การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 417 เป็นฉันเอง
บทที่ 417 เป็นฉันเอง
บทที่ 417 เป็นฉันเอง
หม่าเสี่ยวชุ่ยยิ่งกระวนกระวายที่ได้ยินถังเซวี่ยตอบอย่างนั้น “เสี่ยวเซวี่ย จะคุยอะไรกับเขากัน เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนคาบบ่ายสายนะ”
ตู้จ้งเหลียนหันมองหม่าเสี่ยวชุ่ยอย่างขุ่นเคือง “หม่าเสี่ยวชุ่ย คุณถังเซวี่ยมีเรื่องจะคุยกับฉัน เธอไม่ต้องมายุ่ง ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ”
“คุณ…”
หม่าเสี่ยวชุ่ยเห็นตู้จ้งเหลียนมีท่าทีอย่างนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้หวาดกลัวตู้จ้งเหลียนแต่เป็นตระกูลตู้ต่างหาก
“เสี่ยวชุ่ย เธอกลับไปก่อน ฉันไม่เป็นไร”
ถังเซวี่ยปลอบโยนหม่าเสี่ยวชุ่ยพร้อมยกยิ้มบอกให้เธอกลับไปก่อน ยังไงเฟิงอีก็ยังอยู่กับเธอ และด้วยความสามารถของเธอก็เพียงพอที่จะจัดการกับตู้จ้งเหลียน เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดา ต่อให้มาสักสองสามคนเธอก็สามารถรับมือได้ไม่มีปัญหา
หม่าเสี่ยวชุ่ยเห็นว่าถังเซวี่ยยืนยันที่จะอยู่จึงยิ่งกังวล
และตู้จ้งเหลียนจ้องมองเธออย่างน่าขนลุก อีกทั้งเสี่ยวเซวี่ยยังบอกให้เธอกลับ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับก่อน “เสี่ยวเซวี่ย งั้นฉันกลับก่อนนะ เดี๋ยวหลังเลิกเรียนเราค่อยเจอกัน”
“ตกลง”
หม่าเสี่ยวชุ่ยหันกลับมามองอีกครั้ง และในที่สุดก็เดินจากไป
ในตอนนี้เหลือเพียงถังเซวี่ยและตู้จ้งเหลียน ชายหนุ่มเดินเข้าหาถังเซวี่ยพร้อมยกยิ้มจนฉีกถึงใบหู “คุณถังเซวี่ย มีอะไรจะคุยกับผมหรือ? ความจริงแล้วผมก็มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเหมือนกัน เรานี่ใจตรงกันจริง ๆ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
ถังเซวี่ยมองตู้จ้งเหลียนอย่างรังเกียจ “เรื่องที่ฉันจะบอกง่ายมาก ต่อไปคุณอย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก แล้วก็อย่าตำหนิที่ฉันต้องหยาบคายอย่างนี้ เพราะถ้าคุณยังขืนทำตัวรุ่มร่ามเหมือนเคย ฉันก็จะให้พ่อของฉันไปคุยกับพ่อของคุณ”
ได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มก่อนหน้าของตู้จ้งเหลียนหายไปทันที ใบหน้าของเขากลายเป็นมืดมนทั้งยังน่าเกลียด “คุณถังเซวี่ย เกลียดผมขนาดนั้นเลยหรือ? ความจริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ผมก็ยังดูดีกว่ามากเลยนะ”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าในสายตาคนส่วนใหญ่คุณเป็นยังไง แต่สำหรับฉันคุณเป็นแค่วิญญาณลอยวนไปวนมาสร้างความรำคาญไม่จบสิ้น”
ตู้จ้งเหลียนได้ยินคำหยาบคายจากปากของถังเซวี่ย ก็ยกยิ้ม “น่าขายหน้าจริง ๆ ที่ผมสร้างความรำคาญให้กับคุณขนาดนั้น แต่ถึงคุณถังเซวี่ยจะรำคาญแค่ไหนก็ยังยอมมากับผมอยู่ดี”
“เหอะ… ใครใช้ให้คุณทำตัวน่ารังเกียจด้วยการเอาเสี่ยวชุ่ยมาเป็นตัวประกันล่ะคะ? ฉันขอเตือนไว้เลยว่าอย่ายุ่งกับเสี่ยวชุ่ยอีก ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่จบง่าย ๆ แน่”
หลังพูดจบ ถังเซวี่ยยืนขึ้นทันที
“ฉันจะพูดอีกครั้ง อย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก เราไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้ แค่นี้แหละ ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ขณะที่ถังเซวี่ยกำลังจะเดินออกไป จู่ ๆ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ศีรษะของเธอหมุนติ้วราวกับลูกข่าง ถังเซวี่ยรู้สึกมึนงงไปทุกขณะ เธอรีบหันมองตู้จ้งเหลียนด้วยความตื่นตระหนก
“คุณ… วางยาฉัน”
“คุณถังเซวี่ย การที่คุณปฏิเสธผมมันทำให้ผมเจ็บปวดมากนะครับ ผมเหลือแค่ทางเลือกนี้เท่านั้น หลังจากวันนี้เราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน และในอนาคตผมจะไม่ยอมปล่อยคุณออกจากอ้อมแขนแน่นอน ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ตู้จ้งเหลียนลุกยืนขึ้น และค่อย ๆ เดินเข้ามาหาถังเซวี่ย
ถ้าถังเซวี่ยกลายเป็นภรรยาของเขา ตระกูลจิงไม่มีวันทำอะไรเขาได้ และทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น หากเขากลายเป็นหลานเขยตระกูลจิงเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นเป็นคนสำคัญอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็ว
ตู้จ้งเหลียนยิ่งตื่นเต้นเมื่อนึกคิดถึงสิ่งนี้
นี่นับว่าคุ้มค่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว หากเขาสามารถเข้าไปอยู่ในตระกูลจิงได้ และมีสาวงามเช่นถังเซวี่ยข้างกายมันคงดีไม่น้อย
“คุณ…”
ถังเซวี่ยได้ยินคำพูดของตู้จ้งเหลียน จึงทราบถึงจุดประสงค์ของเขาในวันนี้ เธอต้องการจะร้องเรียกเฟิงอี แต่ก่อนที่จะพูดอะไรสติพลันดับมืด ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราโดยสมบูรณ์
เห็นว่าถังเซวี่ยกำลังจะล้มลง ตู้จ้งเหลียนยกยิ้มพร้อมอ้าแขนรับเธอเอาไว้
จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวพรรณที่ขาวสะอาดน่าสัมผัส ชายหนุ่มก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
“ถังเซวี่ย… คุณสูงส่งนักไม่ใช่หรือ? เอาแต่ดูถูกผมอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่อยากเจอผม… แต่ตอนนี้คุณกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของผมแล้ว หึหึ… ผมล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าหลังจากวันนี้คุณจะทำยังไง จะทำตัวสูงส่งอยู่ไหม? ให้ผมครอบครองคุณเถอะ จะได้เลิกดื้อสักที”
ตู้จ้งเหลียนใช้ชีวิตที่ราบรื่นมาตั้งแต่เด็ก
เขาไม่มีอะไรที่ต้องกังวลในชีวิตนอกจากพี่ชายที่ชอบทำตัวน่าโมโห ทั้งพ่อและแม่ต่างรักเขา ส่วนแม่ก็ช่วยเขาจัดการทุกอย่างเสมอมา แต่เมื่อเขาพบกับถังเซวี่ย เขารู้สึกว่าตนเองกำลังพูดคุยกับกำแพงและถูกรังเกียจ เขาไม่อาจยอมรับสิ่งนี้ได้ หากเขาเป็นสามีของถังเซวี่ย สถานะของเขาจะเปลี่ยนไปทันที แผนการในวันนี้จึงเกิดขึ้น
เขากล้าพนันได้เลยว่าตระกูลจิงจะไม่มีวันปล่อยเขาไป และไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเปิดปากประกาศเรื่องน่าอับอายเช่นนี้แน่นอน และหากคนอื่นรู้เรื่องเหล่านี้เข้า ถังเซวี่ยจะเป็นฝ่ายต้องอับอาย และเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ถังเซวี่ย นับจากนี้ไปเธอจะเป็นของฉันคนเดียว”
ตู้จ้งเหลียนอุ้มถังเซวี่ยขึ้นและกำลังจะเดินไปยังห้องถัดไป
แต่เมื่อเขาก้าวขาได้เพียงสองก้าว เขาพบผู้หญิงในชุดรัดกุมคล่องแคล่วยืนอยู่ตรงหน้า เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ดูน่าขนลุก
เมื่อเห็นผู้หญิงแปลกหน้าโผล่มากะทันหัน ตู้จ้งเหลียนตกใจมาก “เธอเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่?”
“ปล่อยคุณถังเซวี่ยลงซะ”
ตู้จ้งเหลียนตกใจมาก ผู้หญิงตรงหน้ารู้จักถังเซวี่ย แล้วเธอมาจากไหน? ทำไมถึงโผล่มาที่นี่ได้?
“เธอ… ไปให้พ้น คุณถังเซวี่ยไม่ค่อยสบาย ฉันจะพาเธอไปพักผ่อน”
ตู้จ้งเหลียนไม่ยอมปล่อยมือจากถังเซวี่ย จนเฟิงอีต้องพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน “ฉันบอกว่า… ปล่อยคุณถังเซวี่ยลง ไม่เข้าใจภาษามนุษย์หรือไง?”
ยิ่งเห็นความเย่อหยิ่งของเฟิงอี ตู้จ้งเหลียนหงุดหงิดมาก เขายังไม่เสร็จธุระแต่กลับมีคนมาขวางทาง แต่แผนการในวันนี้จะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงตรงหน้าขวางทางแน่นอน
ตู้จ้งเหลียนวางถังเซวี่ยลง คิดจะจัดการกับเฟิงอีก่อน
หลังเฟิงอีเห็นท่าทางของตู้จ้งเหลียน เธอถึงกับหัวเราะออกมา
“กล้าดีนี่… ดูเหมือนว่าสองสามวันก่อนนายจะเจ็บไม่มากพอสินะ ยังกล้าจะสู้อีก?”
“เธอ… เธอเป็นคนลงมือในวันนั้นหรือ?”
ตู้จ้งเหลียนมองเฟิงอีด้วยความสงสัย ตอนนั้นเขาคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่กลับนึกไม่ออกว่ามันเป็นใครกันแน่ และเขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นถังเซวี่ยด้วย แต่นี่กลับกลายเป็นคนใกล้ชิดถังเซวี่ยจริง ๆ สินะ
“ใช่ ฉันเอง”
เฟิงอีกล่าวยอมรับตามตรง ก่อนจะปรี่เข้าหาตู้จ้งเหลียนอย่างรวดเร็วพร้อมเหวี่ยงขาเตะร่างของเขาลอยลิ่วออกไป
“อ๊า…”