การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 465 ขอร้อง
บทที่ 465 ขอร้อง
บทที่ 465 ขอร้อง
ถังเซวี่ยมองเฟิงเยี่ยหานด้วยสายตาสั่นไหวก่อนจะเขย่งเท้าแล้วลูบหัวของเขาเบา ๆ
“เฟิงเยี่ยหาน ถ้าอย่างนั้นในอนาคตฉันจะใจดีกับคุณเอง และครอบครัวของฉันก็จะใจดีกับคุณด้วย”
เฟิงเยี่ยหานสัมผัสถึงความอบอุ่นผ่านศีรษะของตน ก็กอดถังเซวี่ยเอาไว้แน่น
“เสี่ยวเซวี่ย… ขอบคุณ”
การได้พบกับถังเซวี่ยเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ไม่มีใครเลยที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจและช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน มีแต่ถังเซวี่ยคนเดียวเท่านั้น
หัวของถังเซวี่ยที่ซุกอยู่ที่หน้าอกเฟิงเยี่ยหาน ได้ยินหัวใจที่เต้นเร็วและบ้าคลั่งของอีกฝ่าย เธอจึงเลิกดิ้นและดื่มด่ำไปกับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเขาเอาไว้ เวลานี้เฟิงเยี่ยหานยังคงไม่ยอมปล่อยเธอจนถังเซวี่ยต้องผลักเขาเบา ๆ “เฟิงเยี่ยหาน ดึกมากแล้ว ฉันง่วงนอนแล้วละ”
เฟิงเยี่ยหานจำต้องปล่อยถังเซวี่ยอย่างไม่เต็มใจก่อนจะลูบศีรษะหญิงสาวแล้วพูดแก้เขิน “อ้อ อย่างนั้นรีบไปนอนเถอะครับ”
“อื้อ คุณก็รีบกลับไปพักผ่อนด้วยล่ะ”
พูดจบ ถังเซวี่ยก็เดินกลับเข้าห้องทันที
หลังส่งถังเซวี่ยเสร็จแล้ว เฟิงเยี่ยหานจึงกลับไปที่ลานของตัวเอง
โม่เจ๋อหยวนเห็นเฟิงเยี่ยหานเดินกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็เลิกคิ้วสงสัย “ดูมีความสุขไม่เบาเลยนะ ให้ผมเดา ดูเหมือนว่าพี่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเสี่ยวเซวี่ยแล้วใช่ไหม”
เฟิงเยี่ยหานไม่ปิดบัง ตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เสี่ยวเซวี่ยพูดแล้วว่าเธอก็ชอบฉันเหมือนกัน” หลังจากกล่าวจบ เฟิงเยี่ยหานอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มแล้วหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง มันเต็มไปด้วยความผ่อนคลายและมีความสุข
เห็นว่าเฟิงเยี่ยหานมีความสุขขนาดนี้ โม่เจ๋อหยวนก็หัวเราะ
“ในที่สุดพี่ก็สมปรารถนาสักทีนะ แต่ว่า…” สายตาของโม่เจ๋อหยวนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ถ้าพี่กล้าทำให้เสี่ยวเซวี่ยเสียใจอย่ามาโทษว่าพวกเราใจร้ายล่ะ”
เฟิงเยี่ยหานหุบยิ้มฉับพลันก่อนจะเหลือบมองโม่เจ๋อหยวน “ฉันจะทำร้ายเสี่ยวเซวี่ยไปทำไม ฉันจะดีกับเธอให้มากที่สุดอยู่แล้ว”
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดี”
โม่เจ๋อหยวนตบไหล่เฟิงเยี่ยหาน หน้าของเขาดูผ่อนคลายลง “เสี่ยวเซวี่ยเป็นน้องสาวของผมกับซวงเอ๋อร์ แน่นอนว่าผมไม่อยากเห็นเธอเสียใจ ผมก็แค่มาบอกให้พี่รู้เอาไว้เท่านั้น” ยังไงเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเฟิงเยี่ยหานที่มีต่อถังเซวี่ย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน
หลังจากทั้งสองเดินกลับไปด้วยกัน ก็ไปอาบน้ำก่อนจะเข้านอน
วันรุ่งขึ้นคือวันแรกของปีใหม่
ถังซวงตื่นแต่เช้าเช่นเคย แม้ว่าเธอจะนอนได้ไม่เยอะ แต่เธอก็ยังตื่นเช้าและไปออกกำลังกายเช่นทุกวัน
หลังจากนั้นไม่นานถังเซวี่ยเดินเข้ามา
“พี่คะ…”
เห็นถังซวงอยู่ตรงนั้น ถังเซวี่ยวิ่งเข้าไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะบอกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเฟิงเยี่ยหาน “พี่คะ เรา… มีความคิดตรงกัน เราเลยตกลงว่าจะคบกันค่ะ”
ถังซวงไม่แปลกใจที่ได้ยินน้องสาวพูดออกมาอย่างนั้น เธอรู้เรื่องของเฟิงเยี่ยหานกับถังเซวี่ยดี
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจ
ขณะที่สองพี่น้องกำลังพูดคุย โม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานเดินออกมาพร้อมกัน ถังซวงมองเฟิงเยี่ยหานด้วยแววตาเยือกเย็นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน ก่อนที่ถังซวงจะหันมองเฟิงเยี่ยหานแล้วพูดว่า “เราอบอุ่นร่างกายกันมากพอแล้ว มาลองซ้อมกันหน่อยดีกว่าสหายเฟิง”
เฟิงเยี่ยหานผงะเมื่อได้ยินถังซวงกล่าว แต่ก็ไม่ปฏิเสธก่อนจะเริ่มสู้กับถังซวง
ยิ่งเริ่มต่อสู้ไปเรื่อย ๆ เฟิงเยี่ยหานยิ่งจริงจังมากขึ้น และในตอนนี้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
แม้จะรู้มานานแล้วว่าถังซวงฝีมือไม่ธรรมดา แต่ไม่สามารถคาดเดาความสามารถของเธอได้ หลังจากเริ่มการต่อสู้จริง ๆ เขารู้ทันทีว่าตนประเมินถังซวงต่ำเกินไปมาก เพราะเธอคนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าจะรับมือ
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถังซวงไม่ยอมเปิดโอกาสให้เฟิงเยี่ยหานแม้แต่น้อยและพยายามเอาชนะเขาอย่างหนัก ก่อนส่งเฟิงเยี่ยหานลอยลิ่วออกไปด้วยฝ่ามือของตัวเอง
“เฟิงเยี่ยหาน…”
เห็นเฟิงเยี่ยหานกระเด็นออกไป ถังเซวี่ยก็อุทานออกมาด้วยความเป็นห่วง
ถังซวงเหลือบมองถังเซวี่ยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง เฟิงเยี่ยหานไม่เป็นอะไร”
ถังเซวี่ยถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ยังถามออกไปด้วยความสงสัย “พี่คะ ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
มันก็แค่การออกกำลังกายตอนเช้า แต่ถังเซวี่ยรู้สึกว่าพี่สาวของเธอกับเฟิงเยี่ยหานต่อสู้กันอย่างจริงจัง จนเธอหายใจไม่ทั่วท้อง
ถังซวงได้ยินอย่างนั้น ก็ยกยิ้มตอบกลับ “ต่อให้เป็นการออกกำลังกาย แต่เราก็ต้องจริงจังนะ”
เฟิงเยี่ยหานลุกยืนอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ “เสี่ยวเซวี่ยไม่ต้องห่วงครับ พี่สาวแค่ต้องการต่อสู้กับผม”
คราวแรกเขาคิดว่าถังซวงแค่ต้องการต่อสู้กับเขา แต่กลายเป็นเขาเองที่ไร้เดียงสา ถังซวงยังไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมดกับเขาเลยด้วยซ้ำ แต่สามารถสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาอย่างปวดร้าว เวลานี้เขาเจ็บปวดไปทั่วร่างจริง ๆ
แต่ชายหนุ่มไม่พูดเรื่องนี้ออกไป
ส่วนถังซวงที่ได้ยินเฟิงเยี่ยหานเรียกตนว่าพี่สาว เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดโปนขึ้นมาอีกครั้ง
“สหายเฟิงเยี่ยหาน ฉันอายุน้อยกว่าคุณ และฉันไม่ใช่พี่สาวของคุณด้วย”
โม่เจ๋อหยวนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ และหันไปมองเฟิงเยี่ยหานก่อนจะกล่าวว่า “งั้นอย่างนี้ในอนาคตพี่จะเรียกผมว่าพี่เขยด้วยหรือเปล่า?”
“พี่เขย”
เฟิงเยี่ยหานไม่ลังเล พูดออกไปทันที
“ฮ่าฮ่า…”
โม่เจ๋อหยวนหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าเฟิงเยี่ยหานจะเรียกเขาแบบนั้นจริง ๆ
แต่ถังซวงเหลือบมองโม่เจ๋อหยวนอย่างเย็นชา “ทำไมถึงหัวเราะขนาดนั้นล่ะ? อีกอย่างถึงเขาจะเรียกฉันว่าพี่สาว แต่พี่ก็ยังไม่ใช่พี่เขยของเขาเลยด้วยซ้ำ”
“ก็ได้ ๆ ซวงเอ๋อร์ เราจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
โม่เจ๋อหยวนหุบปากทันที
ถังเซวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกเขินอาย เธอไม่คิดเลยว่าเฟิงเยี่ยหานจะคิดเองเออเองอย่างนี้ เธอลอบเหลือบมองเฟิงเยี่ยหานเล็กน้อย
ทันทีที่ทุกคนเงียบลง จิงเหวินหยวนและจิงเหวินรุ่ยก็เดินเข้ามา เห็นว่าถังซวงและคนอื่น ๆ โชกไปด้วยเหงื่อ “ซวงเอ๋อร์ พวกเธอถึงกับออกกำลังกายแต่เช้าตรู่ของวันปีใหม่เลยหรือ ขยันกันจริง ๆ”
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกพี่เกียจคร้านเกินไปแล้วนะ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปใบหน้าจะกลมเอาได้นะคะ”
จิงเหวินหยวนและจิงเหวินรุ่ยรีบจับหน้าของตัวเองทันที หลังจากได้สติ ก็ชักมือออก “ซวงเอ๋อร์ คุณย่าบอกให้พวกเรามาเรียกเธอไปกินข้าวเช้าน่ะ รีบไปได้แล้ว” พูดจบ พวกเขารีบวิ่งหนีไปทันที เพราะถ้าหากยังยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปอาจถูกถังซวงคว้าตัวไปออกกำลังกายด้วยกันก็ได้
“อื้ม งั้นกลับไปอาบน้ำแล้วไปทานมื้อเช้ากันเถอะ”
หลังจากพวกเขาทั้งหมดเก็บข้าวของ และจัดการตัวเอง ทุกคนก็มาที่ห้องอาหารทีละคน คุณนายจิงเชิญทุกคนนั่งลงเพื่อรับประทานมื้อเช้า หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ให้พวกเขาเตรียมตัวต้อนรับญาติ ๆ และเพื่อนฝูงที่จะมาเยี่ยมในช่วงวันปีใหม่นี้
หลังจากครอบครัวที่หนึ่ง และครอบครัวที่สองจากไป เฟิงเยี่ยหานลุกขึ้นเดินไปหาจิงเจ้อหรงและเฮ่อหลาน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมทั้งน้ำเสียงยังจริงจัง “คุณลุง คุณป้า ผมรู้ดีว่าตัวผมเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมาย แต่ผมชอบเสี่ยวเซวี่ยมากครับ และหวังว่าพวกคุณทั้งสองจะยินยอมให้พวกเราคบหากัน”