การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 321 เถียงข้าง ๆ คู ๆ
บทที่ 321 เถียงข้าง ๆ คู ๆ
บทที่ 321 เถียงข้าง ๆ คู ๆ
กัวเฟยน่าในตอนนี้สงบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ในขณะเดียวกันเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรถังซวงเลย ตรงกันข้ามพวกเขากลับถูกถังซวงซ้อมด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่เกรงกลัวใด ๆ
“บทเรียนบ้าบออะไร ฉันจะให้สหายตำรวจของฉันจับกุมถังซวงด้วยซ้ำ พวกคุณดูที่คอของฉันสิ แล้วดูบาดแผลบนตัวของคนพวกนั้น ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของถังซวงนะ”
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของกัวเฟยน่า ถึงได้พบว่าคนเหล่านี้ล้วนได้รับบาดเจ็บจริง ๆ อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส และลำคอของกัวเฟยน่าเป็นรอยบีบช้ำเขียว
จิงเหวินรุ่ยส่ายหน้าปฏิเสธอย่างลืมตัว
“เป็นไปไม่ได้ ซวงเอ๋อร์ไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“เฮอะ… เธอเป็นคนทำทั้งหมด พี่รองอย่างคุณนี่ไม่รู้จักเธอดีเลยนะ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนเธอซ้อมคนอื่นมันโหดร้ายแค่ไหน ตอนนั้นเธอต้องการฆ่าฉันจริง ๆ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะการฆ่าคนผิดกฎหมาย ป่านนี้คงไม่รู้ว่าเธอฆ่าไปกี่คนแล้ว”
จนถึงตอนนี้ กัวเฟยน่ายังคงจำสายตาของถังซวง รวมถึงท่าทางตอนบีบคอเธอในตอนนั้นได้ ถังซวงนั้นราวกับเป็นปีศาจที่สังหารคนโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วรู้สึกว่าคอของเธอก็อาจจะขาดแล้วด้วยซ้ำ
จิงเหวินรุ่ยที่เห็นกัวเฟยน่าเอ่ยอย่างตื่นเต้น ก็อดมองถังซวงไม่ได้
ซึ่งถังซวงไม่ปฏิเสธ “ใช่ ฉันบีบคอเธอจริง แต่ใครให้เธอพาคนมากมายมาล้อมจับฉันล่ะ อีกอย่างเมื่อผู้ชายพวกนั้นเห็นว่าฉันสวย ก็วางแผนจะทำเรื่องมิดีมิร้ายกับฉันอีก ฉันจะปล่อยคนแบบนี้ไปได้ยังไง”
“อะไรนะ… พวกมันกล้าดียังไง”
จิงเหวินรุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็แทบระเบิดโทสะออกมา สำหรับเด็กสาวแล้ว ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่แผนของคนเหล่านี้เป็นสิ่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ในตอนนี้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ถังซวงทำมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ “ซวงเอ๋อร์ น่าจะบีบคอเธอให้ตายไปซะ”
ถังซวงชำเลืองมองจิงเหวินรุ่ยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย พลางกล่าว “จริง ๆ ฉันก็อยากบีบคอเธอให้ตาย แต่ถ้าทำแบบนั้นฉันก็จะเป็นฆาตกร และอาจต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกสิคะ”
เมิ่งผิงทุบลูกชายตัวเองเหมือนเคย “เหวินรุ่ย ลูกกำลังพูดบ้าอะไรอยู่น่ะ”
จิงเหวินรุ่ยพลันตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นั้นรุนแรงไปหน่อย จึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” แต่ในใจเขาก็คิดว่าพวกกัวเฟยน่านั้นชั่วเกินไป ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับถังซวง
ตู้หรงหมิงอยู่ข้าง ๆ มาตลอด เห็นความโกรธของตระกูลจิง ก็รีบเอ่ย “เรื่องนี้เราจะตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอนครับ และจะให้ความยุติธรรมแก่คุณหนูจิงด้วย”
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่าจิงเจ้อหรงแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากชนบท และหญิงชนบทคนนั้นมีลูกสาวติดสองคน ซึ่งคนตรงหน้าน่าจะเป็นลูกสาวคนโตของจิงเจ้อหรง เพียงแต่… หญิงสาวชนบททุกคนสวยขนาดนี้เลยหรือ เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวที่สวยขนาดนี้ในเมืองหลวงมาก่อนเลย เมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้า เขาก็คิดจินตนาการว่ามารดาของหญิงสาวคนนี้จะสวยขนาดไหนนะ ไม่น่าแปลกที่จิงเจ้อหรงจะตกหลุมรักเธอ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการจัดการเรื่องนี้ให้เป็นที่พึงพอใจของทุกคนในครอบครัวจิง
ในตอนที่ตู้หรงหมิงจะพูดในสิ่งที่เขาเตรียมไว้ ก็มีคนอีกสองคนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความวิตกกังวล สายตาสอดส่องมองหาบางอย่างไปทั่วทุกที่ จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นในนั้นเห็นเมิ่งผิง ก็หยุดชะงัก พลันน้ำตาไหลรินลงมา “เมิ่งผิง…”
เมิ่งผิงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นผู้มาใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าอย่างราบเรียบ
คุณนายกัวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่มาที่นี่แล้ว และเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยเมยของเมิ่งผิงในตอนนี้ หัวใจเธอก็เต้นรัว และรู้แล้วว่าเรื่องนี้อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ทว่ากัวเฟยน่าเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ เธอทนดูลูกสาวเข้าคุกไม่ได้
“เมิ่งผิง เฟยน่าแค่ชอบลูกชายเธอมากเกินไป ถึงได้ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ พวกเราขอโทษพวกเธอจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ จากนี้ไปฉันจะอบรมสั่งสอนเฟยน่าดี ๆ จะไม่ให้เธอทำเรื่องแบบนี้อีกเด็ดขาด ดังนั้น… ครั้งนี้เธอปล่อยเฟยน่าไปสักครั้งได้ไหม”
หากแต่ท่าทางเมิ่งผิงนั้นดูเรียบเฉย ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากกลับเย็นชาและโหดร้ายมาก
“ไม่ได้หรอก ครั้งนี้ซวงเอ๋อร์รอดพ้นจากอันตรายมาอย่างหวุดหวิด แต่ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีเรื่องแบบนี้อีกหรือเปล่า เราปล่อยคนผิดไปไม่ได้หรอก”
เมื่อคุณนายกัวเห็นเมิ่งผิงไม่ยอม ก็ยิ่งมีสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้น
“เมิ่งผิง ทำไมเธอถึงรั้นนัก เรื่องดูตัวเธอเป็นคนเริ่มเอ่ยกับฉันก่อน ไม่ใช่เป็นความต้องการของตัวฉันเองเสียหน่อย ตอนนี้เฟยน่าชอบลูกชายเธอแล้ว แต่ลูกชายเธอกลับไม่ชอบลูกสาวฉัน พวกเราก็อดทนแล้ว และเฟยน่าเองก็หลงผิดเพราะความรัก ลูกฉันเลยขาดสติ เธอน่าจะเข้าใจที่สุดสิ แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยลูกฉันไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งผิงแทบจะหัวเราะด้วยความโกรธ
“ตามที่เธอพูด แบบนี้เราไม่ต้องขอบคุณเธอเลยหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าเย้ยหยันของเมิ่งผิง คุณนายกัวก็ยิ่งโกรธมาก ตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายคนนี้ได้แต่งงานเข้าตระกูลจิง เธอก็อิจฉามาตลอด ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราสองคนก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด แม้แต่ผลการเรียน แต่หลังจากนั้นหลายปี เมิ่งผิงกลับได้แต่งงานกับตระกูลใหญ่ แต่เธอกลับติดตามสามีไปที่อื่น จนกระทั่งกลับมาเมื่อไม่นานมานี้
ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินเมิ่งผิงบอกว่าเธออยากหาคู่ดูตัวให้ลูกชาย เธอจึงพูดถึงลูกสาวของเธออย่างใจเย็น และสุดท้ายพวกเขาก็ได้ไปดูตัวกัน แต่น่าเสียดายที่เรื่องทุกอย่างของทั้งสองเป็นแค่รักข้างเดียว ลูกชายของเมิ่งผิงไม่ได้สนใจลูกสาวเธอเลย
แม้จะมีความไม่พอใจอยู่เต็มอก กระนั้นคุณนายกัวก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะพูดเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพาลูกสาวของเธอออกไปจากที่นี่ “เมิ่งผิง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เมิ่งผิงไม่อยากสนใจคุณนายกัวอีกต่อไป จึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เธอไม่ต้องมาขอร้องฉันแล้ว ในเมื่อกัวเฟยน่ากล้าทำเรื่องเช่นนี้ ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป”
กัวเฟยน่ากลับเอ่ยกรีดร้องอยู่ด้านข้าง “ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ฉันถูกถังซวงทำร้ายด้วยซ้ำ พวกคุณรีบมาดูแผลของฉันสิ ทั้งหมดเป็นฝีมือของถังซวงนะ”
เพราะคุณนายกัวกำลังรีบร้อน จึงไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้เธอได้เห็นลำคอของลูกสาวแล้ว เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “ดีจริง ๆ เห็นๆ อยู่ว่าฝั่งเธอต่างหากที่ทุบตีลูกสาวฉัน แต่ตอนนี้กลับบอกว่าลูกสาวเราจะทำร้ายถังซวง นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด อย่าคิดว่าพวกคุณเป็นคนของตระกูลจิง แล้วจะทำอะไรก็ได้นะ”
แม้ตอนนี้จะยังไม่มีรายงาน แต่ตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างตระกูลจิง หากมีใครรู้เข้าว่าพวกเขารังแกคนอื่น พวกเขาคงไม่มีหน้าไปพบใครแน่ ดังนั้นคุณนายกัวจึงวางแผนจะจับจุดนี้ไว้ไม่ปล่อยไป
ในขณะที่คุณชายกัวรู้เรื่องแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะโมโหในสิ่งที่ลูกสาวกระทำ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อิจฉาอำนาจของตระกูลจิงไม่น้อย อีกอย่างกัวเฟยน่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา เขาจึงไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ “นั่นสิ จะจัดการเรื่องนี้ยังไง พวกเราก็ยังต้องคุยกันดี ๆ นะครับ”
—————————————————-