การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 347 บอกข่าวดี
บทที่ 347 บอกข่าวดี
บทที่ 347 บอกข่าวดี
เมื่อเห็นถังเซวี่ยมั่นใจ ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ตกลง เราจะรอฟังข่าวดีนะ” เธอกำชับถังเซวี่ยอีกครั้ง และไปส่งถังเซวี่ยที่โรงเรียน
ระหว่างการสอบ ถังซวงก็ถึงการสอบปลายภาคแล้วเหมือนกัน แต่เธอไม่รู้สึกกดดันใด ๆ และผ่อนคลายมากเมื่อทำข้อสอบ หลังจากการสอบทั้งหมดจบลง เธอก็เริ่มจัดกระเป๋านักเรียนและเตรียมตัวกลับบ้าน
เมื่อเห็นถังซวงเก็บข้าวของ ตู้จ้งเหว่ยก็อดไม่ได้ที่จะเชิญเธอ “ถังซวง วันหยุดฉันไปทำการบ้านกับเธอได้ไหม?”
ได้ยินอย่างนั้น ถังซวงก็พยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ ถ้าไม่เข้าใจอะไรนายสามารถถามฉันได้เลยนะ”
เมื่อเห็นถังซวงตกลง ตู้จ้งเหว่ยมีความสุขมาก และถามถึงถังเซวี่ย
“เสี่ยวเซวี่ยก็น่าจะสอบผ่านเหมือนกันหรือเปล่า? ฉันหวังจริง ๆ ว่าเธอจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนของเรา เราจะได้เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันในอนาคต” หลังจากรู้จักมานาน เขาและถังซวงก็คุ้นเคยกันมากขึ้น แม้ว่าทุกครั้งที่เจอโม่เจ๋อหยวนจะยังไม่ค่อยสนิทใจนัก พวกเขาคุยกันได้ไม่กี่คำ แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน
“ยังไม่รู้เลย คงต้องรอจนกว่าผลสอบจะออกมานั่นแหละ”
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเก็บข้าวของ และเตรียมเดินกลับไปด้วยกัน
จู้เจินเจินและเมิ่งซือเซี่ยที่โต๊ะด้านหน้าได้ยินคำพูดของพวกเขา เมิ่งซือเซี่ยหันศีรษะไปมองถังซวงอย่างประหลาดใจ และถามว่า “เธอเพิ่งพูดถึงถังเซวี่ยน้องสาวของเธอหรือเปล่า? เธอจะสอบเข้ามัธยมปลายหรือ?”
ได้ยินคำพูดของเมิ่งซือเซี่ย ถังซวงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่”
เมิ่งซือเซี่ยไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง น้องสาวเธออายุน้อยกว่าเราสองปีไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงไปสอบเข้ามัธยมปลายแล้วล่ะ?”
ก่อนที่ถังซวงจะทันได้ตอบ ตู้จ้งเหว่ยก็พูดออกไปตรง ๆ ว่า “เพราะเสี่ยวเซวี่ยฉลาดจึงได้สอบข้ามชั้นได้ไง เธอจะได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายแล้วด้วย”
“อะไรนะ…”
เมิ่งซือเซี่ยไม่อยากเชื่อเลยว่าสองพี่น้อง ถังซวงและถังเซวี่ยจะสอบข้ามชั้นได้ พวกเธอฉลาดนั้นเลยหรือ?
จู้เจินเจินฝืนยิ้มและแสดงความยินดีกับถังซวง “อย่างนี้เอง ขอแสดงความยินดีกับน้องสาวของเธอด้วยนะ”
ถังซวงไม่ได้สนใจทั้งสองคนมากนัก เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไร เธอจึงออกจากห้องเรียนทันที ส่วนตู้จ้งเหว่ยก็รีบตามไป
แต่เมื่อถังซวงมาถึงที่ประตูโรงเรียน เธอเห็นโม่เจ๋อหยวนรออยู่แล้ว
“พี่โม่ มาเมื่อไหร่คะ”
เห็นถังซวงวิ่งมาหา โม่เจ๋อหยวนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเพิ่งมาถึงน่ะ แล้วนี่หลังจากสอบเสร็จพวกเธอปิดเทอมแล้วใช่ไหม เธอจะได้พักผ่อนแล้วใช่หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ ฉันจะพักผ่อนสักสองสามวัน แล้วค่อยทำอย่างอื่น”
โม่เจ๋อหยวนลูบผมของถังซวงอย่างเป็นห่วง “เธอสามารถพักผ่อนได้มากกว่านั้นนะ อะไรที่ต้องทำค่อยทำก็ได้” เขารู้เสมอว่าซวงเอ๋อร์ยุ่งมาก นอกจากไปโรงเรียน เธอก็ต้องวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ รวมถึงเครื่องสำอางด้วย เธอไม่มีเวลาว่างเลยจริง ๆ
เห็นสีหน้าลำบากใจของโม่เจ๋อหยวน ถังซวงยกยิ้มและพยักหน้า
พอตู้จ้งเหว่ยเห็นท่าทางของทั้งสองคนจึงรีบพูดว่า “ถังซวง สหายโม่ ฉันขอตัวกลับก่อน พวกเธอค่อย ๆ คุยกันก็ได้”
ตู้จ้งเหว่ยเข้าใจสถานการณ์และขอตัวก่อน ทำให้โม่เจ๋อหยวนรู้สึกพอใจกับเขามากขึ้น “ซวงเอ๋อร์ เรากลับกันก่อนเถอะ ลุงจิงไปรับเสี่ยวเซวี่ยมาแล้ว”
“งั้นกลับบ้านกันเถอะค่ะ”
เมื่อถังซวงและโม่เจ๋อหยวนมาถึงบ้านเก่าของตระกูลจิง ถังเซวี่ยก็มาถึงแล้ว
“พี่สาว ในที่สุดหนูก็สอบเสร็จ จะได้พักผ่อนเสียที”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ใช่ เธอควรพักผ่อนให้เพียงพอ” เธอไม่ได้ถามว่าสอบเป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อเห็นว่าน้องสาวของเธอผ่อนคลายเพียงใด การสอบก็คงจะไม่แย่ พอผลสอบออกมาแล้วค่อยคุยกันก็ได้
เฮ่อหลานที่อยู่ข้าง ๆ เห็นว่าลูกสาวทั้งสองดูจะผอมลงเล็กน้อยจึงรู้สึกเป็นกังวลมาก “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ช่วงนี้พวกลูกฝืนตัวเองไปหรือเปล่า แม่คงต้องบำรุงให้พวกลูกในช่วงวันหยุดซะแล้วสิ”
ถังเซวี่ยโบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “แม่คะ แม่บำรุงตัวเองเถอะค่ะ หนูกับพี่สาวไม่เป็นไร” เพราะอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และช่วงนี้เธอเองก็ไม่ได้กินอะไรมากนัก นับประสาอะไรกับอาหารเสริม
พอคิดถึงเรื่องอาหารเสริม ถังเซวี่ยมองแม่ของเธออย่างเป็นห่วงและถามว่า “แม่คะ ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยอยากอาหารเลยใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ แม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของยาที่ซวงเอ๋อร์เตรียมไว้ให้ทุกวัน ตอนนี้แม่กินได้เยอะมาก จนแม่กลัวว่าตัวเองจะกินมากเกินไปด้วยซ้ำ”
ได้ยินที่เฮ่อหลานพูด ถังซวงและถังเซวี่ยก็รู้สึกโล่งใจ “แม่คะ ขอหนูจับชีพจรหน่อยได้ไหมคะ”
จิงเจ้อหรงที่อยู่ด้านข้างรีบพูดว่า “ใช่แล้ว ให้ซวงเอ๋อร์จับชีพจรหน่อยเถอะครับ”
เฮ่อหลานก็อยากรู้เช่นกัน จึงยื่นข้อมือออกมา
หลังจากถังซวงจับชีพจร ถังซวงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกอย่างปกติดีค่ะ อีกไม่กี่วันก็จะสามเดือนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น แม่ต้องไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายแล้วแหละ”
เฮ่อหลานยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
ส่วนจิงเจ้อหรงก็ยิ้มและพูดจากด้านข้าง “ผมจะไปโรงพยาบาลกับคุณเอง” แต่จู่ ๆ เขาก็จำได้ว่าตัวเองไม่ได้บอกเรื่องนี้กับญาติและเพื่อน ๆ เลย เขาจึงมองไปที่เฮ่อหลานแล้วพูดว่า “อาหลาน พอครบสามเดือนแล้วไปตรวจร่างกาย เราต้องแจ้งให้อาจารย์และลุงหลี่ทราบนะ”
เฮ่อหลานพยักหน้าและพูดว่า “ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน อาหารก็พร้อมแล้ว
สมาชิกในครอบครัวจิงทานอาหารด้วยกัน และไม่มีใครถามเกี่ยวกับการสอบของถังเซวี่ยเลย พวกเขาแค่นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างอบอุ่นเท่านั้น
จากนั้นโม่เจ๋อหยวนก็กลับไปหลังจากทานอาหารเสร็จ
ครบเวลาสามเดือน เธอและจิงเจ้อหรงก็ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อพวกเขาเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีทั้งคู่ก็โล่งใจ และเมื่อเฮ่อหลานกลับถึงบ้าน เธอก็เริ่มบอกข่าวดีให้ซูเหนียนอวิ๋นและหลี่จงอี้ทราบ
หลังจากที่ซูเหนียนอวิ๋นรู้ว่าเฮ่อหลานกำลังตั้งครรภ์ เธอมีความสุขมากและรีบเรียกลูกศิษย์คนโตของเธอ “ชิงเหม่ย ชิงเหม่ย มานี่เร็ว”
ได้ยินเสียงประหลาดใจของอาจารย์ เกอชิงเหม่ยรีบเดินไปด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “อาจารย์กับลุงหลี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันคะ ทำไมถึงดูมีความสุขมากขนาดนั้น”
“ชิงเหม่ย ลุงหลี่เพิ่งได้ข่าวว่าอาหลานท้อง และกำลังท้องลูกแฝด… เป็นข่าวดีมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกอชิงเหม่ยก็มีความสุขเช่นกัน
“จริงหรือคะ เยี่ยมเลย ไม่รู้ว่าอาหลานเป็นยังไงบ้าง ให้ฉันไปที่เมืองหลวงเพื่อพบเธอดีไหมคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเหนียนอวิ๋นก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย “หรือว่าฉันควรจะไปด้วยดี”
“อาจารย์ คุณกับลุงหลี่รอจนกว่าอาหลานจะคลอดค่อยไปเถอะค่ะ ระยะทางมันค่อนข้างไกล แล้วไหนจะเรื่องคุณซ่างอีก ให้ฉันไปเมืองหลวงเพื่อพบเขาและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความร่วมมือในอนาคตดีกว่าค่ะ”
เธอได้รับข้อความจากซ่างสยงเยี่ยที่บอกว่าต้องไปที่เมืองหลวงก่อนแล้วจึงมาที่หมู่บ้านเถาฮวา หากเป็นกรณีนี้เธอควรไปที่เมืองหลวงเพื่อพบกับซ่างสยงเยี่ยเลยก็คงได้ เธอจะได้ไปเยี่ยมอาหลานด้วย