การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 449 มาถึงประตู
บทที่ 449 มาถึงประตู
บทที่ 449 มาถึงประตู
ได้ยินอย่างนั้น ถังซวงยกยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ “คุณตาคะ คราวนี้พวกเราจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันค่ะ แต่พวกเรามากันหลายคน หนูเลยต้องขอรบกวนคุณตาแล้วนะคะ”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ตาอยากจะให้เธออยู่ที่นี่ตลอดไปด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่าเฮ่อหันมองโม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานพร้อมด้วยเกอชิงเหม่ย แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับโม่เจ๋อหยวนและเกอชิงเหม่ยพอสมควร ส่วนเฟิงเยี่ยหานเองก็ได้รู้จักบ้างแล้ว เขายิ้มกว้างก่อนพูดขึ้นว่า “รีบเข้ามาด้านในก่อนเถอะ ได้เจอทุกคนแบบนี้มันหายากมากนะ รีบเข้ามาจะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ”
“ค่ะคุณตา”
ทุกคนกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเริ่มทักทายครอบครัวของเฮ่อจื่อกุย
แต่พานลี่ฮวากลับคว้าเกอชิงเหม่ยไปคุยทันที
“ชิงเหม่ย ดีจังเลยที่เธอสบายดี ตอนที่พวกเราได้ยินว่าเธอหายตัวไป เราทุกคนเป็นห่วงมากเลยนะ ดีแล้วละที่ซวงเอ๋อร์หาเธอเจอ”
“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ จริง ๆ ที่ฉันถูกจับตัวไปเป็นเพราะความประมาทของฉันด้วย”
พานลี่ฮวารีบพูด “เรื่องนี้จะว่าเธอไม่ได้หรอก ถ้าต้องการจะดุด่าใครสักคน ต้องต่อว่าคนที่มันจับตัวเธอไปต่างหาก แล้วพวกนั้นถูกจับกุมหมดแล้วหรือยัง?” ความจริงเธอก็อยากรู้มากว่าทำไมซ่างสยงซานถึงต้องลักพาตัวเกอชิงเหม่ยไป และเกอชิงเหม่ยกับซ่างสยงเยี่ยมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?
ถึงแม้ว่าเธออยากจะถามคำถามมากมาย แต่พานลี่ฮวาก็ไม่กล้าจะพูดอะไรมาก เพราะสิ่งที่เธออยากรู้มันเป็นเรื่องน่าอายไม่สมควร
ได้ยินคำพูดของพานลี่ฮวา เกอชิงเหม่ยยกยิ้มก่อนจะตอบว่า “ปล่อยให้ซ่างสยงเยี่ยจัดการเถอะค่ะ ยังไงทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะจัดการยังไง”
ได้ยินอย่างนั้น พานลี่ฮวาจึงไม่ถามอะไรต่อก่อนจะหันไปมองโม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหาน และทักทายทั้งสองอย่างอบอุ่น “เสี่ยวโม่ เสี่ยวเยี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอมาที่เมืองก่างเฉิงใช่ไหม? งั้นฉันจะพาชิงเหม่ย ซวงเอ๋อร์ไปซื้อของสักหน่อย เธอสองคนก็ไปด้วยกันสิจ๊ะ”
ชายหนุ่มสองคนหล่อเหลาเอาการ ดูดีเสียยิ่งกว่าดาราดังซะอีก ถ้าหากว่าพวกเขาไปบนถนนด้วยกัน มันจะต้องสะดุดตาใครหลายคนแน่นอน
โม่เจ๋อหยวนเห็นความกระตือรือร้นของพานลี่ฮวา ทำได้แค่ยกยิ้มก่อนจะพูดว่า “ครับคุณป้า พวกเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองก่างเฉิงเท่าไหร่ รบกวนพาพวกเราเดินชมเมืองหน่อยนะครับ”
เฟิงเยี่ยหานเองก็ไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าเห็นด้วย
เห็นทั้งสองคนตอบตกลง พานลี่ฮวายกยิ้มกว้าง
“พวกเราทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ควรไปด้วยกันสิจ๊ะ” พานลี่ฮวาดึงสองสามคนนั้นเข้ามาร่วมวงสนทนาก่อนจะถามว่าพวกเขาชอบทานอะไร และเริ่มสั่งให้ในครัวเตรียมอาหาร
ทว่าในตอนนี้ผู้เฒ่าเฮ่อและคุณนายเฮ่อค่อนข้างกังวลเรื่องของเฮ่อหลานมาก
“ซวงเอ๋อร์ แม่กับน้องชายและน้องสาวกลับบ้านหรือยัง? มีใครคอยดูแลหลังคลอดหรือเปล่า?”
ถังซวงยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับ “คุณตากับคุณยายไม่ต้องห่วงนะคะ มีคนที่บ้านดูแลแม่กับน้องสองคนอย่างดี อีกอย่างน้องก็ร่าเริง เลี้ยงง่ายค่ะ” ถึงแม้ว่าฟักทองน้อยและฟักขาวน้อยจะนอนหลับตลอดเวลา แต่หากเทียบกับเด็กทารกแรกเกิดคนอื่น ๆ พวกเขาค่อนข้างจะร่าเริงมาก
อาวุโสทั้งสองยกยิ้มอย่างผ่อนคลายเมื่อได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้น
“ดีแล้วละ ว่าแต่น้องชายกับน้องสาวของหลานมีแค่ชื่อเล่นหรือจ๊ะ? พวกเขายังไม่มีชื่อจริงหรือ?”
“ค่ะ เรายังไม่ได้ตัดสินใจ เท่าที่รู้นะคะ ไม่รู้ว่าหลังจากกลับไปแล้วพวกเขาจะมีชื่อจริงหรือยัง”
หญิงชรายกยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “เอาละ ๆ เดี๋ยวพวกเราจะกลับไปพร้อมกับพวกเธอด้วย จะได้ไปเลี้ยงฉลองครบหนึ่งเดือนให้กับเด็กสองคนนั้นไง”
ถังซวงเองก็มีความสุข ที่ทุกคนจะไปเยี่ยมน้อง ๆ
“งั้นรอบนี้คุณตากับคุณยายจะต้องไปอยู่เมืองหลวงนาน ๆ หน่อยนะคะ”
หญิงชรายิ้มกว้าง “จ้ะ ๆ คราวนี้คนแก่สองคนจะไปอยู่ที่นั่นให้นานเลย เดี๋ยวให้จื่อกุยกับครอบครัวกลับมาก่อน”
พานลี่ฮวากล่าวอย่างขบขัน “คุณแม่คะ พวกเราก็จะอยู่เมืองหลวงนาน ๆ เหมือนกัน จะให้ฉันทิ้งพ่อแม่ไว้ที่นั่นไม่ได้หรอก”
หญิงชรามองพานลี่ฮวาก่อนจะพูดว่า “คิดว่าฉันไม่รู้หรือ ตั้งแต่เธอกับซวงเอ๋อร์เปิดบริษัท จื่อกุยกับเจียรุ่ยแทบจะไม่ได้เห็นหน้า ถ้าไม่ใช่ว่าซวงเอ๋อร์มาที่นี่ เธอคงจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แน่นอน เธอคนเดียวเลยที่ยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาจะเข้าเมืองหลวง”
เฮ่อจื่อกุยหันมองภรรยาของตน “ใช่แล้ว ตอนนี้คุณคงจะรอจะได้เข้าบริษัทไม่ไหวแล้วละมั้ง”
พานลี่ฮวารู้สึกอับอายเมื่อได้ยินพวกเขารุมหยอกล้อเธอ
เพราะเธอสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง เธอจึงภูมิใจในธุรกิจเครื่องสำอางนี้มาก และเธอก็มีหลายอย่างต้องจัดการด้วยตัวเอง คราวนี้ซวงเอ๋อร์มาเที่ยวในเมืองก่างเฉิงทั้งที เธอจึงตั้งใจว่าจะอยู่กับซวงเอ๋อร์ก่อน
ซวงเอ๋อร์ยิ้มกว้าง “ที่คุณป้าต้องยุ่งยากอย่างนี้ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองค่ะ”
แต่พานลี่ฮวาจับมือถังซวงก่อนจะพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ เธอเก่งที่สุดเลยจ้ะ ที่ป้ายุ่งเพราะป้าสนุกกับมัน เธอไม่รู้ล่ะสิว่าตั้งแต่พวกเราก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ตอนนี้หลายคนกำลังอิจฉาป้ามากเลยละ”
ถังซวงเห็นรอยยิ้มมั่นใจของพานลี่ฮวา ก็ยิ้มกว้างก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณป้าชอบก็ดีแล้วละค่ะ”
“จ้ะ ฉันชอบมันมาก คราวนี้เธอมาเมืองก่างเฉิงก็ดีแล้ว ฉันจะพาเธอไปดูที่บริษัทว่าเป็นยังไงบ้าง เผื่อจะมีคำแนะนำให้กับพวกเราว่าควรปรับปรุงตรงไหน”
ถังซวงยิ้ม “ได้เลยค่ะ”
พานลี่ฮวาเองไม่ลืมที่จะพูดคุยกับเกอชิงเหม่ยเช่นกัน เธอลากเกอชิงเหม่ยไปคุยเรื่องเย็บปักถักร้อย “ชิงเหม่ย เธอรู้ไหมว่างานของเธอน่ะมีชื่อเสียงในเมืองก่างเฉิงมากเลยนะ มันเป็นงานที่มีเอกลักษณ์ การปักสองด้านนั่น ไม่ว่าใครก็ต้องรีบออกมาจับจอง”
“ถ้าคุณชอบ ฉันจะปักให้คุณสักชิ้นนะคะ”
ได้ยินอย่างนั้น แววตาของพานลี่ฮวาเปล่งประกายทันที “จริงหรือ งั้นฉันจะรอนะ”
เกอชิงเหม่ยยิ้ม “แน่นอนค่ะ แล้วคุณอยากได้แบบไหน เป็นพัดทรงกลม หรือแบบอื่น?”
พานลี่ฮวาตอบกลับทันที “ฉันอยากได้พัดทรงกลมจ้ะ”
“ถ้าเป็นพัดทรงกลม ไม่กี่วันก็เสร็จแล้วค่ะ”
พานลี่ฮวายิ้มกว้าง “ดีเลย อย่างนั้นฉันจะตั้งตารอนะ”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ผู้เฒ่าเฮ่อดึงโม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานมาร่วมพูดคุย ขณะมองชายหนุ่มหล่อเหลาทั้งสองคนตรงหน้า ใบหน้าของชายชราเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร พานลี่ฮวาเตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ เธอเชิญชวนถังซวงและคนอื่น ๆ มาร่วมทานอาหารอย่างอบอุ่น จากนั้นจึงพาพวกเขาไปที่ห้องพักของแขกเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อน
วันถัดมา พานลี่ฮวากำลังจะพาถังซวงและคนอื่น ๆ ออกไปเดินเล่นและซื้อของ แต่กลับพบกับใครบางคน
“ชิงเหม่ย คุณจะออกไปข้างนอกหรือครับ?”
เกอชิงเหม่ยหันไปตามต้นเสียง และพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง “ไม่คิดว่าวันนี้ฉันจะได้เจอคุณเลยนะคะ”