การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 475 การคาดเดาของติงไหลตี้
บทที่ 475 การคาดเดาของติงไหลตี้
บทที่ 475 การคาดเดาของติงไหลตี้
หลังได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้น ทุกคนถึงรู้ตัวว่าชั้นเรียนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว จึงกลับไปนั่งที่ของตน
แม้ต้วนเฟิ่งหยิงที่นั่งอยู่ข้างถังซวงจะไม่ได้พูดอะไรนัก แต่เธอก็หันมองถังซวงด้วยความชื่นชม ทำถังซวงรู้สึกเขินไปเล็กน้อย
“เพื่อนร่วมชั้นต้วนเฟิ่งหยิง เลิกมองฉันแบบนั้นเถอะ มันเหมือนเธอกำลังจ้องมองรูขุมขนบนหน้าฉันอยู่เลย”
“โอ้… ฉันไม่มองแล้ว ๆ”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ต้วนเฟิ่งหยิงยังไม่หันหน้ากลับไป
ถังอวี้สือและเหวินเจ๋อหลิ่วที่นั่งอยู่ด้านหน้าถังซวงหันหน้ากลับมาหาถังซวงพร้อมยกยิ้ม “ถังซวง เธอเก่งจัง สามารถพัฒนายาของตัวเองได้ พวกเราเทียบเธอไม่ได้เลย”
ใบหน้าของเหวินเจ๋อหลิ่วเผยความขุ่นเคืองออกมา
“อวี้สือ คุณก็เก่งไม่แพ้กัน ทุกคนยังไม่รู้ว่าตอนคุณอายุสิบห้าปี…”
ก่อนเหวินเจ๋อหลิ่วจะพูดจบ ถังอวี้สือกลับหันมองเธอด้วยแววตาตำหนิ
เหวินเจ๋อหลิ่วหุบปากทันที
ถังซวงได้ยินอย่างนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าถังอวี้สือจะประสบความสำเร็จบางอย่างตอนอายุสิบห้าปีเองนะ อย่างนั้นเธอก็เก่งกว่าฉันแล้วละ”
ถังอวี้สือส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มก่อนจะตอบกลับว่า “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ทำเม็ดยาและได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวด้วย ส่วนยานั่นมีใบสั่งยาไว้อยู่แล้ว มันเทียบไม่ได้กับยาที่เธอพัฒนาขึ้นเองหรอก”
เหวินเจ๋อหลิ่วรู้สึกสับสนในใจ
อย่างที่ทราบ ยาอายุวัฒนะคือสิ่งที่ทำยากที่สุด ในตระกูลถัง บุคคลที่สามารถปรับแต่งยานี้นับมือเดียวก็หมด แต่ถังอวี้สือประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุสิบห้าปี เห็นชัดแล้วว่าเธอมีความสามารถ
ถังซวงเองก็สังเกตเห็นท่าทีของเหวินเจ๋อหลิ่ว แต่ก่อนเธอจะตอบกลับ ชั้นเรียนใหม่กลับเริ่มขึ้น และอาจารย์เดินเข้ามาในห้องแล้ว เธอจึงยืดตัวขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนคาบต่อไป
หลังจากชั้นเรียนนี้จบลง วันนี้ก็ไม่มีเรียนอะไรอีก ถังซวงจึงเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
ต้วนเฟิ่งหยิงเห็นว่าถังซวงหยิบหนังสือมามากมาย เลยถามขึ้นว่า “ถังซวง ให้ฉันเอาหนังสือกลับไปเก็บที่หอพักให้ไหม?”
ถังซวงส่ายศีรษะ “ไม่ละ ฉันจะเอาหนังสือพวกนี้กลับไปอ่านที่บ้านน่ะ”
“อื้ม งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
ถังซวงและต้วนเฟิ่งหยิงเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกัน ซึ่งเวลานี้โม่เจ๋อหยวนนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้แล้ว
“ถังซวง รีบไปเถอะ ฉันกลับหอพักก่อนนะ”
ต้วนเฟิ่งหยิงโบกมือให้ถังซวงก่อนจะเดินจากไป
โม่เจ๋อหยวนหยิบกระเป๋านักเรียนในมือของถังซวงไปถือ “ป่ะ เรากลับบ้านกันเถอะ”
ถังซวงยิ้มพร้อมพยักหน้า ทั้งสองออกจากมหาวิทยาลัยพร้อมกลับบ้านทันที
หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว นักเรียนก็เริ่มออกจากห้องเรียน บางคนไปที่โรงอาหาร บางคน
ไปที่หอพัก พวกเขาจับกลุ่มเดินสองสามคน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของถังซวงที่พัฒนายาต้านอักเสบชนิดพิเศษ
แม้แต่เหยาหงเองยังรู้สึกประทับใจ
“ถังซวงเก่งชะมัด ตอนแรกฉันคิดว่าเธอแค่สวยเฉย ๆ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เธอเป็นนักปรุงยาขั้นเซียนอีกด้วย”
“เธอ…”
ติงไหลตี้อ้าปากอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา พวกเธอเพิ่งเรียนรู้ทฤษฎีไปเอง แต่ถังซวงกลับสามารถพัฒนายาพิเศษ ช่องว่างระหว่างพวกเธอกับถังซวงมันมากเกินไปจริง ๆ
“เหยาหง เธอว่า… เป็นไปได้ไหมว่าถังซวงพัฒนายาต้านอักเสบพิเศษนั้นได้ เลยมีสิทธิ์ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชิงหวา?”
ได้ยินอย่างนั้น เหยาหงขมวดคิ้วสงสัย
“ทำไมพูดอย่างนั้น ยังไงทุกคนก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หลังพูดอย่างนั้น เหยาหงจะกลับไปที่หอพักก่อน เพราะไม่อยากจะพูดคุยกับติงไหลตี้อีกต่อไป ผู้หญิงคนนี้ใจแคบและขี้อิจฉา จะคบหาเป็นเพื่อนก็คงยากหน่อย แต่ในหอพักมีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่มาจากชนบท
ส่วนติงไหลตี้ถึงกับประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเหยาหงเดินออกไปอย่างนั้น
ยัยเหยาหงกล้าทิ้งเธอไว้และเดินกลับหอพักไปคนเดียว ยัยนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ภายใต้สีหน้านิ่ง
เฉยนั้นกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยินดีที่จะคบกับเหยาหง คนอื่น ๆ ในหอพักคงไม่มีใครอยากจะพูดคุยกับยัยนั่นหรอก ใครจะอยากคบหากับผู้หญิงแก่ที่สามารถแต่งงานและมีลูกได้แล้วกันล่ะ? พวกหล่อนเป็นหญิงสาวอยู่ แต่เหยาหงอายุยี่สิบหกปีแล้วนะนั่น
ผู้หญิงที่มาจากชนบทที่แต่งงานและมีลูกแล้วยังไม่ต้องการพูดคุยกับหล่อนเลย
ยิ่งติงไหลตี้ครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งโกรธและคิดในใจว่าจะไม่พูดคุยกับเหยาหงอีกต่อไป เธอมีเพื่อนร่วมชั้นมากมายในห้องเรียน ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องคบหากับเหยาหงอีก เมื่อนึกคิดได้อย่างนั้น เธอเดินเข้าไปหาเด็กหญิงในชั้นเรียนอีกคนก่อนจะพูดว่า “เล่อหยาฉง รอด้วย ฉันไปโรงอาหารด้วยคนสิ”
เด็กหญิงเล่อหยาฉงเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างสดใสและมีชีวิตชีวา เมื่อเห็นว่าติงไหลตี้เรียกตน เธอตอบรับอย่างร่าเริง “จ้ะ งั้นไปโรงอาหารกันเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง เมื่อถังซวงและโม่เจ๋อหยวนกลับมาถึงบ้าน เฮ่อหลานกล่าวทักทายทั้งสองก่อนจะเชิญชวนให้ทานมื้อเย็น
“พวกเธอกลับมาทันเวลาพอดี อาหารเย็นพร้อมแล้วจ้ะ” เธอชวนทั้งสองให้นั่งลง “เดี๋ยวแม่ไปเรียกเสี่ยวเซวี่ยกับชุนหยานก่อนนะ พวกเขากำลังช่วยดูแลฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยอยู่ เดี๋ยวให้ทั้งสองคนมากินข้าวก่อน”
ได้ยินอย่างนั้น ถังซวงยิ้มกว้าง “แม่คะ เดี๋ยวหนูไปเรียกพวกเขาเองค่ะ แม่กินข้าวก่อนเถอะ”
เวลานี้เฮ่อหลานคว้าตัวถังซวงเอาไว้ก่อนจะพูดว่า “พวกลูกแหละกินข้าวก่อน ลูกต้องหิวมาก
แน่ ๆ เรียนมาทั้งวันอย่างนี้” จากนั้นเฮ่อหลานเดินไปหาเด็กน้อยทั้งสองคนแทน
เห็นสีหน้าของถังซวงแล้ว โม่เจ๋อหยวนก็รู้ทันทีว่าเธอต้องการไปหาเด็กทารกทั้งสอง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จก็ค่อยไปหาฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยก็ได้”
“อืม”
นับตั้งแต่เข้าเรียน ถังซวงได้พบกับน้อง ๆ น้อยมาก ไปเรียนในช่วงกลางวัน และกลับมามืดค่ำ ทั้งสองคนก็หลับไปแล้ว
หลังจากถังเซวี่ยและถังชุนหยานมาถึง ผู้เฒ่าจิงและคุณนายจิงก็มาแล้วเช่นกัน
“เอาละ กินข้าวกันเถอะ อาเจ้อมีงานต้องทำ เขาคงกลับมาไม่ทันมื้อเย็นวันนี้”
หลังจากถังซวงกินข้าวเสร็จแล้ว เธอกับโม่เจ๋อหยวนไปหาฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยด้วยกัน
ก่อนจะเร่งเร้าให้แม่ของตนไปกินข้าว “แม่คะ รีบไปกินข้าวเถอะ พวกเราจะดูน้องให้เองค่ะ”
“จ้ะ ๆ”
เฮ่อหลานยิ้มและพยักหน้า
พอเห็นทารกทั้งสองหลับสนิท ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อย
“ฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยน่ารักจังเลย”
โม่เจ๋อหยวนพยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม พวกเขาน่ารักมาก”
ก่อนจะเร่งเร้าให้แม่ของตนไปกินข้าว “แม่คะ รีบไปกินข้าวเถอะ พวกเราจะดูน้องให้เองค่ะ”
“จ้ะ ๆ”
เฮ่อหลานยิ้มและพยักหน้า
พอเห็นทารกทั้งสองหลับสนิท ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อย
“ฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยน่ารักจังเลย”
โม่เจ๋อหยวนพยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม พวกเขาน่ารักมาก”
เพราะเฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงต่างก็หน้าตาดี เด็กทั้งสองจึงสืบทอดพันธุกรรมที่ยอดเยี่ยมมาด้วย น่ารักมากจริง ๆ
ทั้งสองจ้องมองเด็กน้อยอยู่สักครู่ ก่อนจิงเจ้อหรงจะเดินเข้ามา
“พ่อไม่ได้ทำงานหรือคะ”
ได้ยินอย่างนั้น จิงเจ้อหรงเพียงยกยิ้ม “พ่อทำงานล่วงเวลาอยู่น่ะ แต่ก็ใกล้จะเสร็จแล้วละ” ขณะพูดอย่างนั้นเขาเดินมาหยุดยืนข้างเด็กน้อยทั้งสองแล้ว ยกยิ้มมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
0
“พ่อยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม พวกเราดูน้องให้เองค่ะ ไปกินข้าวกับแม่เถอะค่ะ”
จิงเจ้อหรงเหลือบมองเด็กน้อยทั้งสองสักครู่หนึ่งก่อนจะลุกเดินไปยังห้องอาหาร หลังจากเลิก
งานแล้วเขาตรงมาหาลูกน้อยสองคนก่อน ยังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ นั่นแหละ