การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 368 แปลกประหลาด
บทที่ 368 แปลกประหลาด
ได้ยินเกอชิงเหม่ยถามอย่างนั้น โม่เจ๋อหยวนพยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับว่า “ครับป้าเกอ ผมมีธุระ ต้องกลับแล้วล่ะครับ”
โม่เจ๋อหยวนยังคงสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงเรียกหาเขาในเวลานี้
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว เกอชิงเหม่ยยกยิ้มก่อนจะบอกลา “จ้ะ อย่างนั้นกลับบ้านดี ๆ นะ”
“ครับ ฝากป้าเกอบอกซวงเอ๋อร์ให้หน่อยนะครับว่าเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อน”
“จ้ะ”
หลังจากโม่เจ๋อหยวนออกไปแล้ว เกอชิงเหม่ยเดินเข้าห้องโถง และเธอเห็นว่าจิงเจ้อหรงกำลังพูดคุยกับเปาลี่ผิงและเฟ่ยไห่ชางอยู่ จึงบอกไปว่าซ่างสยงเยี่ยกลับไปแล้ว “คุณซ่างกลับเมืองก่างเฉิงแล้วนะคะ เห็นเขาบอกว่าจะรีบกลับไปจัดการเรื่องที่บริษัทน่ะค่ะ” จากนั้นเธอหันมองจิงเจ้อหรง “ฉันไปหาอาหลานที่สวนหลังบ้านนะ”
“ครับพี่ ยังไงผมรบกวนด้วย”
เมื่อเกอชิงเหม่ยมาถึงสวนหลังบ้าน เธอเห็นถังซวงกับถังเซวี่ยกำลังพูดคุยกับเฮ่อหลาน ทั้งสามคนกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“อาหลาน บ่ายนี้เธอต้องทำอะไรหรือเปล่า? ถ้าว่าง เราสองคนมาปักผ้าด้วยกันไหม”
เฮ่อหลานยกยิ้มแล้วตอบกลับว่า “ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันพักผ่อนเต็มที่แล้ว ฉันน่ะคันไม้คันมืออยากจะปักผ้ามาสักพักแล้วค่ะ”
เกอชิงเหม่ยได้ยินอย่างนั้นถึงกับหัวเราะออกมา
“ดีเลย”
ขณะพูดอย่างนั้น เกอชิงเหม่ยนึกบางอย่างได้ เธอหันมองถังซวงแล้วพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ เจ๋อหยวนฝากบอกว่าเขาต้องกลับบ้านก่อนนะ”
ถังซวงพยักหน้ารับก่อนจะตอบว่า “ค่ะ พี่โม่คงยุ่ง” โม่เจ๋อหยวนไม่อยากกลับไปที่บ้านและแทบจะอยู่ที่นี่ตลอด
พอเห็นแม่อารมณ์ดีแล้ว ถังซวงพูดขึ้นว่า “แม่คะ เดี๋ยวแม่อยู่กับป้าเกอไปก่อนนะคะ หนูจะไปหาคุณเฟ่ยกับคนอื่น ๆ น่ะ”
“จ้ะ ไปเถอะ”
จิงเจ้อหรงรีบถามถังซวงที่มาถึงห้องโถงด้านหน้า “ซวงเอ๋อร์ แม่เป็นยังไงบ้าง?”
“พ่อไม่ต้องห่วงค่ะ แม่สบายดี”
จิงเจ้อหรงหัวเราะ “ดีเลย อย่างนั้นเดี๋ยวพ่อขอไปหาแม่ก่อนนะ เดี๋ยวลูกคุยกับคุณเปาและคุณเฟ่ยตามสบาย พวกเขามาที่นี่เพราะเป็นห่วงลูกน่ะ”
“ค่า”
เห็นจิงเจ้อหรงออกไปแล้ว เปาลี่ผิงหันกลับมาหาถังซวงแล้วถามว่า “ท่านผู้นำครับ คราวนี้มันเกิดอะไรขึ้น? ใครกันที่มันต้องการจัดการคุณ?”
“อยู่ระหว่างการสืบสวนน่ะ”
เปาลี่ผิงและเฟ่ยไห่ชางขมวดคิ้ว ก่อนจะถามว่า “ท่านผู้นำครับ คุณบอกรายละเอียดให้พวกเราทราบด้วยได้ไหม? บางทีพวกเราอาจจะช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ได้”
ถังซวงไม่คิดปิดบังอะไร เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง แม้กระทั่งเรื่องของชายหัวโล้นและคนอื่น ๆ
“เป็นพวกเจ้าหัวโล้นนั่นสินะ”
ใบหน้าของเฟ่ยไห่ชางบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด “ท่านผู้นำ ดีที่คุณรอดมาได้”
“คุณรู้จักคนพวกนั้นหรือ?”
เฟ่ยไห่ชางตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมเคยได้ยินเรื่องของคนพวกนี้มาก่อน พวกมันไม่เคยทำภารกิจพลาดเลยสักครั้ง” เขาหัวเราะออกมา “โชคร้ายจริง ๆ ที่พวกมันได้เจอกับท่านผู้นำของพวกเรา เลยต้องมาจบชีวิตตัวเองอย่างนี้ กลุ่มเจ้าหัวโล้นมีชื่อเสียงพอสมควร ผมกับลี่ผิงจะตรวจสอบเรื่องนี้ย่างละเอียดครับ”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
เปาลี่ผิงและเฟ่ยไห่ชางไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เขานั่งอยู่ที่นี่อีกสักครู่ก่อนจะกลับไป เพราะนอกจากสืบสวนเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็ยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการด้วย
อีกด้านหนึ่ง หลังจากโม่เจ๋อหยวนกลับมาถึงบ้าน เขาถูกเรียกตัวเข้าพบผู้เฒ่าโม่ทันที
“คุณปู่ครับ เรียกผมมาทำไมหรือครับ?”
ใบหน้าของผู้เฒ่าโม่เคร่งเครียด ในแววตามีความลังเลเพียงครู่ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อวานปู่ไปเจอเรื่องประหลาดเข้า และคิดว่าควรบอกแกด้วย”
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับคุณปู่?”
ผู้เฒ่าโม่ไตร่ตรองก่อนจะเริ่มบอกเล่า “ปู่รู้สึกว่าช่วงนี้สหายฉินทำตัวประหลาด ๆ ไปน่ะ”
“คุณปู่ฉินหรือครับ?”
โม่เจ๋อหยวนไม่เข้าใจ “เขาแปลกไปยังไงหรือครับ?”
“ปู่พบตราประทับของสหายฉินเข้า เขาน่าจะลงนามในอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง และผู้ใต้บังคับบัญชาอาวุโสคนหนึ่งของเขาเพิ่งได้รับเงินจำนวนมากเข้าบัญชี ปู่ไม่รู้ว่าเขาเอาเงินจำนวนมากพวกนั้นไปทำอะไร และปู่ก็ไม่รู้จักกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นด้วย”
ถ้าผู้เฒ่าโม่ไม่ได้ไปพบเรื่องนี้โดยบังเอิญ เขาก็คงไม่ทันสังเกต นอกจากนี้เพราะถังซวงและถังเซวี่ยถูกจับตัวไป เขาเลยรู้สึกสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดมันแปลก ๆ จึงเล่าให้หลานชายฟัง
ได้ยินอย่างนั้น โม่เจ๋อหยวนขมวดคิ้ว
“เป็นไปได้ไหมว่า… คุณปู่ฉินมีอะไรปิดบัง? เขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวซวงเอ๋อร์?”
ถึงผู้เฒ่าโม่จะรู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าสหายของเขาคนนี้ไม่น่าทำอย่างนั้น “เราทุกคนรู้จักผู้เฒ่าฉินดี และเขาคงไม่ทำอะไรแบบนั้น แต่ว่า… ปู่ไม่รู้จุดประสงค์ของตราประทับนั่น และไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรด้วย”
โม่เจ๋อหยวนรู้ดีถึงความแน่นแฟ้นของปู่กับเพื่อนคนนี้ ชายหนุ่มเลยเลิกคาดเดา
“ครับปู่ ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดเอง ถ้าผู้เฒ่าฉินไม่มีอะไรจริง ๆ เราก็น่าจะพูดคุยกับเขาได้”
ผู้เฒ่าโม่พยักหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “แล้วถ้ามีเวลาสักหน่อยก็เชิญซวงเอ๋อร์มาทานมื้อเย็นที่บ้านเราบ้างล่ะ”
“ครับปู่”
โม่เจ๋อหยวนยกยิ้มก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านตระกูลจิง
ถังซวงเห็นโม่เจ๋อหยวนในขณะที่เธอได้รับข่าวจากเฟิงเยี่ยหาน
“พี่โม่ อ่านนี้สิคะ เฟิงเยี่ยหานส่งมาจากเมืองไห่เฉิง”
โม่เจ๋อหยวนก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว และเมื่ออ่านเนื้อหาภายในจดหมาย แววตาของเขาดูเย็นชาลงมาก “หมอนี่อีกแล้ว”
“ใครหรือคะ? พี่รู้จักคนคนนี้ในจดหมายด้วยหรือ?”
ถังซวงมองโม่เจ๋อหยวนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โม่เจ๋อหยวนพยักหน้าและพูดต่อว่า “คนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ของผู้เฒ่าฉิน ที่คุณปู่เรียกฉันไปวันนี้เพราะผู้เฒ่าฉินทำตัวแปลก ๆ และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย” ขณะพูดอย่างนั้น เขาบอกเล่าสิ่งที่ผู้เฒ่าโม่บอกก่อนหน้านี้
แววตาของถังซวงกลายเป็นเย็นชา
“เหมือนตระกูลฉินจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“ซวงเอ๋อร์ เรื่องทั้งหมดยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ยังไม่มีใครแน่ใจว่าเป็นผู้เฒ่าฉินจริง ๆ หรือเปล่า”
ถังซวงวางจดหมายลงบนโต๊ะ “แต่ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อติงเหอ ไม่เพียงแต่ติดต่อกับเฟิงเยี่ยหยงเท่านั้น แต่เขายังได้รับเงินจำนวนมาก มันดูผิดปกติยังไงไม่รู้”
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะซวงเอ๋อร์ เดี๋ยวฉันจะไปตรวจสอบเรื่องทั้งหมดให้ แล้วเราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับติงเหอกันแน่”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เหลิ่งตงปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
“สหายโม่ ผมคิดว่าผู้บังคับบัญชาจูควรทราบเรื่องนี้”
โม่เจ๋อหยวนและถังซวงมองหน้ากัน และไม่พูดอะไรเพียงพยักหน้ารับ
จากนั้นเหลิ่งตงหายลับไปในความมืด
โม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “คราวแรกฉันคิดว่าจะสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาจูเข้ามาช่วย เขาคงจะตรวจสอบได้ละเอียดกว่า”
“ผู้บังคับบัญชาจูมีเส้นสายมากมาย ถ้าปล่อยให้เขาจัดการ บางทีเขาอาจจะค้นพบความจริงเร็วกว่าพวกเรา ถ้าผู้เฒ่าฉินไม่เกี่ยวข้องจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”