การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 4 พื้นที่มิติ
บทที่ 4 พื้นที่มิติ
บทที่ 4 พื้นที่มิติ
เมื่อถังซวงตื่นขึ้นอีกครั้งก็เป็นเช้าของวันถัดไปแล้ว เธอพบว่าเฮ่อหลานและถังเซวี่ยไม่อยู่ ขณะนี้รู้สึกได้ถึงท้องที่ส่งเสียงร้องดังโครกครากเพราะความหิว
เมื่อฟังเสียงท้องของเธอคำราม ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
คงจะดีถ้าพื้นที่มิติของเธอยังคงอยู่ เมื่อนึกถึงตอนที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อกักตุนเสบียงในยุควันสิ้นโลก พื้นที่ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ทุกอย่างที่หาได้ แม้กระทั่งหนังสือและเมล็ดพันธุ์ล้ำค่ามากมาย เธอเป็นคนหามาเองทั้งหมด
เธอยังจำได้ดีว่ารายการสุดท้ายคือขนมปังหลายชิ้น ถ้าได้มาเพียงชิ้นเดียวในตอนนี้…
ขณะที่ถังซวงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขนมปังชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ ซึ่งเหมือนกับอันที่เธอวางลงในพื้นที่มิติพอดี
ถังซวงพูดอะไรไม่ออก
มองไปที่ขนมปังในมือ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความปีติยินดี เป็นไปได้ไหมว่าเธอรอดชีวิตจากภัยพิบัติและมาที่นี่ พื้นที่มิติก็มาพร้อมกับเธอ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็สงบลงอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าสติของเธอก็เข้าสู่พื้นที่มิติมองไปที่เสบียงที่อยู่ตรงหน้า ถังซวงอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ฮ่า ๆ…”
“ซวงเอ๋อร์…ลูกตื่นแล้วเหรอ? ทำไมมีความสุขนักล่ะ?”
เฮ่อหลานเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จ แต่เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา เธอเห็นลูกสาวนอนหัวเราะอยู่บนเตียง
เมื่อถังซวงได้ยินเสียง เธอดึงสติออกจากพื้นที่มิติ และเก็บขนมปังในมือกลับเข้าไปโดยใช้ประโยชน์จากความไม่สังเกตของเฮ่อหลาน จากนั้นก็รีบมองไปที่มารดาและพูดว่า “แม่ หนูดีใจที่รอดพ้นจากความตายมาได้น่ะค่ะ”
เฮ่อหลานรู้สึกเจ็บที่ใจเมื่อได้ยินประโยคนั้น รีบวางอาหารเช้าตรงหน้าถังซวงและพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ แม่ทำโจ๊กข้าวมาให้ กินก่อนสิ วันนี้มีซาลาเปางาขาวน้ำตาลทรายแดงด้วยนะ ของโปรดของลูกทั้งนั้นเลย”
ในขณะนี้เฮ่อหลานตระหนักว่าถังเซวี่ยไม่อยู่ที่นี่เลยรีบถามว่า “เสี่ยวเซวี่ยอยู่ที่ไหน?”
“หนูคิดว่าเสี่ยวเซวี่ยไปกับแม่เสียอีก แม่กับน้องไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?” ถังซวงก็รู้สึกแปลกเช่นกัน และเมื่อเฮ่อหลานกำลังจะไปตามหา ถังเซวี่ยก็กลับมา
“เสี่ยวเซวี่ย ลูกไปทำอะไรมา แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูแลพี่สาวให้ดีน่ะ” เฮ่อหลานรู้สึกโล่งใจเมื่อลูกสาวตัวน้อยกลับมา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเธอด้วยสายตาตำหนิ
ถังเซวี่ยรีบอธิบาย “แม่ หนูจะไปเอาน้ำร้อน”
“ทิ้งพี่สาวอยู่คนเดียวไม่ได้ คราวหน้าไว้รอแม่ทำน้ำร้อนให้นะ”
“ค่ะ…”
ถังเซวี่ยรีบตอบรับเมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น พลางวางขวดน้ำร้อนและไปทานอาหารเช้าด้วยกัน
แม่และลูกสาวใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกัน ร่างกายของถังซวงก็ดีขึ้นมาก เกือบจะหายเป็นปกติในไม่กี่วัน
“อาการบาดเจ็บใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลยครับ”
แพทย์ได้ตรวจบาดแผลของถังซวงเสร็จก็ให้เธอออกจากโรงพยาบาลทันที
เฮ่อหลานถามอย่างกระวนกระวายจากด้านข้าง “คุณหมอคะ ลูกสาวของฉันหายดีแล้วเหรอคะ? แต่ผ้าก๊อซบนหัวของเธอยังไม่เอาออกเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้แผลเธอตกสะเก็ดแล้ว อีกสองวันก็เอาผ้าก็อซออกได้เลยครับ ผมจะเตรียมยาไว้ให้เมื่อออกจากโรงพยาบาล แค่เธอกินยาอย่างสม่ำเสมอก็จะไม่เป็นอะไรครับ”
เมื่อหมอพูดเช่นนั้น เฮ่อหลานก็โล่งใจ
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
“ยินดีครับ”
หลังจากถังซวงได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล แม่และลูกสาวก็ขนข้าวของออกจากโรงพยาบาลทันที
เมื่อทั้งสามคนมาถึงทางแยก ถังซวงเหลือบมองไปที่เฮ่อหลานและถามว่า “แม่ ตัดสินใจแล้วหรือยัง?”
“อะไร?”
ถังซวงถามอีกครั้ง “ตัดสินใจเรื่องหย่าหรือยัง?”
“ซวงเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเมื่อก่อนแม่อ่อนแอเกินไป เชื่อฟังคุณย่าและพ่อทุกอย่าง หลังจากนี้แม่จะไม่เป็นแบบนั้นอีกแน่นอน แม่จะปกป้องพวกลูกให้ดีที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเฮ่อหลาน
เมื่อเห็นท่าทีลูกสาวคนโตแบบนี้ เฮ่อหลานก็ตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล “ซวงเอ๋อร์ แม่…แม่ไม่รู้ว่าจะพาลูกสองคนออกจากตระกูลถังได้ยังไง หลังจากหย่าแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าเราจะทำยังไงหรือทำอะไรในอนาคต ดังนั้น…แม่ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำอย่างไร”
ในตอนท้าย ดวงตาของเฮ่อหลานเต็มไปด้วยความสับสนพร้อมกับความพยายามอยู่ในนั้น
เมื่อเห็นเฮ่อหลานเป็นเช่นนี้ ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าผู้หญิงในสมัยนี้จะไม่เคยคิดเรื่องการหย่าร้าง
เมื่อเห็นว่าถังซวงมองมาที่เธออย่างนิ่งเฉย เฮ่อหลานก็เอ่ยต่อด้วยเสียงต่ำ “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ทำไมพวกลูกไม่…ไม่ตามแม่ไปที่หมู่บ้านเถาฮวาก่อนละ แม้ว่าคุณยายจะจากไปแล้ว แต่บ้านเก่าก็ยังอยู่ แม่จะไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเอง บอกว่าพวกเราแม่ลูกจะขออาศัยอยู่ชั่วคราว”
ถังซวงยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็น กลับบ้านตระกูลถังกันก่อนเถอะค่ะ”
“ซวงเอ๋อร์…”
ใบหน้าของเฮ่อหลานเต็มไปด้วยคำถาม ลูกสาวคนโตไม่ได้ต้องการให้ตนหย่ากับถังเจี้ยนกั๋วหรอกเหรอ? ทำไมเธอถึงอยากกลับไปที่นั่นละ
“ตระกูลถังทั้งกดขี่แถมยังใช้งานเราอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเราต้องเอาคืน เราจะปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไรในขณะที่เรากำลังทุกข์ยาก”
“แต่…”
เฮ่อหลานรู้สึกอยู่เสมอว่ามันไม่ง่ายสำหรับพวกเธอที่จะแสวงหาความยุติธรรม
“ไปกันเถอะ”
ถังซวงเดินนำไป
เมื่อเห็นดังนั้น ถังเซวี่ยก็เดินตามเธอไปทันที เธอรู้สึกเพียงว่าพี่สาวของเธอทรงพลังมาก ดังนั้นสิ่งที่พี่สาวพูดต้องถูกอย่างแน่นอน เธอเดินไปสองสามก้าวและพอเห็นว่าแม่ของเธอยังไม่ตามมา เธอจึงรีบพูดว่า “แม่คะ เร็วเข้า ตามมา”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวทั้งสองกำลังจะกลับไป เฮ่อหลานก็ไม่พูดอะไรอีก และเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
หลังจากที่แม่และลูกสาวกลับไปที่ตระกูลถัง ถังเจี้ยนกั๋วก็รีบออกมาต้อนรับทันที
“เอาล่ะ ในที่สุดนังสารเลวทั้งสามก็กลับมาสักที รีบไปทำอาหารซะ ฉันหิวแล้ว” อันที่จริง เขารู้แล้วว่าช่วงนี้ถังซวงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประจำมณฑล เดิมทีเขาวางแผนจะไปที่นั่น และรับถังซวงกลับมา โรงพยาบาลแบบไหนกันที่เด็กนี่ไปอยู่ เงินพวกนั้นอาจซื้อเหล้าชั้นดีให้เขาได้เลยนะ แต่ถังเยว่หมิน ผู้ใหญ่บ้านบอกเขาว่าถ้าเขาต้องการไปโรงพยาบาลเพื่อนำถังซวงกลับมา เขาต้องออกค่ารักษาส่วนที่เหลือ มิฉะนั้นทางโรงพยาบาลจะไม่ปล่อยให้เธอกลับมาแน่นอน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเจี้ยนกั๋วหยุดคิดเรื่องนั้นทันที ใครก็ตามที่ส่งเด็กสารเลวนั่นไปโรงพยาบาลก็ต้องรับผิดชอบเอง เขาจะไม่ยอมจ่ายเงินอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าถังซวงสบายดี เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกไล่ล่าและทุบตีในครั้งก่อนทันที ขณะที่มองไปนัยน์ตาของถังซวงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นการแสดงออกของถังเจี้ยนกั๋วแล้ว เฮ่อหลานก็ยืนบังหน้าลูกสาวของเธอทันที “ซวงเอ๋อร์เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ร่างกายยังอ่อนแออยู่ เพราะงั้นคุณทำอาหารด้วยตัวเองเถอะ” ร่างกายของเธอกำลังสั่นคลอน แต่เนื่องจากเธอตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องลูกสาว เธอจะต้องเปลี่ยนตัวเอง
“ฮะ… ฉันว่าฉันพูดไปแล้วนะ นังบ้านี่ รีบทำอาหารให้ฉันกินซะ ถ้าไม่ไป พวกแกได้เห็นดีแน่”
ในเวลานี้ คนอื่นในตระกูลถังก็ออกมาเช่นกัน เมื่อเห็นเฮ่อหลานกลับมา พวกเขาก็แสดงออกแตกต่างกันไป
“นี่…กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ ซวงเอ๋อร์ช่างโง่เขลาจริง ๆ ไม่รู้ว่าเสียเงินไปเท่าไหร่ ต้องไปถึงโรงพยาบาลประจำมณฑล ยิ่งครอบครัวอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้ว ยังวิ่งแจ้นไปโรงพยาบาลอีก เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งครอบครัวหรอก”
ถังซวงเงยหน้าขึ้นมองคนพูด นั่นคือ ‘จ้าวเหม่ยฉิน’ ป้าของเธอ
ครอบครัวของลุงถังเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าของผู้อาวุโสตระกูลถัง อาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อยจะอยู่ใกล้กับบ้านใหญ่ เมื่อผู้อาวุโสไม่สนใจ ครอบครัวของลุงถังก็มักใช้งานแม่และลูกสาวจากบ้านรองอย่างหนักราวกับดูดเลือดเพื่อเอามาหล่อเลี้ยงบ้านใหญ่…
“คุณป้า ต่อจากนี้ไปถ้าป่วยก็อย่าไปโรงพยาบาลเลยนะคะ เสียเงินเปล่า ตายไปคงดีกว่านี้ จะได้ประหยัดค่าอาหารได้เยอะเลย”
จ้าวเหม่ยฉิน มองไปที่ถังซวงด้วยความไม่เชื่อหูตัวเอง
“แก…แกกล้าด่าฉัน!”
ในอดีต เด็กสาวทั้งสองมักสองขี้อายและกลัวที่จะพูดคุยกับคนอื่น แต่วันนี้ถังซวงไม่เพียงแต่พูดโต้ตอบกลับ แต่ยังพูดอย่างชั่วร้าย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจ นี่ใช่ถังซวงจริงหรือ?
ถังซวงเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจังและพูดอย่างชอบธรรมว่า “คุณป้า แม้ว่าคุณป้าจะเป็นญาติของฉัน ฉันก็ยังต้องบอกคุณป้าอยู่ดี การถือยศถืออาวุโสเป็นสิ่งไม่ดี และเราต้องไม่สนับสนุนสิ่งเหล่านั้น คุณป้าพูดคำสาปแช่งออกมาได้ยังไง? ถ้าคนอื่นได้ยินเข้า ทั้งครอบครัวของเราจะถูกมองในแง่ร้ายเอานะ”
“ฉัน… ฉันไม่… ฉันไม่”
แม้ว่าเรื่องพวกนี้จะไม่เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าจะมีใครบ้างที่ยังยึดมั่นในเรื่องนี้ ดังนั้นทุกคนจึงยังกลัวอยู่
แม้แต่แม่เฒ่าถังก็ยังผงะ เธอมองถังซวงแล้วพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระ ป้าของแกไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“จริงเหรอ?”
ถังซวงมองไปที่ จ้าวเหม่ยฉิน อย่างอยากรู้อยากเห็น การจ้องมองของเด็กสาวราวกับคบเพลิงที่กำลังโหมไหม้ก็ไม่ป่าน
เมื่อเห็นนัยน์ตาที่สดใสของถังซวง จ้าวเหม่ยฉินรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน ลูกสาวคนโตของบ้านรองดูเหมือนจะแตกต่างออกไปเล็กน้อยหลังเธอกลับมาจากโรงพยาบาล เธอดูน่ากลัว “แน่นอน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น จริงสิซวงเอ๋อร์ เธอได้รับบาดเจ็บจนต้องไปโรงพยาบาล มันเป็นความผิดของป้าอย่างฉันเอง”
เห็นได้ชัดว่าเป็นสาวน้อยคนนี้สาปแช่งเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องขอโทษออกมา จ้าวเหม่ยฉินเสียหน้ามาก แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้เพราะกลัวว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นี่จะโพนทะนาไปทั่ว แล้วจะเธอที่เป็นฝ่ายเสียหายเสียเอง
เมื่อถูกขัดจังหวะโดยถังซวง สมาชิกของตระกูลถังที่พยายามโจมตีพวกเขาสามแม่ลูกก็สูญเสียความเย่อหยิ่งที่มีในตอนแรกไป และในตอนนั้น พ่อเฒ่าถังก็พูดขึ้นว่า “เฮ่อหลาน แกกลับมาทันเวลาพอดี พาเสี่ยวเซวี่ยไปทำอาหารซะสิ” หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับไปที่บ้านใหญ่
เมื่อเห็นว่าชายชราพูดไปแล้ว แม่เฒ่าถังก็ไม่พูดอะไรอีก เธอจ้องไปที่ถังซวงและคนอื่น ๆ แค่นเสียงเย็นชาแล้วหันหลังกลับไปเช่นกัน
ถังซวงเห็นการแสดงออกของทุกคน จากนั้นมองไปที่เฮ่อหลานด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ มาทำอาหารกันเถอะ”
เฮ่อหลานรีบพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ไปพักผ่อนให้สบายเถอะ เสี่ยวเซวี่ยกับแม่จะทำอาหารเอง”
แต่ไม่มีใครหยุดการตัดสินใจของถังซวงได้ แม่และลูกสาวไปที่ครัวด้วยกัน
มีธัญพืชและอาหารที่แม่เฒ่าถังเตรียมไว้รอพวกเธอมาทำอาหาร หญิงชรามักจะจับตาดูธัญพืชอย่างใกล้ชิดและเก็บของทั้งหมดไว้ในบ้านของตน แล้วนำออกมาตามเวลาที่ต้องการกินอาหารเท่านั้น สำหรับการทำอาหารนั้นก็ให้เฮ่อหลานและลูกสาวสองคนทำไป
ถังซวงชำเลืองมองสิ่งที่อยู่บนเตา ดวงตาของเธอเป็นประกาย
“แม่คะ ทำอาหารกันเถอะ”
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของลูกสาวคนโต เฮ่อหลานก็ไม่เข้าใจ
“แม่คะ หุงข้าวเถอะ เอาปลากับกุ้งตัวเล็ก ๆ พวกนั้นมาตุ๋น แล้วก็ทำผัดผัก พอเสร็จแล้วเรามากินข้าวกัน”