การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 320 ไม่รู้จักสำนึกผิด
บทที่ 320 ไม่รู้จักสำนึกผิด
บทที่ 320 ไม่รู้จักสำนึกผิด
กัวเฟยน่ามองถังซวงที่อยู่ตรงหน้า พลางรู้สึกถึงโซ่ตรวนที่รัดบนคอ ในตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แก… แก…”
ถังซวงไม่พูดอะไร แต่บีบคอกัวเฟยน่าอย่างแรง มองดูสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีม่วงไปทีละนิด ๆ
“อึก… อึก…”
ในตอนนี้กัวเฟยน่าพูดไม่ออกแล้ว แววตาเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตาไหลรินออกมาจากหางตา พยายามดิ้นรนสุดชีวิต และส่ายหัวอย่างยากลำบาก ขอร้องให้ถังซวงปล่อยเธอไป
“เฮือก…”
ถังซวงที่ควบคุมใจแรงของตัวเองอยู่ เมื่อสังเกตเห็นกัวเฟยน่าถึงขีดจำกัดแล้ว ก็โยนอีกฝ่ายลงพื้นทันที “ฉันไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเธอจะทำแบบนี้ ทำไม… อยากสั่งสอนฉันมากขนาดนั้นเลยหรือ แต่น่าเสียดายนะที่แผนของเธอล้มเหลวซะแล้ว และเธอต้องจ่ายในสิ่งที่เธอกระทำลงไปด้วย”
“แค่กแค่ก…”
กัวเฟยน่ารู้สึกเจ็บปวดที่คอ เธอกุมลำคอไว้ หอบหายใจหนัก จนตอนนี้เธอถึงได้สติกลับมา ในขณะเดียวกันหัวใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ว่าทำอะไรลงไป และก็เริ่มกังวลกับชะตากรรมของตัวเอง
เมื่ออีกฝ่ายมารังแกตัวเองถึงที่แล้ว ถังซวงย่อมไม่ปล่อยกัวเฟยน่าไปง่าย ๆ เธอจึงไปขอลาหยุดที่โรงเรียนก่อน จากนั้นก็ส่งกัวเฟยน่ากับคนอื่น ๆ ไปที่สถานีตำรวจ และสุดท้ายก็ติดต่อจิงเจ้อหรง
เมื่อจิงเจ้อหรงได้ยินเรื่องนี้ ก็รู้สึกกังวลไปชั่วขณะ
[ซวงเอ๋อร์ ลูกรออยู่ที่นั่นก่อน พ่อจะไปเดี๋ยวนี้แหละ] แต่ถังซวงกลับไม่รู้สึกกังวล “พ่อคะ ถ้าพ่อยุ่งอยู่ก็ไม่ต้องมาก็ได้ หนูจัดการเองได้”
[ไม่เป็นไร พ่อจะไปเดี๋ยวนี้แหละ]
หลังจากจิงเจ้อหรงวางสาย เขาก็รีบไปหาถังซวง แต่ก่อนหน้านั้น เขาได้ติดต่อกับจิงซิวหรงพี่รองของเขาอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับบ้านรองไม่มากก็น้อย
เมื่อจิงซิวหรงรู้เรื่องนี้ ก็ตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าการนัดดูตัวที่ภรรยาจัดแจงให้ลูกชาย จะทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากไม่ใช่เพราะถังซวงมีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจ เขาไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย [อาเจ้อ ฉันกำลังจะออกไป เรื่องนี้เลวร้ายมาก เราต้องเอาเรื่องเธออย่างหนัก]
“ได้ งั้นฉันวางสายก่อนนะ”
หลังจากจิงเจ้อหรงแจ้งจิงซิวหรงเสร็จ ก็ตรงไปพบกับถังซวง
“ซวงเอ๋อร์ ลูกได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของจิงเจ้อหรง ถังซวงก็ส่ายหน้า “พ่อไม่ต้องเป็นห่วง หนูไม่เป็นไร แต่เฟยน่าคนนั้นคงมีความรู้นิดหน่อย เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอก็ยืนยันว่าพวกเขาพยายามทำร้ายคนแต่ไม่สำเร็จ เลยอาจจะได้รับโทษไม่มากน่ะค่ะ”
แม้แต่ถังซวงเองก็ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่กัวเฟยน่าสงบสติลงแล้ว สมองก็ยังใช้งานได้ดีอยู่อีก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของจิงเจ้อหรงก็เคร่งเครียดทันที
“ในเมื่อเธอกล้าให้คนมาทำร้ายลูก ก็ต้องชดใช้อย่างถึงที่สุด พ่อจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นรอดไปได้เด็ดขา เพราะที่ลูกรอดมาได้ในครั้งนี้เพราะทักษะการต่อสู้ของลูกที่ทำให้รอดพ้นจากอันตรายมาได้ต่างหาก”
“ใช่ค่ะ วันนี้หากหนูไม่สู้ หนูคงต้องได้รับความอัปยศอดสูจากผู้ชายพวกนั้นแน่ เราไม่ควรปล่อยคนพวกนั้นไปสักคนเดียว” เมื่อเอ่ยมาถึงตอนท้าย ในตาถังซวงแฝงไปด้วยความอำมหิต
จิงเจ้อหรงเห็นถังซวงเช่นนี้ ก็ไม่คิดว่าลูกของเขาโหดร้ายแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรการเมตตาต่อศัตรูคือการทำร้ายตัวเอง “ซวงเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลนะ คนพวกนั้นจะไม่มีใครรอดไปได้สักคนเดียว”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ครอบครัวของจิงซิวหรงก็เข้ามา
“ซวงเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
เมื่อเมิ่งผิงได้รับโทรศัพท์จากสามี เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย สุดท้ายก็พยายามสงบสติอารมณ์และตามมาด้วย เธอไม่คิดเลยว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง จะทำให้ถังซวงตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
จิงเหวินรุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็มองไปที่ถังซวงด้วยสีหน้าเป็นห่วงเช่นกัน
“ซวงเอ๋อร์ เธอได้บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เขาได้ยินว่ากัวเฟยน่าพาชายร่างใหญ่หลายคนมาหาเรื่องถังซวง เขาแทบไม่กล้าจินตนาการถึงภาพนั้นเลย
ถังซวงเห็นแววตาสำนึกผิดและความกังวลบนใบหน้าของครอบครัวลุงรอง ก็รีบเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้ม “ลุงรอง ป้ารอง พี่รองคะ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไรเลย คนพวกนั้นทำร้ายฉันไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นว่าถังซวงไม่เป็นไรจริง ๆ ครอบครัวจิงซิวหรงถึงได้วางใจ
และเมิ่งผิงมองไปที่ถังซวงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด และเอ่ยว่า “ซวงเอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นความผิดของป้าเอง ถ้าป้าไม่นัดดูตัวให้เหวินรุ่ยเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ป้ารองคะ นี่จะโทษป้าก็ไม่ได้หรอกค่ะ ใครจะคิดว่ากัวเฟยน่าจะเป็นคนแบบนี้ โชคดีที่เราได้เห็นธาตุแท้ของเธอเร็ว ไม่งั้นหากเธอแต่งงานกับพี่รองจริง คงเป็นการทำร้ายพี่รองไปตลอดชีวิต”
จิงเหวินรุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าขยาด “นั่นสิ หากไปพัวพันกับผู้หญิงอย่างกัวเฟยน่าจริง ๆ ฉันคิดว่าชีวิตที่เหลือของฉันคงจบเห่แล้ว”
เมิ่งผิงได้ยินเช่นนี้ ก็ตระหนักว่าตัวเองทำผิดไปแล้วจริง ๆ นอกจากความรู้สึกผิดต่อถังซวงแล้ว เธอก็ยังรู้สึกผิดต่อลูกชายของเธอด้วย “เหวินรุ่ย ต่อไปแม่จะไม่ให้ลูกไปดูตัวอีกแล้ว ลูกอยากหาคู่เมื่อไหร่ก็ตามใจลูก แม่จะไม่ก้าวก่ายอีก”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเธอกังวลที่ลูกชายอายุมากแล้วก็ยังคู่ไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับความสุขและชีวิตของลูกชาย เธอรู้สึกว่าจะหาหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ
จิงเหวินรุ่ยได้ยินคำพูดมารดา จึงถามอย่างประหลาดใจ “แม่ครับ แม่จะไม่ให้ผมไปนัดดูตัวแล้วจริง ๆ หรือ?”
เขารู้ว่าช่วงนี้แม่ของเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากเธอ
เมิ่งผิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ ไม่แล้วจ้ะ”
จิงซิวหรงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องดูตัวไม่ดูตัวดีกว่า เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
“ใช่ เรารีบเข้าไปกันเถอะ”
เมื่อทุกคนเข้าไปข้างใน ก็มีชายวัยกลางคนท่านหนึ่งออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ เขาเตรียมจะเรียกคนมารอต้อนรับ แต่ถูกจิงเจ้อหรงห้ามไว้ “หัวหน้าตู้ ไม่ต้องต้อนรับพวกเราหรอกครับ พวกเรามาดูคดีกันก่อนดีกว่า”
“ได้ครับ ๆ เชิญทางนี้”
ตู้หรงหมิงได้ยินแบบนี้ ก็รีบเชิญจิงเจ้อหรงและคนอื่น ๆ เข้าไปข้างใน เพราะวันนี้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาแจ้งความ ในตอนแรกพวกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร รู้สึกแค่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เก่งมาก สามารถจัดการคนที่ไปหาเรื่องนางด้วยตัวเอง ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่า เด็กหญิงคนนี้มาจากตระกูลจิง จึงไม่กล้าละเลยเธอ
เมื่อทุกคนมาถึงห้องสอบสวน ก็เห็นกัวเฟยน่าหดตัวอยู่ที่นั่น
เมิ่งผิงเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ก้าวเข้าถามทันที “กัวเฟยน่า ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นปัญหาของเธอเองแท้ ๆ ทำไมถึงต้องมาหาเรื่องซวงเอ๋อร์ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กัวเฟยน่าก็มองเมิ่งผิงอย่างซึ่ง ๆ หน้า พลันหัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ทำไมมันถึงเป็นแค่ปัญหาของฉันล่ะ? พวกคุณควรจะรับผิดชอบด้วยสิ หากพวกคุณไม่ให้ความหวังฉัน ฉันจะมีความคิดอยากแต่งเข้ามาอยู่ในตะกูลจิงได้ยังไง ดังนั้นพวกคุณผิด ผิดทั้งหมด”
“เธอ…”
เมิ่งผิงไม่คิดเลยว่ากัวเฟยน่าจะกล้าปัดความผิดมาให้พวกเขา “เธอนี่ไม่รู้จักสำนึกผิดจริง ๆ ครั้งนี้ต้องให้เธอได้รับบทเรียนอย่างถึงที่สุด”