การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 303 กลัวจะติดร่างแห
บทที่ 303 กลัวจะติดร่างแห
บทที่ 303 กลัวจะติดร่างแห
หลังได้ยินคำพูดของถังเซวี่ยแล้ว เฟิงเยี่ยหานก็ไม่ดื้อรันและยังเดินตามถังเซวี่ยไปตลอดทาง อีกทั้งให้ถังเซวี่ยตัดสินใจทุกอย่าง
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าประตู มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังขึ้นจากด้านนอก
“อะไรกัน ฉันเห็นพวกมันวิ่งมาทางนี้ ตอนนี้หายไปไหนแล้ว?”
“มันอาจจะหลบอยู่แถวนี้ ไล่ตามต่อไป”
“อืม”
ไม่นาน เสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้นเริ่มไกลห่างออกไป แต่ถังเซวี่ยยังคงให้เฟิงเยี่ยหานซ่อนตัวอยู่ในบ้าน เวลานั้นเองมีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดดังขึ้นจากด้านนอกอีกครั้ง “แน่ใจนะว่าไม่ได้อยู่แถวนี้จริง ๆ ลองไปหาตรงนู้นแล้วกัน”
“อืม”
ถังเซวี่ยพยุงเฟิงเยี่ยหานก่อนจะรอสักพักหนึ่ง และกำลังเตรียมตัวที่จะออกไปที่นี่
“เฮ้อ… อันตรายจริง ๆ ด้วย โชคดีที่พวกนั้นหาเราไม่เจอ”
เฟิงเยี่ยหานมองถังเซวี่ยไม่ละสายตา ใบหน้าของเขาดูสบายใจขึ้น และยังกล่าวต่อว่า “ขอโทษนะ ผมทำให้คุณต้องลำบาก”
ถังเซวี่ยโบกมือแล้วพูดต่อว่า “ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เราเจอกัน คุณจะถูกไล่ล่าแล้วก็ใกล้ตายตลอด ก่อนหน้านี้ก็ที่เมืองก่างเฉิง คราวนี้ยังในปักกิ่งอีก คนพวกนั้นยังไม่ถูกจับอีกหรือคะ”
เฟิงเยี่ยหานได้ยินอย่างนั้นก็ยกยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “เพราะผมมีศัตรูมากเกินไป พวกเขาเลยอยากให้ผมตายน่ะ” เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวประชดประชันต่อท้าย “ศัตรูที่เรียกว่าครอบครัว และเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด น่าตลกสิ้นดี” ความจริงเขาเตรียมการเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในกลุ่มลูกน้องของตัวเอง คนเหล่านั้นไม่รีรอที่จะใช้โอกาสนี้ลงมือ
เห็นเฟิงเยี่ยหานอย่างนี้ ถังเซวี่ยอดไม่ได้ที่จะปลอบใจอีกฝ่าย “โชคดีแล้วนะคะที่คุณรอดมาได้ ในเมื่อคนพวกนั้นต้องการให้คุณตาย คุณก็ต้องมีชีวิตต่อไปสิ”
พอได้ยินคำพูดนั้น เฟิงเยี่ยหานหันมองถังเซวี่ยด้วยแววตาคาดเดายากก่อนจะยกยิ้ม
“อื้ม ผมอยากมีชีวิตต่อ หลังจากผมกลับไปรอบนี้ ผมจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด” แม้ภายนอกจะดูเย็นชา แต่ความจริงเขากลับเป็นคนใจอ่อน คราวที่แล้วหากเขาไม่คิดถึงหน้าของพ่อล่ะก็ การจัดการกับคนพวกนี้คงไม่เลยเถิดมาถึงขั้นนี้
หลังเห็นว่าเฟิงเยี่ยหานยิ้มได้ ถังเซวี่ยหัวเราะ “เอาล่ะ ก่อนอื่น เราต้องออกจากที่นี่ก่อน”
ถังเซวี่ยพยุงเฟิงเยี่ยหานออกมาด้านนอก หลังจากเดินมาสักระยะหนึ่ง ถังเซวี่ยหยุดพักเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “สหายเฟิง ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
เฟิงเยี่ยหานส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล แล้วอาการบาดเจ็บของคุณล่ะ?”
เฟิงเยี่ยหานมองถังเซวี่ยอย่างยิ้ม ๆ ก่อนจะตอบกลับว่า “ผมจะหาคนมาจัดการกับมันเอง คุณไม่ต้องลำบากหรอก”
“หา? หาคนที่จะมาทำแผลให้อย่างนั้นหรือ?”
เฟิงเยี่ยหานพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “อื้ม”
“งั้นก็ไปเถอะ”
เห็นเฟิงเยี่ยหานตอบอย่างนั้น ถังเซวี่ยไม่คิดใส่ใจต่อ
หลังจากเห็นถังเซวี่ยกำลังจะไปแล้ว เฟิงเยี่ยหานรีบเรียกเธอเอาไว้ “คุณถังเซวี่ย ผมถามได้ไหมว่าตอนนี้คุณอาศัยอยู่ที่ไหน? ไว้คราวหน้าผมจะไปเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องมาเยี่ยมหรอก วันนี้เราแค่บังเอิญเจอกัน บางที่อาจจะเป็นโชคชะตาล่ะมั้ง” กล่าวตามตรง มันก็น่าจะเป็นโชคชะตาจริง ๆ นั่นแหละ เธอบังเอิญพบกับเฟิงเยี่ยหานในช่วงสองสามวันแรกในเมืองก่างเฉิง แล้วตอนนี้เขายังมาที่ปักกิ่งอีก
แต่เฟิงเยี่ยหานยังคงดื้อรั้น
“คุณถังเซวี่ยนี่คือครั้งที่สอง คุณช่วยผมไว้สองครั้งแล้วนะ ถือว่าคุณคือผู้มีบุญคุณของผม ผมจะต้องไปเยี่ยมคุณสิถึงจะถูก บอกที่อยู่ของคุณมาเถอะนะ แล้วผมจะมาเยี่ยมทีหลัง”
ถังเซวี่ยสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเฟิงเยี่ยหาน และการที่เขาอยากจะเจอเธออีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงบอกที่อยู่ของบ้านตระกูลจิงไป “แม่ของฉันเพิ่งแต่งงานเมื่อไม่นานนี้น่ะ ตอนนี้เราทุกคนอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลจิง”
“ขอโทษนะ ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่อย่างนั้นคงเตรียมของขวัญมาด้วยแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ถังเซวี่ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะรีบให้เขาจัดการกับบาดแผล “ในเมื่อมีคนรักษาบาดแผลให้คุณแล้ว ฉันจะไม่พาไปโรงพยาบาลแล้วกัน”
จากนั้นถังเซวี่ยโบกมือให้เฟิงเยี่ยหานแล้วแยกย้ายกลับบ้าน
เมื่อถังเซวี่ยกลับมาถึงบ้าน เธอเห็นว่าถังซวงกลับมาแล้ว “พี่คะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”
เห็นถังเซวี่ยกลับมาแล้ว ถังซวงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่บอกว่าเธอกับหม่าเสี่ยวชุ่ยออกไปซื้อขนมกันงั้นหรือ? ซื้ออะไรมาบ้างล่ะ?”
“พี่คะ ฉันซื้อขนมมาเยอะเลย ทั้งหมดนี้เสี่ยวชุ่ยแนะนำว่าอร่อยมาก พี่ลองชิมดูสิคะ ฉันลองชิมไปสองสามชิ้นแล้ว อร่อยมาก”
เมื่อเห็นขนมมากมายในถุง ถังซวงเลือกมาชิมสองอย่าง และพบว่ามันอร่อยมากจริง ๆ “อื้ม อร่อยดี ดูเหมือนว่าหม่าเสี่ยวชุ่ยจะเชี่ยวชาญเรื่องร้านอาหารอร่อย ๆ นะ”
“ใช่ค่ะ เธอบอกฉันว่าอาหารที่บ้านของเธออร่อยมาก คราวหน้าเธอชวนฉันไปเที่ยวที่บ้านด้วยแหละ”
หลังพูดจบแล้ว ถังเซวี่ยตบหน้าผากตัวเองก่อนจะบ่นพึมพำ “โอ้ย ฉันลืมสนิทเลย แม่บอกให้ฉันชวนเธอมาเที่ยวที่บ้านช่วงสุดสัปดาห์”
“ไม่เป็นไรหรอก สัปดาห์หน้าเธอก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว ค่อยชวนทีหลังก็ได้”
“อาทิตย์หน้าฉันจะเชิญเธอมาค่ะ”
หลังพูดจบแล้ว ถังเซวี่ยลังเลที่จะพูดถึงเฟิงเยี่ยหาน เพราะครั้งสุดท้ายพี่สาวเน้นย้ำกับเธอว่าไม่ให้ติดต่อกับเขาอีก เดิมทีเธอคิดว่าเธอกับเฟิงเยี่ยหานจะไม่พบกันอีกแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้พบเขาในเมืองหลวงอีกครั้งเร็วแบบนี้
ถังซวงเห็นแล้วว่าน้องสาวมีบางอย่างจะพูดแต่ยังลังเล จึงถามตรง ๆ ว่า “เสี่ยวเซวี่ย มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า?”
“ไม่… ไม่มี…”
“เสี่ยวเซวี่ย ทุกครั้งที่เธอโกหก หน้าเธอจะเป็นอย่างนี้ตลอด ถ้ามีอะไรก็รีบพูดมา ระหว่างเราสองพี่น้องไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบังกัน”
ได้ยินอย่างนั้น ถังเซวี่ยจึงพูดเรื่องของเฟิงเยี่ยหานออกไป “พี่คะ วันนี้ฉันได้เจอกับสหายเฟิงด้วย แล้วฉันก็ช่วยเขาไว้ เพราะยังไงเราก็รู้จักกัน…” ในตอนท้ายถังเซวี่ยก้มศีรษะลงอย่างยอมรับผิด
ถังซวงไม่คิดว่าถังเซวี่ยจะได้พบกับเฟิงเยี่ยหานอีกครั้งเช่นกัน แต่เธอก็รู้ว่าเสี่ยวเซวี่ยเป็นคนจิตใจดี และไม่มีทางฝืนใจไม่ช่วยเฟิงเยี่ยหานแน่นอน เธอจึงยกยิ้มแล้วพูดปลอบโยนถังเซวี่ยว่า “เสี่ยวเซวี่ยของเราใจดีที่สุด แต่เรื่องที่เกิดในวันนี้อันตรายมาก เธอจะวิ่งไปกับเขาได้ยังไง? แล้วถ้าเธอตกอยู่ในอันตรายด้วยจะทำยังไงล่ะ?”
ถังซวงจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
ถังเซวี่ยพูดอย่างอ้ำอึ้งว่า “ฉัน… คราวหน้าฉันจะระวังให้มากค่ะ”
ถังซวงถอนหายใจหลังได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันเคยบอกใช่ไหมว่าอยู่ให้ห่างจากเฟิงเยี่ยหาน? ความจริงแล้วเพราะฉันกลัวจะเกิดเรื่องอันตรายกับเธออย่างนี้แหละ เฟิงเยี่ยหานเป็นตัวอันตราย และทุกสิ่งรอบตัวเขาล้วนแต่อันตราย ฉันกลัวว่าเธอจะติดร่างแหไปด้วยต่างหาก”