การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 407 ตื๊อ
บทที่ 407 ตื๊อ
บทที่ 407 ตื๊อ
ถังซวงหันมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ ฉันจะทำให้เต็มที่”
มื้ออาหารนี้กลายเป็นมื้อที่ทุกคนให้กำลังใจถังซวง และยังมอบของขวัญให้เธอด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยจากทุกคน หลังจากวันนี้เธอไม่ได้ไปโรงเรียนแล้ว เพราะเธอเข้าใจทุกสิ่งที่อาจารย์สอนทั้งหมด การอ่านหนังสือที่บ้านย่อมดีกว่า อีกอย่างเหมาจื้อหลางก็อนุมัติเรื่องนี้แล้วด้วย
ตอนนี้โม่เจ๋อหยวนกำลังอ่านหนังสืออยู่กับถังซวง
“ซวงเอ๋อร์ เธออ่านหนังสือสองเล่มนี้เข้าใจหรือยัง?”
โม่เจ๋อหยวนถามถึงหนังสือสองเล่มที่ได้มาก่อนหน้านี้ และเห็นว่าเนื้อหาในหนังสือค่อนข้างดีไม่น้อย
ถังซวงพยักหน้า “อ่านจบแล้วค่ะ”
“อ้อ ดีแล้วล่ะ”
โม่เจ๋อหยวนเชื่อมั่นในตัวของถังซวงเสมอ เขามีความสุขมากเมื่อรู้ว่าตนเองสามารถอ่านหนังสือกับถังซวงได้ทุกวัน นั่นหมายความว่าทั้งสองคนสามารถอยู่ด้วยกันทั้งวันได้
“พี่โม่ ไปอ่านหนังสือต่อเถอะค่ะ”
“ครับ”
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มอ่านหนังสือต่อ
แม้ถังซวงไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว แต่ถังเซวี่ยยังต้องไปโรงเรียนเช่นเดิม เวลานี้เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูเพื่อรอหม่าเสี่ยวชุ่ยที่ได้นัดหมายไว้ก่อนหน้า
“เสี่ยวเซวี่ย ฉันมาแล้ว”
หม่าเสี่ยวชุ่ยเห็นถังเซวี่ยยืนรออยู่ก็รีบเดินไปหา
“เสี่ยวชุ่ย มาสักที ถ้าเธอยังไม่มา ฉันจะเดินไปหาเธอที่ห้องเรียนมัธยมต้นแล้วนะเนี่ย”
หม่าเสี่ยวชุ่ยจับแขนถังเซวี่ยแล้วพูดต่อ “เสี่ยวเซวี่ยทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? เธอก็เคยอยู่ห้องนั้นมาก่อนนะ ต้องเรียกว่าห้องเรียนของเรามากกว่าสิ”
“จ้ะ ๆ เราอยู่มัธยมต้นห้องเดียวกัน อ้อ แล้วเที่ยงนี้เราจะกินอะไรกันหรือ?”
ถังเซวี่ยนัดกับหม่าเสี่ยวชุ่ยไว้แล้วว่าจะไม่กลับไปทานอาหารที่บ้าน
หม่าเสี่ยวชุ่ยตัดสินใจไว้แล้ว เธอลากถังเซวี่ยตรงไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในใจทันที “เสี่ยวเซวี่ย รีบไปกันเถอะ ฉันได้ยินว่าวันนี้จะมีข้าวหน้าเนื้อผัดกระเทียมด้วย เร็ว ๆ เดินตามมาเร็วเข้า”
ถังเซวี่ยวิ่งเข้าร้านอาหารพร้อมกับหม่าเสี่ยวชุ่ย และทั้งสองสั่งข้าวหน้าเนื้อผัดกระเทียม ปลาตุ๋นซอส และวุ้นเส้นผัดกะหล่ำปลี
ทันทีที่ถังเซวี่ยหยิบตะเกียบ เธอได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“สหายถังเซวี่ย ไม่คิดว่าจะเป็นคุณ บังเอิญจังเลยนะครับ”
ตู้จ้งเหลียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “มาทานอาหารที่นี่หรือครับ งั้นมาทานด้วยกันไหม?”
ถังเซวี่ยขมวดคิ้วเมื่อเห็นตู้จ้งเหลียนเดินเข้ามา ก่อนหน้านี้ตู้จ้งเหว่ยเคยเตือนเธอแล้ว เมื่อเห็นชายคนนี้เดินเข้ามา เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจ “ไม่ค่ะ ฉันจะทานอาหารกับเพื่อนของฉัน”
ตู้จ้งเหลียนหันมองหม่าเสี่ยวชุ่ย เขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน หล่อนเป็นคนที่ไปซื้อของกับถังเซวี่ย น่าจะพูดคุยได้
“พวกเราก็มาสองคนเหมือนกัน แค่ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน น่าจะสนุกดีนะครับ”
คราวนี้เขามาพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นของตน ชายคนนั้นกำลังจ้องมองถังเซวี่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเริ่มคาดเดาความสัมพันธ์ของตู้จ้งเหลียนกับถังเซวี่ยในใจ
หม่าเสี่ยวชุ่ยจำได้ว่าตู้จ้งเหลียนเคยสร้างความรำคาญใจให้กับถังเซวี่ย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจึงจางหายไปทันที “ไม่ค่ะ เราไม่รู้จักกัน และการนั่งร่วมโต๊ะคงจะทำให้ฉันเบื่ออาหาร”
ตู้จ้งเหลียนที่ไม่คิดว่าหม่าเสี่ยวชุ่ยจะพูดอย่างนั้น ถึงกับหน้าบึ้งตึง “คราวก่อนเราก็เจอกันแล้วไม่ใช่หรือครับ ทำไมถึงพูดว่าไม่รู้จักล่ะ?”
“ค่ะ พวกเราไม่รู้จักกัน ครั้งล่าสุดที่เราได้เจอกันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และฉันยังไม่รู้จักชื่อของคุณด้วยซ้ำ แล้วจะเรียกว่าเรารู้จักกันได้ยังไงล่ะคะ”
ตู้จ้งเหลียนได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวออกไปโต้ง ๆ ว่า “ผมชื่อตู้จ้งเหลียน เอาล่ะ ในเมื่อรู้จักชื่อผมแล้ว อย่างนี้เรารู้จักกันหรือยัง?”
หม่าเสี่ยวชุ่ยรู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการจะตอแยถังเซวี่ย อีกทั้งท่าทีของถังเซวี่ยตอนนี้ยิ่งชัดเจนว่าหล่อนรังเกียจชายตรงหน้ามากแค่ไหน ไม่ใช่เพียงถังเซวี่ย เธอเองก็ยังไม่ชอบเขาด้วยเช่นกัน
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้อยากรู้จักชื่อของคุณ รีบไปได้แล้ว”
“นี่เธอ…”
ตู้จ้งเหลียนไม่คิดว่าจะถูกหม่าเสี่ยวชุ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าถังเซวี่ยก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจึงทำได้เพียงเก็บอาการและอดกลั้นเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณทานให้อร่อยนะครับ เดี๋ยวพวกเราไปนั่งด้านใน”
หลังจากตู้จ้งเหลียนออกไปแล้ว หม่าเสี่ยวชุ่ยอดไม่ได้ที่จะพึมพำ “ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกัน เราบอกว่าไม่อยากทานอาหารกับเขา แต่เขายังหน้าหนาจะนั่งร่วมโต๊ะให้ได้”
ถังเซวี่ยที่อารมณ์ไม่ดีนักได้ยินคำพูดของหม่าเสี่ยวชุ่ย แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ใช่ พวกเขาไร้ยางอาย ไม่เข้าใจหรือไงว่าไม่อยากจะร่วมโต๊ะด้วย”
หม่าเสี่ยวชุ่ยส่ายศีรษะก่อนจะตอบกลับ “บางทีพวกเขาอาจจะมั่นใจในตัวเองเกินไป”
หลังจากพูดคุยกัน ทั้งสองก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารและไม่สนใจคนอื่นอีกต่อไป
แต่ว่าตู้จ้งเหลียนยังคงมองถังเซวี่ยไม่ละสายตา
เพื่อนร่วมชั้นของตู้จ้งเหลียนถามเขาด้วยความสงสัย “จ้งเหลียน ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นใครหรือ? นายรู้จักเธอหรือไง?”
“อืม รู้จัก เป็นเพื่อนของฉัน”
เพื่อนร่วมชั้นยิ่งสับสน ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้า ตู้จ้งเหลียนกับถังเซวี่ยดูไม่เหมือนคนที่รู้จักกันแม้แต่น้อย อีกทั้งบรรยากาศระหว่างทั้งสองยังค่อนข้างตึงเครียด ตอนที่ตู้จ้งเหลียนเชิญร่วมโต๊ะ อีกฝ่ายยังปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ถังเซวี่ยรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตู้จ้งเหลียนยังคงจ้องมองตนเองอยู่ แน่นอนว่าเธอไม่คิดสนใจเขา หลังทานอาหารเสร็จก็รีบกลับโรงเรียนพร้อมกับหม่าเสี่ยวชุ่ย
“เสี่ยวชุ่ย เรากลับกันเถอะ”
“ป่ะ”
หม่าเสี่ยวชุ่ยยืนขึ้นทั้งสองกำลังจะเดินกลับไปที่โรงเรียนพร้อมกัน
แต่ทันทีที่เห็นถังเซวี่ยกำลังจะจากไป ตู้จ้งเหลียนยืนขึ้นก่อนจะวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว “สหายถังเซวี่ย กำลังจะกลับโรงเรียนหรือครับ? งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง”
ถังเซวี่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ตู้จ้งเหลียนยังไม่ยอมแพ้ เขาวิ่งตามตื๊อต่อ “สหายถังเซวี่ย ให้ผมไปส่งเถอะนะ ปล่อยเธอสองคนเดินไปอย่างนี้ ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
“ตู้จ้งเหลียน พวกเราสบายดี ไม่ต้องห่วงค่ะ อีกอย่างเราไม่ต้องการให้คุณไปส่งค่ะ”
ขณะที่เถียงกัน ก็เดินมาจนถึงประตูแล้ว ถังเซวี่ยดึงหม่าเสี่ยวชุ่ยเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าตู้จ้งเหลียนคล้ายกับพลาสเตอร์หนังวัวที่ยากจะสลัดออกซะจริง ๆ
“สหายถังเซวี่ย…”
ตู้จ้งเหลียนเห็นว่าถังเซวี่ยกำลังจะเดินหนี จึงคว้าแขนของเธอไว้โดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่มือของตู้จ้งเหลียนจะเอื้อมแตะถังเซวี่ย มือหนาทรงพลังกว่ากลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “คิดจะทำอะไร?”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเย็นชาอันคุ้นเคย ถังเซวี่ยหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ “เฟิงเยี่ยหาน คุณมาทำอะไรที่นี่”
เฟิงเยี่ยหานหันมองถังเซวี่ย ทันใดนั้นสีหน้าของเขากลายเป็นอ่อนโยนอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “พอดีผมมาทำธุระที่เมืองหลวงนิดหน่อยครับ เลยแวะมาทานมื้อกลางวันที่นี่แล้วบังเอิญได้เจอคุณน่ะ”