การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 359 หวาดกลัว
บทที่ 359 หวาดกลัว
บทที่ 359 หวาดกลัว
ซุนชิวไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับกับเฟิงเยี่ยหาน แต่เวลานี้ถังเซวี่ยไม่ได้อยู่กับพวกเขา และมีพยานมากมายรอบตัวยืนยัน ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธเฟิงเยี่ยหานได้
ก่อนที่ซุนชิวจะทันได้พูดอะไร เกอชิงเหม่ยกลับหันหน้ามองเฟิงเยี่ยหานก่อนจะพูดว่า “คนพวกนี้จะมาจับตัวเสี่ยวเซวี่ย แล้วนี่คุณคือเจ้านายของพวกเขาหรือ? ฉันเคยได้ยินซวงเอ๋อร์พูดถึงคนชื่อเฟิงเยี่ยหานมาก่อน”
ได้ยินที่เกอชิงเหม่ยพูด เฟิงเยี่ยหานพยักหน้ารับ “สวัสดีครับ ผมชื่อเฟิงเยี่ยหาน ผมไม่คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”
เวลานี้เกอชิงเหม่ยไม่คิดสุภาพกับเฟิงเยี่ยหานอีกต่อไป เธอพูดออกไปตามตรง “ซวงเอ๋อร์และเสี่ยวเซวี่ยถูกพาตัวไปแล้ว และไม่ใช่พวกเขาที่ได้ตัวเธอไป” จากนั้นเกอชิงเหม่ยชี้หน้าซุนชิวและคนอื่น ๆ “ก่อนหน้านี้เป็นคนพวกนี้ต้องการจับตัวเสี่ยวเซวี่ย แต่ตอนนี้ทั้งซวงเอ๋อร์และเสี่ยวเซวี่ยกลับถูกกลุ่มสุดท้ายที่มาถึงจับตัวไปแล้ว”
“อะไรนะ… มีคนอื่นด้วยงั้นหรือ?”
เฟิงเยี่ยหานไม่คิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนมากขนาดนี้ เขาถามถึงสถานการณ์ของถังซวงและถังเซวี่ยที่เพิ่งถูกจับกุมไป และนำคนไล่ตามคนเหล่านั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่ลืมที่จะจัดการกับซุนชิวก่อน
เหลิ่งตงเฝ้ามองเฟิงเยี่ยหานที่จากไป ก่อนจะสั่งให้คนไปส่งเกอชิงเหม่ยกลับบ้าน ส่วนตัวเขาเองติดตามเฟิงเยี่ยหานเพื่อไปช่วยเหลือถังซวงและถังเซวี่ย
อีกด้านหนึ่ง ถังซวงและถังเซวี่ยถูกชายหัวโล้นพาตัวเข้าไปในรถ
รถคันนี้มุ่งหน้าสู่ตะวันออก เมื่อขับมาถึงถนนรกร้างไร้ผู้คนอาศัย พวกมันก็ขับช้าลง
ถังซวงและถังเซวี่ยถูกมัดไว้แน่นหนา กระจกรถมืดสนิท ทั้งสองไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สิ่งเดียวที่ทั้งสองสัมผัสได้คือพวกเธอกำลังถูกพาออกจากเมืองหลวง เพราะนี่ผ่านไปห้าถึงหกชั่วโมงแล้ว
ถังเซวี่ยยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
“พี่คะ ฉันเป็นคนทำให้พี่ต้องลำบาก ถึงฉันจะเรียนศิลปะการต่อสู้กับพี่แล้วแต่ฉันก็ยังไร้ประโยชน์ ตอนเจ้าคนหัวโล้นบุกเข้ามาฉันไม่สามารถขยับตัวได้ด้วยซ้ำ”
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ถังซวงส่ายศีรษะก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย มันไม่แปลกเลย ชายหัวโล้นแข็งแกร่งมาก และแข็งแกร่งกว่าเหลิ่งตงที่มีทักษะยอดเยี่ยมซะอีก ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถต่อต้านได้เหมือนกัน”
ความสามารถของเธอนับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ถังเซวี่ยเพียงเพิ่งเริ่มฝึกฝนไม่นาน หากเจอกับพวกที่อ่อนประสบการณ์ ถังเซวี่ยอาจจะสามารถจัดการได้ง่าย ๆ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายหัวโล้น ถังเซวี่ยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตอบโต้กลับสักนิด
จู่ ๆ ถังซวงก็เข้าใจบางอย่าง
ก่อนหน้านี้เธออาจจะปกป้องถังเซวี่ยมากเกินไป ถังเซวี่ยจำเป็นต้องได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงเพื่อปกป้องตัวเองบ้าง เพราะเธอไม่สามารถปกป้องน้องสาวได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเรื่องในอนาคต เธอหยิบมีดสั้นออกมาจากพื้นที่มิติก่อนจะเริ่มตัดเชือกอย่างเงียบเชียบ
ถังเซวี่ยที่เห็นว่าพี่สาวของตนแก้เชือกได้แล้ว แววตาเผยความประหลาดใจทว่าเม้มปากแน่นและไม่ส่งเสียงใด ๆ
หลังจากถังซวงแก้เชือกเสร็จแล้ว เธอรีบแก้มัดให้กับถังเซวี่ยแล้วกล่าวกระซิบแผ่วเบา “เสี่ยวเซวี่ย เราต้องหลอกล่อพวกมัน ถ้ามีใครเข้ามาเราต้องทำทีว่าถูกมัดอยู่”
“ค่ะพี่ ฉันเข้าใจแล้ว”
เสี่ยวเซวี่ยรีบเอามือกลับไปไพล่หลังอีกครั้งทันที ขณะเดียวกันก็เอาเชือกพันไว้รอบข้อมือ ทำให้คนที่มองเห็นว่าเชือกยังคงมัดอยู่
ถังซวงยกยิ้มก่อนจะเอ่ยปากชม “เก่งมากจ้ะเสี่ยวเซวี่ย”
ถังเซวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ถึงยังไงชายหัวโล้นคนนั้นก็เก่งมาก มันเป็นเรื่องยากที่เธอและพี่สาวจะหลบหนีออกไปอย่างปลอดภัย อีกทั้งตัวเธอจะกลายเป็นตัวถ่วงพี่สาวด้วย เมื่อคิดไตร่ตรองสักพัก เธอพูดขึ้นว่า “พี่คะ ถ้ามีโอกาสหนี พี่หนีไปเลยนะคะ ทิ้งฉันไว้ที่นี่ ให้ฉันถูกจับคนเดียวดีกว่า อย่างน้อยพี่ก็รอดไปได้แล้วค่อยกลับมาช่วยเหลือฉันก็ได้”
“เสี่ยวเซวี่ย ถ้าฉันไม่ห่วงเธอจริง ๆ ฉันคงหนีเอาตัวรอดไปแล้วล่ะ”
ถังเซวี่ยเสียใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่เธอก็รู้ดีว่าพี่สาวไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอน
เด็กสาวคิดว่าการที่มัวแต่โทษตัวเองไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เธอต้องใช้สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้ได้
“พี่คะ ถ้าคราวนี้ฉันรอดไปได้ ฉันจะตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่าเดิม ที่เราฝึกด้วยกัน ฉันว่ามันน้อยเกินไป หลังจากนี้ฉันจะฝึกวันละห้าชั่วโมงเลยค่ะ”
ได้ยินคำพูดของถังเซวี่ย ถังซวงยกยิ้มแล้วตอบอย่างอ่อนโยน “ได้เลย ถึงวันนั้นอย่าบ่นแล้วกัน”
ก่อนหน้านี้เธอคิดแค่ว่าให้ถังเซวี่ยพอมีทักษะบ้างเพื่อจัดการกับคนที่เข้ามาวุ่นวาย แต่เมื่อเจอกับเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างคราวนี้ เธอได้ตัดสินใจแล้วว่าแค่ทักษะทั่วไปมันไม่เพียงพอที่จะทำให้ถังเซวี่ยปลอดภัย
“พี่ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะไม่บ่นว่าเหนื่อยแน่ ฉันจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เก่งกว่าเดิมค่ะ”
แววตาของถังเซวี่ยเผยความมุ่งมั่นออกมา เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้กับใครอีกต่อไป
“ได้สิ”
ขณะสองพี่น้องกำลังพูดคุย ทั้งคู่รู้สึกได้ว่ารถหยุดเคลื่อนที่แล้ว พวกเธอจึงรีบเอามือไพล่หลังทำท่าว่าถูกมัดอยู่เช่นเดิม
มีคนเปิดประตูรถ ชายกลุ่มหนึ่งเข้ามาพาถังซวงและถังเซวี่ยออกจากรถไป
หลังลงจากรถแล้ว ถังซวงมองไปรอบ ๆ เธอเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างทุรกันดารพอสมควร อีกอย่างนี่ก็มืดมากแล้ว เธอจึงไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนนัก แต่ชายหัวโล้นและคนอื่นดูคล้ายจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ และยังมีที่พักชั่วคราวตั้งอยู่ มีกองไฟสำหรับทำอาหาร มีระเบียบเรียบร้อยมาก
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสงสัย
ดูเหมือนว่าพวกมันจะอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะพวกมันคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองหลวงทั้งหมด และค่อนข้างเคยชินกับการใช้ชีวิตในที่แบบนี้ แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่รู้ในเวลานี้คือพวกมันเป็นใคร และทำไมถึงจับตัวเธอมา
ขณะที่ถังซวงกำลังคิดไตร่ตรอง เธอกับถังเซวี่ยถูกพาเข้าไปในลานโล่งใจกลางที่พัก
ชายหัวโล้นและคนอื่น ๆ มองมาที่ทั้งสองด้วยแววตามุ่งร้าย
ชายอ้วนคนหนึ่งหันมองชายหัวโล้นก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าครับ น้องสาวสองคนนี้สวยมาก สวยที่สุดในชีวิตของผมเลย ถ้าอยากจะขายหล่อนทั้งสองคน ทำไม… ถึงไม่ขายให้พวกเราล่ะ?”
ได้ยินอย่างนั้น คนอื่น ๆ รีบโห่ร้องล้อเลียน “ใช่ครับหัวหน้า เด็กสาวสองคนนี้สวยเกินจะห้ามใจ ใครจะละสายตาได้ล่ะครับ ส่งต่อให้พวกเราเถอะ”
ได้ยินอย่างนั้น ชายหัวโล้นเหลือบมองทุกคน ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นว่า “พวกแกกล้ากันดีนะ ไม่กลัวว่าจะถูกสาวน้อยถังซวงจัดการเอาหรือ?”
พวกมันรู้ถึงความอันตรายของถังซวงได้ทันที และอีกอย่างยังมีพี่น้องหลายคนที่บาดเจ็บอยู่ในรถยังไม่ถูกพาตัวออกมา
พวกมันทำเพียงแค่ได้มองแต่ไม่อาจสัมผัส สิ่งนี้ทำให้หัวใจของพวกมันเจ็บปวดเสียจริง ทว่าไม่นานพวกมันก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ถังเซวี่ย
“หัวหน้าครับ ถ้าพี่สาวอันตรายเกินไป แต่น้องสาวคนนี้ต้องไม่ใช่แน่ ต่อให้เราปลดมัดข้อมือของเธอแล้ว เธอคงไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเราหรอก ผมอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าพี่สาวเธอจะรู้สึกยังไงถ้าเห็นว่าพวกเรากำลังมอบความสุขให้กับน้องสาวของเธอ ฮ่าฮ่า”
“โอ้… เป็นความคิดที่ดี ยัยนี่ต้องเจ็บปวดมากแน่”
“ใช่ ใช่ฉันเห็นด้วย เราลงมือกันเลยไหม?”
คำพูดพวกนี้คือสิ่งที่อยู่ในใจของใครหลายคน ทั้งหมดรีบหันมองชายหัวโล้นอย่างมีความหวัง
แต่ชายหัวโล้นโบกมืออย่างสบาย ๆ ก่อนจะพูดว่า “ตราบใดที่ถังซวงยังไม่หนีไป พวกแกอยากทำอะไรก็ทำ”
“ขอบคุณครับหัวหน้า!”
ได้ยินคำพูดของชายหัวโล้นแล้ว พวกมันเดินตรงเข้าหาถังเซวี่ยอย่างหิวกระหาย
เห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้ว แววตาของถังซวงเผยความเกรี้ยวกราดในทันที
ในค่ำคืนที่มืดสนิท ทั้งยังมีลมกระโชกพัดผ่านท่ามกลางกองเพลิงร้อนแรง ที่มันเป็นแบบนี้เพราะคนพวกนี้รนหาที่ตาย เธอไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนจิตสังหารอีกต่อไป แต่เธอก็กลัวเสี่ยวเซวี่ยจะสงสัย… แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรกังวลในตอนนี้
“เสี่ยวเซวี่ย ถ้ามีคนเข้ามาหาเธอ ให้เขวี้ยงสิ่งนั้นออกไปทันที”
“อะ… อะไรนะ?”
ถังเซวี่ยได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดชัดเจน แน่นอนว่าเธอทั้งกระวนกระวายและสิ้นหวัง แต่เมื่อได้ยินเสียงของพี่สาว เธอกลับสงสัยว่ามีอะไรอยู่กับตัวเองในเวลานี้
ถังซวงไม่อธิบายอะไรมาก เธอโยนเชือกในมือทิ้งพร้อมกับกระโดดถีบคนที่เข้ามาใกล้ถังเซวี่ย โดยไม่ออมแรง คนที่ถูกท่อนขาของเธอกระแทกล้มลงไปกองกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
หลังจากจัดการคน ๆ นั้นเสร็จแล้ว ถังซวงหยิบดินระเบิดหลายลูกออกมาให้ถังเซวี่ย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้ามีใครเข้ามา ขว้างสิ่งนี้ออกไป เธอทำได้ไหม?” เธอสร้างมันขึ้นในวันว่าง ๆ ขณะกำลังปรุงยา และก่อนหน้านี้พวกมันถูกเก็บไว้ในพื้นที่มิติเพราะไม่มีสถานที่ให้ทดลองใช้ แต่ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว
แน่นอนว่าถังเซวี่ยสงสัย พี่สาวเธอหยิบของเหล่านี้ออกมาจากที่ไหนไม่รู้ ทว่าความปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เหลือค่อยคิดภายหลัง
“ทำ… ทำได้ค่ะ”
ถังเซวี่ยยังคงสั่นเล็กน้อย เธอเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาลังเล ในเมื่อพี่สาวออกปากสั่งแล้ว เธอมีเพียงต้องทำตาม
เห็นแววตามั่นใจของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงยกยิ้มอย่างผ่อนคลายก่อนจะหันหน้าเข้าหาชายหัวโล้นและคนอื่น ๆ
ชายหัวโล้นและพวกตกตะลึงอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้
“นังสารเลว แกกล้าที่จะตลบหลังพวกฉัน คอยดูเถอะถ้าจับได้จะไม่ให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”
ถังซวงเหลือบมองทุกคนด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะกล่าวแผ่วเบา “งั้นก็มาดูกันว่าพวกแกมีความสามารถไหม”
พวกมันที่เห็นความเย็นชาในสายตาของถังซวงแล้ว ตัวชาวาบด้วยความหนาวเหน็บ
ถังซวงไม่ให้เวลาใครตั้งหลัก เธอพุ่งเข้าหาพวกมันโดยตรง
พวกมันที่คิดว่าตัวเองมีมากกว่า และอีกฝ่ายไม่น่าจะจัดการตนได้ แต่เมื่อเห็นถังซวงบิดลำคอของสหายอย่างโหดเหี้ยม หัวใจของพวกมันพลันสั่นไหว นี่คือร่างที่แท้จริงของถังซวง…
เธอโหดเหี้ยมและไร้ความลังเล
“เธอ… เธอฆ่าคน”
“หึ… แล้วจะให้ฉันรอพวกแกฆ่าฉันหรือ?”
“เธอ… เธอ…”
ชายคนนั้นถึงกับสำลัก
ขณะที่ถังซวงกำลังพูดคุยกับคนเหล่านั้น ใครบางคนก็กำลังเข้าหาถังเซวี่ยอย่างลับ ๆ พวกเขาคิดว่าหากจับถังเซวี่ยได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย
แต่ก่อนที่ชายคนนั้นจะสัมผัสถังเซวี่ย เธอก็ขว้างบางสิ่งใส่เขา
ตูม…
เสียงระเบิดดังขึ้น คนที่เข้าใกล้ถังเซวี่ยตายในทันที
……
ในตอนนี้ สถานที่แห่งนี้เงียบสงัด
แม้แต่ใบหน้าของถังเซวี่ยยังเผยความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด