การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 282 แต่งงาน
บทที่ 282 แต่งงาน
บทที่ 282 แต่งงาน
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงถือสิ่งของมากมาย เฮ่อหลานเลยรีบบอกให้เขาวางของลง
และสิ่งที่จิงเจ้อหรงถือมาด้วยคือของที่ซูเหนียนอวิ๋นบอกกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาแสดงความจริงใจด้วยการนำมันมาด้วย หลังจากเขามองเฮ่อหลานด้วยแววตาเป็นประกาย เขาพูดต่อว่า “อาหลาน พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี ผมจะมารับคุณแต่เช้านะครับ”
จิงเจ้อหรงพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมาย ทำให้เฮ่อหลานรู้สึกเขินอายไม่น้อย แต่เธอไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในใจเต็มไปด้วยความสุข และด้วยสายตาคาดหวังของจิงเจ้อหรง เธอพยักหน้ารับทันที
ส่วนซูเหนียนอวิ๋นที่เห็นรายการสินสอดทองหมั้นจำนวนมากที่จิงเจ้อหรงนำมา เธอรีบเรียกเก่อชิงเหมย ถังซวง โม่เจ๋อหยวน และคนอื่น ๆ ให้มาช่วยจิงเจ้อหรงทันที “ดูเหมือนทุกคนจะทำงานอย่างหนักเลยนะ อย่างนั้นพักกินข้าวเที่ยงแล้วค่อยกลับเถอะนะ”
จิงไค่หรงก้าวไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ซูครับ พวกเราออกจากบ้านนาน ๆ ไม่ได้ พวกเราขอกลับก่อนนะครับ”
“ครับอาจารย์ซู ไม่ต้องห่วงพวกเรานะครับ”
จิงซิ่วหรงยิ้มกว้าง
วันนี้จิงเหวินหยวนและจิงเหวินรุ่ยก็มาเช่นกัน นอกจากครอบครัวจิงแล้วยังมีเพื่อนของจิงเจ้อหรงอีกสองคนด้วย
ก่อนหน้านี้จิงเจ้อหรงทำงานในเมืองเวินซาน มณฑลเจียง และเคยพาเฮ่อหลานมาที่เมืองหลวงแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นการมาเยือนที่กะทันหัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยพบเจอเฮ่อหลานมาก่อน และเมื่อได้เจอกันคราวนี้ทั้งสองจึงเห็นว่าเธอไม่เหมือนที่คิดเอาไว้แม้แต่น้อย หญิงสาวตรงหน้าดูดีเสียยิ่งกว่าจิงเจ้อหรงซะอีก แต่เธอมีลูกสาวที่โตมากขนาดนั้นแล้วถึงสองคน ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ
จิงเจ้อหรงสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนทั้งสอง เลยมายืนบังเฮ่อหลาน
“อาหลาน พวกเราไม่กินหรอกครับ ยังมีเรื่องให้จัดการที่บ้านอีกเยอะแยะเลย วันนี้คุณรีบเข้านอนนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
เฮ่อหลานพยักหน้า และไม่อยากเก็บความลับอีกต่อไป เธอต้องมอบเสื้อผ้าให้กับจิงเจ้อหรง หญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าใบใหญ่พร้อมกับยื่นให้เขา “อาเจ้อ นี่คือเสื้อผ้าของคุณค่ะ แล้วก็ของคุณลุงคุณป้าด้วย”
จิงเจ้อหรงรู้ว่าเฮ่อหลานปักเสื้อผ้าใหม่ให้เขากับพ่อแม่ เขารับกระเป๋านั้นไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดว่า “ครับ พรุ่งนี้ผมจะใส่มัน”
เฮ่อหลานยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ และตั้งตารอว่าจิงเจ้อหรงในชุดใหม่นี้จะดูดีแค่ไหน
หลังจากจิงเจ้อหรงรับชุดไป เขาหันมาพูดกับหนิงฮ่าวและหลิวเชาโดยตรงพร้อมกับดึงทั้งสองคนออกมา “ไปได้แล้ว พวกนายจะยืนตรงนี้อีกนานไหม”
หลังออกจากประตูแล้ว หนิงฮ่าวและหลิวเชาคว้าจิงเจ้อหรงเอาไว้แล้วพูดว่า “เฮ้ จิงเจ้อหรง นายไม่เคยบอกพวกเราเลยว่าพี่สะใภ้สวยขนาดนี้”
จิงเจ้อหรงมองทั้งสองคนอย่างไม่พอใจ “หยุดพูดถึงคู่หมั้นฉันได้แล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น หนิงฮ่าวและหลิวเชายกยิ้มเขินอายก่อนจะเงียบปากลง
แต่หลิวเชาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “อาเจ้อ นายไม่ได้เชิญหยางซู่หรือ? ทำไมไม่เห็นเขามางานของนายเลย?” แม้พื้นฐานครอบครัวของหยางซู่จะไม่ดีเทียบเท่ากับพวกเขา แต่ทั้งหมดก็โตมาด้วยกัน ก่อนหน้านี้หยางซู่กับอาเจ้อยังทำงานในเมืองเวินซานด้วยกันอยู่เลย แต่กลับไม่เห็นเขาในวันสำคัญของอาเจ้อ อย่างนี้
เมื่อพูดถึงหยางซู่ จิงเจ้อหรงก็เย็นชาทันที
“ฉันให้บัตรเชิญเขาแล้ว พรุ่งนี้เขาน่าจะมางานเลี้ยง”
ได้ยินอย่างนั้น หนิงฮ่าวและหลิวเชารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เวลานี้จิงเจ้อหรงกำลังจะแต่งงานมันจึงไม่เหมาะสมที่จะถาม พวกเขาจึงหยุดปาก
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเฮ่อหลานรับของหมั้นเสร็จสิ้นแล้ว เธอเตรียมสินสอดที่จะนำไปในวันพรุ่งนี้ โชคดีที่เก่อชิงเหมย พานลี่ฮวา และหลินเหม่ยเจินคอยช่วย เธอจึงทำทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็ว
“พี่คะ พี่สะใภ้ เหม่ยเจิน ขอบคุณทุกคนมากนะคะ”
“อาหลาน เธอยังไม่ได้พักผ่อนเลย คงจะหิวสินะ เราไปกินข้าวกันดีกว่า”
ได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันจะไปดูในห้องครัวนะคะ” เพราะทุกคนกำลังยุ่งอยู่ที่นี่ ทำให้ถังซวง ถังเซวี่ย และโม่เจ๋อหยวนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในห้องครัว
และถังซวงเดินเข้ามา
“แม่คะ ถึงเวลากินข้าวแล้วค่ะ”
หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว พวกเขาพบว่ามีอาหารเต็มโต๊ะ และดูน่าอร่อยทั้งหมด
“ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย พวกเธอเก่งกันมากเลยจ้ะ”
พานลี่ฮวาและหลินเหม่ยเจินต่างกล่าวชื่นชม และยังชมทั้งสองคนตลอดมื้ออาหาร แต่โม่เจ๋อหยวนและเฮ่อเจียรุ่ยกลับไม่ได้รับคำชมใด ๆ เลย
และเพราะพรุ่งนี้คือวันหยุด ทุกคนรีบกลับไปพักผ่อนหลังจากผ่านพ้นความวุ่นวายตลอดทั้งวัน
วันที่สิบเก้า เดือนสิบสอง คือฤกษ์งามยามดีในการจัดงานแต่งงาน
เฮ่อหลานตื่นแต่เช้า เธอมองห้องที่ถูกตกแต่งไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
“แม่คะ ตื่นแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงถังซวง เฮ่อหลานประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ซวงเอ๋อร์ ทำไมตื่นเร็วจังล่ะจ้ะ?” ขณะพูดอย่างนั้น เธอเปิดประตูออกไปและพบว่าลูกสาวคนเล็กของตนก็อยู่ที่นี่ด้วย
“หนูมาแต่งหน้าให้ค่ะ”
ถังซวงยกตะกร้าใบเล็กในมือแล้วพูดว่า “วันนี้แม่จะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลย”
“พวกลูกจะทำให้แม่อายเหรอ?”
ตามจริงแล้วเฮ่อหลานคิดว่าจะแต่งหน้าตัวเอง แต่จู่ ๆ ลูกสาวคนโตกลับหยิบเครื่องสำอางมาด้วย
“แม่คะ นั่งลงเถอะ แม่ดูหน้าน้องสิ สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ถังเซวี่ยเงยหน้าขึ้นเพื่อให้เฮ่อหลานมองเห็นชัด ๆ
เวลานั้นเองที่เฮ่อหลานเห็นว่าลูกสาวคนเล็กแต่งหน้าด้วย แต่เธอไม่ทันได้สังเกต และเวลานี้เธอรู้สึกว่าลูกสาวคนเล็กยิ่งดูสวยและน่ารักกว่าปกติมาก
เฮ่อหลานเลยยอมนั่งลงแล้ว ถังซวงเริ่มแต่งหน้าให้เธอ
ถึงการแต่งหน้าในปัจจุบันนี้ยังไม่ดีนัก แต่ถังซวงหวังว่าแม่ของเธอจะต้องสวยที่สุด เธอจึงทำทุกอย่างขึ้นเอง เลยเอาเครื่องสำอางออกมาจากพื้นที่มิติ ซึ่งฉลากทั้งหมดถูกฉีกออกหมดสิ้นไม่หลงเหลือเบาะแสใด ๆ ให้สืบค้น
ถังซวงลงแปรงอย่างระมัดระวัง หลังจากสะบัดข้อมือไปมาครึ่งชั่วโมง เธอหยุดมือด้วยความพอใจ “เสร็จแล้วค่ะ”
“ว้าว… คุณแม่สวยมากเลย”
ถังเซวี่ยตกตะลึงอยู่นาน เพราะเธอรู้สึกว่าแม่ของตนคือเจ้าสาวที่สวยที่สุดที่เคยพบเจอมาในชีวิตนี้
ส่วนเฮ่อหลานก็นั่งอึ้งมองตัวเองในกระจก “นี่… แม่จริง ๆ หรือ? แม่สวยขนาดนี้เลยหรือ?”
“ใช่ แม่สวยที่สุด”
ถังซวงลอบขบขันกับท่าทีของแม่ตนเอง จากนั้นเสี่ยวเซวี่ยดึงเฮ่อหลานให้ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า “แม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า หนูจะทำผมให้”
“จ้ะ ๆ”
เฮ่อหลานหยิบชุดสีแดงออกมาสวมใส่ ในวันแต่งงานการใส่สีแดงสดนั้นเป็นสีมงคล และเฮ่อหลานเต็มใจที่จะสวมใส่มันด้วย หลังจากใส่แล้ว ผิวพรรณของเธอยิ่งเปล่งประกายอย่างไม่อาจละสายตา
ถังซวงมัดผมของเฮ่อหลานอย่างรวดเร็วก่อนจะปักดอกไม้สีแดงสดไว้บนศีรษะ
“โอ้โห… อาหลาน เธอสวยมากเลย”
เมื่อเก่อชิงเหมยกับพานลี่ฮวามาถึง พวกหล่อนถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นเฮ่อหลาน ขณะนั้นจึงหมุนตัวเฮ่อหลานแล้วยังกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก
เวลาแปดโมงห้าสิบ มีเสียงประทัดดังขึ้นด้านนอกของประตู
“เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวแล้ว…”