การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 27 ทั้งเก่งและฉลาด(รีไรท์)
บทที่ 27 ทั้งเก่งและฉลาด(รีไรท์)
บทที่ 27 ทั้งเก่งและฉลาด(รีไรท์)
เมื่อเฮ่อหลานได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนโตพูด เธอก็รีบวางชามและตะเกียบ “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย นั่งลงแล้วมากินเร็ว ๆ พวกลูกค่อยงีบหลับหลังกินข้าวก็ได้”
ตอนนี้ถังซวงหิวมาก เธอจึงหยิบตะเกียบและกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว อาหารกลางวันวันนี้ไม่ใช่ข้าวหรือบะหมี่ แต่เป็นโจ๊กข้น เธอยกชามขึ้นกระดกราวกับว่ายังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน “แม่คะ วันนี้ทำไมไม่ได้ทำกับข้าวอะไรเลยล่ะ?”
ก่อนที่เฮ่อหลานจะพูด ถังเซวี่ยก็พูดขึ้นก่อน
“พี่สาว เพราะพี่ไม่อยู่ไงล่ะ แม่เลยเป็นห่วงพี่จนไม่ได้ทำอาหาร แต่หนูบอกแม่แล้วนะว่าพี่ไม่ชอบอะไรแบบนี้”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวสองคนไม่ชอบ เฮ่อหลานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “แม่ก็รู้ว่าโจ๊กไม่ดีเท่าข้าวกับบะหมี่ แต่ถ้าเรากินของพวกนั้นทุกมื้อ มันเปลืองมากนะ”
“หนูบอกแม่แล้วไงว่าเราสามคนควรบำรุงร่างกายให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ทำในสิ่งที่แม่ต้องการเถอะค่ะ เราก็แค่ต้องไปซื้ออาหารมาใหม่ถ้ามันหมด เรื่องค่าอาหารเดี๋ยวหนูจัดการเองค่ะ แม่ไม่ต้องจ่ายหรอก”
เฮ่อหลานรีบพูดทันที “ซวงเอ๋อร์ นั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่หมายถึงนะ ยิ่งไปกว่านั้นเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงเราก็ต้องช่วยกันสิ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกกับเสี่ยวเซวี่ยในตอนนี้คือการอ่านหนังสือ อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่นเลยนะ”
“แม่คะ หนูเจอพี่ชายคนหนึ่งชื่อพี่เฉินตอนที่ไปขายโสมในตำบล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกในอนาคต เราสามารถไปหาเขาได้เลย ดังนั้นแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินนะ ถ้าหนูจับสัตว์หรือได้พืชพรรณที่มีค่ามา หนูจะเอาไปขายให้เขา เพราะอย่างนั้นแล้วแม่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการอ่านหนังสือของพวกเรานะ เสี่ยวเซวี่ยกับหนูฉลาดจะตาย”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโตคิดเผื่อไว้ทุกอย่างแล้ว จู่ ๆ เฮ่อหลานก็รู้สึกว่าเธอทำพลาดไป
ใช่… แค่ซื้ออาหารมาใหม่เมื่อมันหมดและหาเงินเพิ่มเมื่อเงินไม่มี ทำไมเธอต้องปฏิบัติกับลูกสาวทั้งสองไม่ดีด้วยล่ะ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ซวงเอ๋อร์และเสี่ยวเซวี่ยต่างก็ซูบผอมและตัวเล็ก เพราะพวกเธอไม่ได้กินอิ่มท้องตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงหิวอยู่บ่อย ๆ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ทำให้เฮ่อหลานรู้สึกละอายใจมาก
“ซวงเอ๋อร์ มันเป็นความผิดของแม่เอง ต่อไปนี้แม่จะทำอาหารให้พวกลูกกินอิ่มนะ งั้นเดี๋ยวแม่มา ตอนนี้ค่อย ๆ กินกันไปก่อนนะจ๊ะ” เฮ่อหลานลุกขึ้นและตรงไปยังห้องครัว
เมื่อเห็นแม่เป็นแบบนี้ ถังเซวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ถังซวง
“พี่สาว พี่เป็นคนเดียวเลยที่เกลี้ยกล่อมแม่ได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ตอนที่หนูทำอาหารกับแม่ แม่ยังไม่ฟังที่หนูพูดเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จากนี้ไปพวกเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะ พวกเราจะกินอิ่มทุกมื้อแน่นอน ฉันสัญญา”
พอถังเซวี่ยคิดว่าเธอจะไม่ต้องทนท้องหิวต่อไปแล้ว เธอก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา “เยี่ยมเลย หนูเคยฝันว่าจะมีอาหารกินทุกมื้อด้วยล่ะ” แต่สุดท้ายแล้ว เด็กสาวก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาหารที่บ้านเหมือนกับแม่อยู่ดี “พี่สาว คราวหน้าไปเดินบนภูเขากันนะ เราอาจจะเจอโสมอีกก็ได้”
เมื่อพูดจบ ดวงตาของถังเซวี่ยก็เปล่งประกายแวววาว เพราะโสมที่ขุดได้ครั้งที่แล้วขายได้เงินจำนวนมาก ไม่เพียงแต่พวกเธอยังจะจ่ายหนี้ได้หมด แต่ยังพอสำหรับซื้ออาหารได้อีกหลายเดือน
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของถังเซวี่ย ถังซวงก็หัวเราะออกมาและพูดว่า “เลิกคิดที่จะขึ้นไปบนภูเขาเลยนะ เงินของเราในตอนนี้สามารถใช้ได้อีกนาน ไว้เราคุยเรื่องพวกนี้กันหลังจากที่เราสอบผ่านเข้าโรงเรียนได้เถอะ”
ตอนนี้ถังเซวี่ยเชื่อใจพี่สาวของเธอมาก หลังจากได้ยินดังนั้น เธอพยักหน้าและพูดว่า “อื้ม พี่สาว หนูเข้าใจแล้ว”
“ต่อจากนี้ก็กินให้อิ่มและตั้งใจเรียนล่ะ”
ขณะที่พี่น้องทั้งสองกำลังคุยกัน เฮ่อหลานก็นำชามบะหมี่ต้มมาให้ “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย รีบมากินบะหมี่มา จะได้อ่านหนังสือหลังกินเสร็จ”
หลังจากสองพี่น้องกินเสร็จ พวกเธอก็กลับไปที่ห้องเพื่ออ่านหนังสือ
“พี่สาว หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ พี่ช่วยอธิบายให้ฟังได้ไหม?” ถังเซวี่ยอ่านหนังสือทุกเช้าและได้หยิบยกเรื่องที่เธอไม่เข้าใจมาถามพี่สาวทุกวัน
ถังซวงนั่งฟังเธอและพบว่าสิ่งที่ถังเซวี่ยถามนั้นเป็นความรู้ระดับป.4 ทั้งหมด
“เธออ่านข้อก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้วหรือยัง?”
ถังเซวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “หนูอ่านหมดแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรกับที่เหลือนะ แต่เรื่องคณิตศาสตร์สองสามข้อนี้หนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
เมื่อถังซวงเห็นว่ามันเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมอย่างง่ายที่เรียนในวิชาคณิตศาสตร์ชั้นป. 4 ก่อนอื่นเธออธิบายหัวข้อที่น้องสาวถาม และในขณะเดียวกันก็อธิบายวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว หลังจากนั้นก็เขียนโจทย์ที่คล้ายกันมากมายให้น้อง “เธอลองทำโจทย์พวกนี้ดูนะ และเดี๋ยวพี่จะให้ข้อสอบอีกสองสามข้อด้วย ถ้าเธออยากเก่งคณิตศาสตร์ เธอต้องทำโจทย์พวกนี้มากขึ้นและฝึกฝนให้มากขึ้น”
ถังเซวี่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข เมื่อเธอได้ยิน “พี่สาว งั้นหนูขอทำก่อนนะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ถังเซวี่ยก็ตอบคำถามทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากถังซวงตรวจสอบแล้ว เธอก็ชมเชยอย่างจริงใจว่า “เสี่ยวเซวี่ย เธอเก่งมาก ทำถูกหมดเลย” พี่น้องคู่นี้เริ่มเรียนช้าไปจริง ๆ ทั้งที่พวกเธอฉลาดขนาดนี้กลับไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่ยังเหลือเวลาให้พวกเธอเรียนหนังสืออยู่
“เสี่ยวเซวี่ย ถ้าอย่างนั้นก็อ่านต่อไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะเขียนโจทย์เพิ่มให้”
“อื้ม”
จากนั้นพี่น้องทั้งสองก็ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับโจทย์ของตัวเอง
ถังซวงทำโจทย์เร็วมาก เธอใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงในการทำข้อสอบคณิตศาสตร์สามชุดให้ถังเซวี่ย “เสี่ยวเซวี่ย ทำโจทย์พวกนี้ไปนะ พี่ต้องออกไปก่อน”
ถังเซวี่ยไม่ถามอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “ตกลงค่ะ”
ถังซวงคุยกับเฮ่อหลานอีกครั้งแล้วออกไป
เรื่องของหลี่เต๋อซินยังไม่ได้กระจ่าง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และคิดว่าเธอควรจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
เมื่อค้นหาสถานที่ปลอดสายตาของผู้คน ถังซวงหยิบลูกอมออกมาจากพื้นที่มิติแล้วตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหลี่อีกครั้ง ด้วยลูกอมและการซักถามที่เชี่ยวชาญของเธอ ทำให้เธอหาครอบครัวสามีของหลี่ต้าหยาเพื่อนบ้านของหลี่เต๋อซิน
เจออย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ ถังซวงจึงตรงไปที่บ้านหลี่ต้าหยา
หลี่ต้าหยามองถังซวงด้วยความสงสัย “เธอมาหาใคร?”
“คุณคือหลี่ต้าหยาจากหมู่บ้านตระกูลหลี่ใช่หรือเปล่า ถ้าใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อพบคุณค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ต้าหยาพูดด้วยใบหน้าที่งุนงง “แต่ฉันไม่รู้จักเธอ”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “แน่นอน เราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ตอนนี้รู้จักกันแล้ว”
เมื่อถังซวงออกจากบ้านของหลี่ต้าหยา ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไปที่หมู่บ้านตระกูลหลี่อีกครั้ง และตรงไปหาหลี่จงอี้
“สาวน้อย เธอมาแล้วรึ? ฉันได้สอบถามเกี่ยวกับครอบครัวที่หลี่ต้าหยาแต่งงานแล้ว และฉันยังไปตามสืบเรื่องภรรยาสองคนแรกของหลี่เต๋อซินด้วย ไม่ต้องกังวลนะ น่าจะได้คำตอบในเร็ว ๆ นี้แหละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่จงอี้ ถังซวงก็เล่าเรื่องที่เธอได้พบกับหลี่ต้าหยาให้เขาฟัง
หลี่จงอี้มองเธอด้วยใบหน้าไม่เชื่อและพูดว่า “เธอนี่มีฝีปากไม่ธรรมดาจริง ๆ เธอทำให้หลี่ต้าหยายอมพูดออกมาและยังตกลงที่จะช่วยเป็นพยานให้ด้วย เธอทำได้ยังไง?”
“ที่จริงหนูไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ แค่ให้ผลประโยชน์บางอย่างเท่านั้นเอง”
หลี่จงอี้มองถังซวงอีกครั้งเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น และพูดว่า “มันยากจะเชื่อนะที่สาวน้อยอย่างเธอจะทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวได้” โดยทั่วไปแล้ว เด็กผู้หญิงอายุเท่าถังซวงที่ไม่เคยไปโรงเรียนและไม่เคยเดินทางไกล เขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าถังซวงจะทำได้ถึงขนาดนี้
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็แค่ทั้งเก่งและฉลาดเองค่ะ”