การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 462 ผ่านไปอีกหนึ่งปี
บทที่ 462 ผ่านไปอีกหนึ่งปี
บทที่ 462 ผ่านไปอีกหนึ่งปี
หลังจบงานเลี้ยงครบเดือนของฝาแฝด ซ่างสยงเยี่ยก็กลับเมืองก่างเฉิงพร้อมตระกูลเฮ่อทันที เพราะยังไงนี่ก็กำลังจะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ในไม่ช้า พวกเขาจึงมีธุระมากมายต้องไปจัดการ
เฟิงเยี่ยหานเองก็กลับไปพร้อมกัน
และหลังจากทุกคนกลับออกไปแล้ว บ้านตระกูลจิงกลับกลายเป็นเงียบสงบเช่นเดิม
ถังซวงมองถังเซวี่ยที่ห่อเหี่ยวก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย ไปเดินซื้อของกันไหม”
ถังเซวี่ยส่ายศีรษะก่อนจะตอบกลับว่า “ไม่ค่ะ ฉันจะอ่านหนังสือน่ะค่ะ”
เธอรู้ว่าตัวเองต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เร็วขึ้นกว่านี้ เธอยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่เฟิงเยี่ยหานกำลังดูแลธุรกิจครอบครัวและเป็นผู้นำตระกูลเฟิง ระยะห่างของพวกเรามันไกลเกินไป เธอต้องการรีบเรียนให้จบและทำงานเหมือนกับพี่ เพื่อจะลดช่องว่างนั้น
ถังซวงได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“งั้นไปอ่านหนังสือเถอะ”
หลังจากถังเซวี่ยกลับไปที่ห้องของตัวเอง ถังซวงเริ่มทำงานด้วย ช่วงนี้เธอกำลังพัฒนายาใหม่สองชนิด ถ้ามันสมบูรณ์เร็วเท่าไหร่ก็จะทันเวลามอบให้กับเจียงหงเหลียงในปีใหม่นี้ทัน
สำหรับถังชุนหยาน เธอเองก็อยู่ที่บ้านทุกวัน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ หรือทำเครื่องสำอาง ชีวิตของเธอกำลังยุ่ง จนไม่มีเวลาให้คิดเรื่องอื่น
และอีกคนที่ยุ่งมากไม่ต่างกันก็คือเฮ่อหลาน นอกจากการดูแลลูกทั้งสองคนแล้ว เธอกับเกอชิงเหม่ยยังต้องสะสางงานในโรงเย็บปักของตนเองด้วย เพราะพวกเธอวางแผนว่าจะเปิดโรงงานในปีหน้า จึงต้องเร่งมือ
“อาหลาน วันนี้อยากออกไปข้างนอกกับพี่สาวไหมครับ?”
จิงเจ้อหรงถามขึ้น เฮ่อหลานพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “ค่ะ เดี๋ยวเราจะไปที่โรงงานเย็บปักกัน คุณไม่ต้องห่วงนะคะเดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา ฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะ”
จิงเจ้อหรงเองก็โล่งอกเมื่อทราบว่าลูก ๆ ไปอยู่กับผู้อาวุโสจิง เขาจึงจะออกไปส่งเฮ่อหลานกับเกอชิงเหม่ยที่โรงงานเย็บปักด้วยตัวเอง
คุณนายจิงที่รู้ว่าลูกชายคนเล็กกับลูกสะใภ้ออกไปหมดแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นว่า “ช่วงนี้พวกเขางานยุ่งมากจริง ๆ เลยนะ” เธอหันมองฟักขาวน้อยในมือก่อนจะกล่าวหยอกล้อกับเด็กน้อย “โอ๋… สุดที่รักของย่า พ่อแม่ของหลานกำลังยุ่งมาก แต่ไม่เป็นไรนะ หลานมาอยู่กับย่าได้เสมอ เดี๋ยวย่าจะขุนให้อ้วนเลย”
เวลานี้ถังซวงกำลังกลั่นยา และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว แววตาของเธอเต็มไปด้วยความยินดี “อ่า เสร็จสักที”
ในวันรุ่งขึ้น ถังซวงออกจากบ้านแต่เช้าและตรงไปหาเจียงหงเหลียง
เจียงหงเหลียงที่เห็นว่าถังซวงมาหาก็เบิกบานใจ
“สหายถังซวง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ นั่งลงก่อนสิ”
ถังซวงตามเจียงหงเหลียงเข้าไปด้านใน หลังจากที่นั่งลง เธอกล่าวเข้าประเด็นทันที “รองเจียง ฉันเพิ่งพัฒนายาตัวใหม่เพิ่มสองขวด วันนี้เลยเอามาให้คุณค่ะ”
เจียงหงเหลียงได้ยินสิ่งที่ถังซวงพูดก็ตื่นเต้นทันที “จริงหรือ สุดยอดเลย ฉันกำลังคิดพอดีว่าเมื่อไหร่คุณจะพัฒนายาตัวใหม่”
ถังซวงยิ้มก่อนจะพูดว่า “ก็เพิ่งทำเสร็จนี่แหละค่ะ”
เจียงหงเหลียงพยักหน้าด้วยความดีใจก่อนจะถามออกไปว่า “แต่… สหายถังซวง ยาสองตัวนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่เหมือนกับยาก่อนหน้านี้เลย มันใช้ยังไง แล้วออกฤทธิ์ยังไงหรือ?”
“อ้อ ยาสองขวดนี้แตกต่างจากยาก่อนหน้านี้ค่ะ เพราะ… มันไม่ได้มีไว้ช่วยชีวิตคน แต่มีไว้ทำร้าย”
“อ๊ะ…”
เจียงหงเหลียงผงะไปครู่ก่อนจะกล่าวอุทาน “ทำร้ายหรือครับ?”
“ใช่ค่ะ”
ถังซวงอธิบายวิธีการใช้ยาทั้งสองด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดว่า “รองเจียง หนึ่งในยาชนิดนี้จะทำให้ผู้คนหมดสติได้โดยตรง และทำให้ผู้คนสูญเสียการควบคุมร่างกาย ดังนั้นควรศึกษามันให้ดีก่อนจะใช้นะคะ”
ได้ยินคำพูดของถังซวงแล้ว เจียงหงเหลียงนึกบางอย่างออกทันที เขารีบถามถังซวงด้วยความประหลาดใจ “สหายถังซวง ยาสองตัวนี้สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ไหม?”
“ค่ะ มันจะมีประโยชน์มากถ้าหากทำให้ศัตรูใกล้เคียงหมดสติได้”
“โอ้ งั้นดีเลย”
เจียงหงเหลียงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี หากยานี่ใช้งานได้ดี ผลลัพธ์ของมันจะยอดเยี่ยมและน่าประทับใจแน่นอน
หลังจากถังซวงอธิบายทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เธอจึงขอตัวกลับก่อน “รองเจียง ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หลังจากถังซวงจากไปแล้ว เจียงหงเหลียงเดินออกไปข้างนอกเช่นกัน และหยิบยาสองขวดออกไปด้วยเพื่อศึกษามัน
ส่วนถังซวงที่ส่งมอบยาแล้ว ก็รู้สึกสบายใจมาก หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เห็นว่าโม่เจ๋อหยวนมาพบตัวเอง “ซวงเอ๋อร์ ทำอะไรอยู่?”
ถังซวงยกยิ้มกว้างก่อนจะถามว่า “เรียบร้อยแล้วหรือคะ?”
“อื้ม เรียบร้อยแล้วละ นี่ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว ฉันเลยรีบมาน่ะ” โม่เจ๋อหยวนถูกเรียกตัวไปหลังจากจบงานเลี้ยงครบเดือนของน้องทั้งสองคน และไม่ได้มาหาถังซวงเลยจนกระทั่งวันนี้
“ใช่ค่ะ นี่ก็จะถึงปีใหม่อยู่แล้ว วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ปีแล้วปีเล่า ผ่านไปรวดเร็วเสียจริง
โม่เจ๋อหยวนเองก็รู้สึกอย่างนั้นด้วยเช่นกัน เขาเดินไปยืนข้างกับถังซวงและพูดคุยกันถึงตอนที่ได้พบกันครั้งแรก
วันเวลาผ่านไป ปีแล้วปีเล่าที่พ้นผ่าน ครู่เดียวปีใหม่ก็มาถึง
เฮ่อหลานและเกอชิงเหม่ยเตรียมการทุกอย่างเกือบจะพร้อมหมดแล้ว เวลานี้พวกเธอจึงไม่ค่อยยุ่งมากเท่าไหร่เลยได้หยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านเพื่อใช้เวลากับลูกน้อยทั้งสอง
“ฟักทองน้อย ฟักขาวน้อย แม่คิดถึงหนูสองคนจังเลย”
แม้ว่าจะได้เจอกันทุกวันก็จริง แต่เพราะเธอยุ่งอยู่กับงานเย็บปัก เฮ่อหลานจึงไม่มีเวลาดูแลเด็กน้อยทั้งสองเลย แต่ตอนนี้เธอก็มีเวลาที่จะได้กอดพวกเขาอย่างเต็มที่แล้ว
เกอชิงเหม่ยเองก็มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นเช่นกัน เธออยู่กับซูเหนียนอวิ๋นและหลี่จงอี้ บางครั้งก็แวะมาเยี่ยมเด็กน้อยทั้งสองบ้าง แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือซ่างสยงเยี่ยมาหาเธออีกครั้ง
“ชิงเหม่ย ผมมาหาคุณครับ”
ซ่างสยงเยี่ยที่ดูเหนื่อยล้าตรงหน้า ทำให้เกอชิงเหม่ยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “คุณมาเร็วเกินไปหรือเปล่าคะ จัดการเรื่องในเมืองก่างเฉิงเสร็จแล้วหรือ?” เธอคิดว่าซ่างสยงเยี่ยน่าจะมาที่เมืองหลวงหลังจากพ้นวันที่ยี่สิบแปดไปซะอีก
“ยังหรอกครับ”
ซ่างสยงเยี่ยส่ายศีรษะ ก่อนจะหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งออกมา “เรื่องพวกนั้นผมสามารถจัดการที่นี่ได้ครับ นี่ไง ผมเอาเอกสารพวกนี้ติดตัวมาด้วย”
เกอชิงเหม่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงหลังเห็นเอกสารในมือของซ่างสยงเยี่ย
หลังจากซ่างสยงเยี่ยมาถึง เฟิงเยี่ยหานเองก็มาถึงเมืองหลวงเพื่อใช้เวลาส่งท้ายปีเก่าที่นี่
ถังเซวี่ยมองเฟิงเยี่ยหานก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาด้วยความขุ่นเคือง “เฟิงเยี่ยหาน ถ้าคุณมาช้ากว่านี้ คุณจะไม่ทันมื้ออาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้วนะ”
เฟิงเยี่ยหานรีบก้าวเข้าหาเธอเพื่อกล่าวขอโทษ “เสี่ยวเซวี่ย ผมผิดเองที่มาสายครับ”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิด ถังเซวี่ยเลยไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่พาเขาเข้าไปด้านใน “ทุกคนมาถึงแล้วค่ะ มีแต่คุณที่มาช้า โชคดีที่คุณมาทันเวลา เราเลยยังไม่ได้เริ่มรับประทานอาหารกัน”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในฝ่ามือ เฟิงเยี่ยหานฉีกยิ้มกว้าง
เวลานี้ทุกคนในตระกูลจิงอยู่ที่นี่แล้ว หลี่จงอี้เองก็ด้วย ทุกคนนั่งเรียงรายพร้อมหน้าพร้อมตา เหลือเขาคนเดียวจริง ๆ ด้วย
“เสี่ยวเยี่ย รีบนั่งลงก่อนสิจ๊ะ”
คุณนายจิงโบกมือให้เฟิงเยี่ยหาน หลังจากทุกคนนั่งลง มื้ออาหารวันส่งท้ายปีเก่าจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา