย ๆ ทว่าตอนนี้เธอได้พบเขาแล้ว และเธอก็จดจำได้ในทันที “สวัสดีค่ะรองเจียง” หลังจากทักทายเสร็จแล้ว ถังเซวี่ยกลับไปที่ห้องทันที เธอรู้ว่าถังซวงกับเจียงหงเหลียงคงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน เด็กสาวจึงไม่คิดจะอยู่ต่อ
หลังถังเซวี่ยออกไปแล้ว เจียงหงเหลียงก็บอกเหตุผลที่เขามาวันนี้
“สหายถังซวง สูตรยาที่เธอให้มามันมีประโยชน์มาก และฉันก็มาคิดดูว่า ก่อนหน้านี้เราให้รางวัลเธอน้อยไปจริง ๆ หัวหน้าเลยสั่งให้ฉันมอบบ้านอีกหลังให้กับเธอ” พูดจบเจียงหงเหลียงหยิบโฉนดที่ดินออกมาพร้อมเอกสารการโอน
ทว่าถังซวงโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นเลยค่ะรองเจียง ก่อนหน้านี้ที่ฉันอยากได้บ้าน เพราะอยากมีที่พักในเมืองหลวง แล้วตอนนี้ฉันก็มีบ้านแล้วตั้งหลังหนึ่ง ตอนนี้ไม่อยากได้อะไรแล้ว อีกอย่างนี่คือสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ ฉันอยากจะช่วยเหลือสหายของฉันในการปกป้องชาติบ้านเมือง”
เมื่อเห็นความตั้งใจจริงของถังซวง เจียงหงเหลียงก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้วว่าสหายถังซวงเป็นคนจิตใจดี มีเหตุผล แต่ยังไงฉันก็ต้องการมอบบ้านหลังนี้ให้เธออยู่ดี เราไม่สามารถเอาเปรียบเธอได้ สูตรยานั้นที่เธอทำให้พวกเรา ต่างก็ทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากแย่งมันไป”
เขาเห็นความยอดเยี่ยมของยานั้นแล้ว และทราบถึงมูลค่าของสูตรยานั้นเป็นอย่างดี ดังนั้นเจียงหงเหลียงจึงยังคงยืนยันว่าจะมอบโฉนดที่ดินและเอกสารต่าง ๆ ให้กับถังซวงเช่นเดิม
“ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว บ้านหลังนี้เป็นของเธอ เพราะอย่างนั้นเธออย่าปฏิเสธเลย สุดท้ายมันก็เป็นชื่อของเธอแล้ว”
ถังซวงชำเลืองมองโฉนดที่ดินหลังได้ยินอย่างนั้น และเห็นว่ามันเป็นชื่อของเธอจริง ๆ เวลานี้เธอไม่สามารถปฏิเสธมันได้อีกต่อไปจึงรับมันเอาไว้ ทว่าเธอยังแสดงความจริงใจด้วยการมอบสูตรยาไปพร้อมกับยาที่เตรียมไว้สองขวด “รองเจียงคะ นี่คือยาชูกำลังและยากู้ชีพที่ฉันพัฒนาขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ”
ดวงตาของเจียงหงเหลียงพลันเป็นประกายทันทีที่เห็นขวดยาที่ถังซวงหยิบออกมา เขาหยิบขวดยาทั้งสองขวดแล้วถามว่า “สหายถังซวง ยาชูกำลังกับยากู้ชีพนี้ใช้ยังไง?”
“ยาชูกำลังใช้เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือหิว มันจะฟื้นฟูพลังงานในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนยากู้ชีพนี้ใช้เพื่อช่วยชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่แล้วกินยากู้ชีพเข้าไป จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ถ้าหากคนคนนั้นไม่ได้รับการรักษาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็หมดหนทางช่วยค่ะ”
ผลของยากู้ชีพนี้น่าทึ่งมาก วัตถุดิบที่ใช้ทำยาก็มีค่ามากด้วยเช่นกัน ตอนนี้เธอทำขึ้นมาได้เพียงห้าขวดเท่านั้น และหลังจากให้เจียงหงเหลียงไปแล้วหนึ่งขวด เธอจึงเหลือเพียงสี่ขวด ส่วนยาชูกำลังนั้นเต็มไปด้วยพลังงานมากมาย มันถูกปรับปรุงมาจากยาชูกำลังในยุคสมัยใหม่ ซึ่งมันควรจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ออกปฏิบัติภารกิจ เพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก หากอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน พวกเขาสามารถกินมันได้ทันที
หลังเจียงหงเหลียงได้ยินคำอธิบายของถังซวง เขายิ่งตื่นเต้น
“สหายถังซวง นี่มัน… ยากู้ชีพนี้สามารถช่วยให้มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือ?” ถ้าเป็นอย่างนั้น กองทัพจะสามารถรักษาผู้ที่บาดเจ็บได้มากมายแค่ไหนกัน
ถังซวงพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “ค่ะ แต่วัตถุดิบสำหรับทำยาพวกนี้หายากมาก และฉันคิดว่ามันอาจจะผลิตได้ไม่มาก”
“แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ขอบคุณสหายถังซวงมาก สูตรยาที่เธอให้มาสำคัญกับพวกเรามากจริง ๆ”
เจียงหงเหลียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาต้องการจะหยิบเอาสูตรยานี้กลับไปที่โรงงานผลิตยาโดยเร็ว จึงไม่สามารถนั่งนิ่งเฉยได้อีกต่อไป “สหายถังซวง เธอคงมีเรื่องต้องทำ อย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อน”
“ค่ะ”
หลังถังซวงไปส่งเจียงหงเหลียงแล้ว เธอก็ตรงไปหาถังเซวี่ย
“เสี่ยวเซวี่ย ทำอะไรอยู่หรือ?”
เมื่อเห็นถังซวงเข้ามา ถังเซวี่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่คะ รองเจียงกลับไปแล้วหรือ?”
“อืม เขากลับไปแล้ว ส่วนแม่กับลุงจิงไปซื้อของ เธออยากออกไปเดินเล่นไหม เดี๋ยวฉันพาไปเดินเล่นใกล้ ๆ บ้าน”
ถังเซวี่ยได้ยินอย่างนั้นจึงรีบพยักหน้า “ค่ะ”
ทั้งสองทิ้งข้อความใส่กระดาษเอาไว้และออกไปด้านนอก
“พี่คะ เราไปดูพวกตึกเก่า ๆ พวกนั้นได้ไหม?”
หลังได้ยินคำพูดของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงพยักหน้า “อืม ไปเดินเล่นกัน แล้วเดี๋ยวฉันจะพาไปหวังฝูจิ่ง[1]*”
“ค่ะ”
สองพี่น้องตระเวนไปทั่วเมืองหลวง
อีกด้าน จิงเจ้อหรงพาเฮ่อหลานไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เพราะเขาต้องการพาเธอไปซื้อเสื้อผ้า
“อาเจ้อ คุณไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าให้ฉันหรอกค่ะ ฉันทำมันเองได้” หลังจากได้เล่าเรียนมามากมาย เฮ่อหลานก็ทำเสื้อผ้าเองเป็น และตอนนี้เสื้อผ้าของเธอส่วนใหญ่ล้วนถูกทำขึ้นมาด้วยตัวเธอเองทั้งนั้น
หากแต่จิงเจ้อหรงยังยืนกราน “อาหลาน ตอนนี้เรากำหนดวันแต่งงานชัดเจนแล้ว ผมก็อยากซื้อของให้คุณบ้าง เพราะอย่างนั้นอย่าห้ามผมเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานจึงเข้าใจว่าจิงเจ้อหรงต้องการซื้อของขวัญให้ตน หลังจากที่หมั้นกันแล้ว ผู้ชายจะพาผู้หญิงไปซื้อเสื้อผ้ามันก็เป็นเรื่องปกติ เธอจึงไม่ปฏิเสธและไปห้างสรรพสินค้ากับเขา
“อาหลาน ชุดสีแดงนั่นเป็นยังไงบ้างครับ?”
เฮ่อหลานมองตามนิ้วของจิงเจ้อหรง และเห็นว่ามันเป็นชุดสีแดงสดตั้งแสดงอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ชอบใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดอย่างนี้
“อาเจ้อ สีมันสดเกินไปค่ะ” นอกจากวันแต่งงาน คนธรรมดาย่อมไม่ใส่ชุดสีแดงสดอย่างนี้แน่ ส่วนมากผู้คนในชนบทต่างสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายทั้งนั้น แต่ในเมืองหลวงสีเสื้อผ้าของผู้คนจะค่อนข้างสดใสและฉูดฉาดมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นจิงเจ้อหรงก็ดึงให้เฮ่อหลานเดินตามมา
“อาหลาน ผมคิดว่าชุดนี้เหมาะกับคุณมากเลย ลองดูก่อนไหมครับ? อีกอย่างเราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน จะใส่สีแดงก็ไม่แปลกสักหน่อย”
เมื่อเห็นจิงเจ้อหรงและเฮ่อหลาน พนักงานขายก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองไม่ธรรมดา อีกทั้งได้ยินว่าพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน จึงรีบรุดออกมาหาเฮ่อหลาน “สวัสดีค่ะ เมื่อครู่ฉันเห็นพวกคุณพูดว่ากำลังจะแต่งงานกัน อย่างนั้นต้องซื้อชุดสีแดงนะคะ ชุดสีแดงนี้เหมาะกับคุณผู้หญิงมากค่ะ ถ้าใส่คงดูดีมากแน่” ขณะพูด พนักงานขายนำกระโปรงสีแดงมาให้ลองสวมทันที
เมื่อเห็นพนักงานขายส่งชุดสีแดงมาให้ เฮ่อหลานก็อายเกินกว่าจะปฏิเสธ แต่เพียงมองดูขนาดของมันเธอก็รู้ดีว่าตนเองสามารถใส่ได้ เลยไม่คิดจะลองสวมมันที่นี่ เธอจึงพูดสั้น ๆ ว่า “อย่างนั้นฉันเอากระโปรงตัวนี้ค่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวใส่ถุงให้นะคะ”
เมื่อเห็นเฮ่อหลานชอบและต้องการซื้อมัน จิงเจ้อหรงจ่ายเงินอย่างมีความสุข
หลังทั้งสองซื้อชุดสีแดงแล้ว จิงเจ้อหรงกำลังจะพาเฮ่อหลานไปซื้อเสื้อผ้าที่เขาชอบใส่บ่อย ๆ แต่หลังจากพวกเขาเดินไปได้สักพักก็ได้พบกับหยางซู่โดยบังเอิญ
ทันทีที่หยางซู่เห็นจิงเจ้อหรง เขาพลันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เจ้อหรง กลับมาเมืองหลวงแล้วหรือ? แต่ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ?”
[1] ฝูจิ่ง เป็นย่านช็อปปิ้งใจกลางเมืองหลวงที่มีชื่อเสียง