การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 476 นินทา
บทที่ 476 นินทา
บทที่ 476 นินทา
จิงเจ้อหรงและเฮ่อหลานรีบกินข้าวอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกัน
“ซวงเอ๋อร์ เจ๋อหยวน พรุ่งนี้ลูกสองคนต้องไปมหาวิทยาลัย รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ”
“ค่ะ”
ถังซวงยิ้มและพยักหน้า เดินออกจากลานของพ่อกับแม่พร้อมโม่เจ๋อหยวน แต่เพราะวันนี้โม่เจ๋อหยวนเองมีงานต้องทำ เขาจึงต้องรีบกลับบ้าน “ซวงเอ๋อร์ เดี๋ยวฉันกลับบ้านก่อนนะพอดีมีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับเหมือนเดิม พอดีมีอาจารย์อยากให้ฉันเข้าร่วมโครงการ อาทิตย์หน้าอาจจะยุ่งสักหน่อย”
ได้ยินอย่างนั้น ถังซวงตอบกลับโดยตรงว่า “ไปจัดการเรื่องของตัวเองเถอะค่ะ ฉันเองก็กำลังจะยุ่งเหมือนกัน พอดีวางแผนว่าจะพัฒนายากับเครื่องสำอางตัวใหม่น่ะ”
ได้ยินอย่างนั้น โม่เจ๋อหยวนชะงักไป
“งั้นเธอคงจะยุ่งกว่าฉันแล้วล่ะ”
วันรุ่งขึ้น ถังซวงและถังเซวี่ยออกไปเรียนด้วยกัน ถังซวงไปมหาวิทยาลัย ส่วนถังเซวี่ยไปโรงเรียน
ถังซวงไม่ได้เข้าไปที่หอพัก แต่ตรงไปที่ชั้นเรียนแทน
เมื่อต้วนเฟิ่งหยิงเห็นถังซวงก็ทักทาย และเห็นว่าเธอนั่งอยู่แถวด้านหลังคนเดียว “ถังซวงทำไมถึงมาที่นี่ก่อนล่ะ นึกว่าเธอจะไปที่หอพักก่อนซะอีก”
ถังซวงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ฉันอาจจะยุ่งมากในอีกไม่กี่วันนี้ เลยอยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่าน่ะ วันนี้ฉันเอาหนังสือที่จำเป็นมาหมดแล้ว เลยไม่ต้องเข้าไปที่หอพัก”
ต้วนเฟิ่งหยิงได้ยินว่าถังซวงกำลังจะยุ่งในอีกไม่กี่วันนี้ ก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
“ช่วงนี้งานที่มหาวิทยาลัยไม่เห็นจะยุ่งเลยนี่ เธอมีอย่างอื่นต้องทำด้วยหรือ?”
ถังซวงพยักหน้า “ใช่ ฉันมีเรื่องต้องทำน่ะ”
เห็นว่าถังซวงไม่คิดอธิบายรายละเอียด ต้วนเฟิ่งหยิงจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
วันต่อ ๆ มา ถังซวงก็เริ่มยุ่งมากจริง ๆ นอกจากในชั้นเรียน เธอไม่เคยเข้ามาที่หอพักเลย แม้แต่ต้วนเฟิ่งหยิงยังได้พูดคุยกับถังซวงแค่เพียงเล็กน้อยก่อนเริ่มชั้นเรียนเท่านั้น
แต่สิ่งที่ถังซวงคิดไม่ถึงก็คือสิบวันต่อมา เธอมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทว่ากลับมีบางคนจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ บางคนถึงกับกระซิบกระซาบลับหลังของเธอ
แน่นอนว่าสายตาและใบหูของถังซวงเฉียบขาด ต่อให้คนเหล่านั้นพูดเบาแค่ไหนเธอก็ยังได้ยิน
“เห็นไหม นั่นแหละถังซวง ได้ยินว่าเธอไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่เข้ามาเพราะวิธีการอื่นน่ะ”
“อ๋อ… มหาวิทยาลัยของเรามีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เพิ่งจะผ่านไปเอง เธอจะเข้ามาโดยไม่สอบได้ยังไง?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอก”
พวกเขาคิดว่าถังซวงไม่ได้ยิน จึงพูดคุยกันอย่างออกรส “แล้วทำไมถังซวงถึงเลือกเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาล่ะ? อีกอย่างมหาวิทยาลัยชิงหวาคือมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ คนธรรมดาจะเข้ามาเรียนที่นี่ได้ยังไง”
“เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับยาต้านอักเสบชนิดพิเศษไหม ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนพัฒนามัน เลยได้เข้าเรียนที่สาขาเภสัชโดยตรงน่ะ”
“อะไรนะ… ยาต้านอักเสบพิเศษนั่นน่ะหรือ? นี่เธอเก่งขนาดนั้นเชียว?”
อีกคนพยักหน้ารับ “ใช่ เธอน่าจะเก่งเรื่องยามาก แต่ฉันได้ยินว่าเพราะเธอเรียนไม่เก่ง เลยไปเอาดีด้านเภสัชน่ะ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนินทา “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องนะ ถึงถังซวงจะเป็นคนพัฒนายาต้านอักเสบพิเศษพวกนั้น แต่ก็น่าจะมีคนช่วยเหลือเธอแน่นอน ใครจะรู้ล่ะว่าเธอพัฒนามันด้วยตัวเองจริงไหม”
“ใช่ เธอเด็กเกินไป ทำมันด้วยตัวเองไม่ได้หรอก”
หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคน สีหน้าของถังซวงเปลี่ยนเป็นเย็นชา
นอกจากสองคนนี้แล้ว คนอื่น ๆ รอบตัวเธอก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาคิดว่าเธอไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวา แต่เป็นเพราะยาต้านอักเสบที่เธอเคยพัฒนามาก่อนหน้านี้ต่างหากทำให้เธอได้รับสิทธิพิเศษ อีกทั้งในสายตาของคนเหล่านั้นยังมองว่าเธอไม่ได้พัฒนายานี้ด้วยตัวเอง เพราะมันได้ผลดีมากเกินไป
ถังซวงแทบจะหัวเราะออกมา ข่าวลือบ้าบอพวกนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?
“ถังซวง…”
ต้วนเฟิ่งหยิงเดินเข้ามา และเห็นว่ามีคนมากมายรอบตัวถังซวงกำลังพูดคุยกัน ต้วนเฟิ่งหยิงจึง
นึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา เธอรีบลากถังซวงไปที่ห้องเรียน “ถังซวง ฉันมีเรื่องจะบอก”
“ใคร ๆ ก็พูดว่าฉันได้คะแนนไม่ดี และไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาใช่ไหม?”
ต้วนเฟิ่งหยิงมองถังซวงด้วยความประหลาดใจ “อ้าว เธอรู้แล้วหรือ”
ต้วนเฟิ่งหยิงทำหน้าเป็นกังวล “ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกคนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง
นี้ พวกเขาพูดถึงยาต้านอักเสบชนิดพิเศษแล้วก็บอกว่าเธอไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะคะแนนของเธอไม่ดีเอามาก ๆ แต่เพราะยาต้านอักเสบ เธอเลยได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยชิงหวา”
“ข่าวลือพวกนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ช่วงนี้ถังซวงเองก็ยุ่งมาก จึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย และไม่รู้ว่าข่าวลือเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ดูจากวิธีการพูดคุยของคนรอบข้างในวันนี้แล้ว ข่าวลือคงจะเริ่มต้นเมื่อไม่นานมานี้แน่
ต้วนเฟิ่งหยิงยิ่งกังวล
“ถังซวง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เริ่มมากี่วันแล้ว ตอนที่ฉันรู้ทุกคนก็รู้กันหมดแล้ว ความจริง…
ฉันเพิ่งรู้เมื่อคืนนี้ด้วยซ้ำ” ต้วนเฟิ่งหยิงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าละอายใจ
ถังซวงยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ฉันนี่สิ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ”
เห็นว่าถังซวงไม่รีบร้อน ต้วนเฟิ่งหยิงจึงเอ่ยปากถาม “ถังซวง เธอได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ ใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ เธอคิดว่าฉันเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาได้เพราะยาต้านอักเสบหรือ? ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ในมหาวิทยาลัยคงรู้เรื่องนี้ไปแล้ว นี่อาจารย์หลายคนที่สอนพวกเรายังไม่รู้เลย ทั้งที่ไม่มีอาจารย์คนไหนไม่รู้จักฉันแท้ ๆ”
ได้ยินอย่างนั้น ต้วนเฟิ่งหยิงก็เข้าใจในทันที
“อื้ม… คนพวกนั้นพูดจาไร้สาระ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ แต่คน ๆ นั้นคิดจะเล่นงานเธอแน่ ๆ”
ถังซวงเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ชั้นเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว เธอจึงวางเรื่องทั้งหมดเอาไว้ก่อน
“เฟิ่งหยิง เราไปที่ห้องเรียนเถอะ ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันค่อยสืบหาทีหลัง”
“อื้ม ไปกันเถอะ”
หลังจากถังซวงและต้วนเฟิ่งหยิงมาถึงห้องเรียน นักศึกษาทุกคนต่างมองทั้งสองด้วยสายตาเหยียดหยามและเฉยเมย
ถังซวงเองเพิกเฉยต่อสายตาเหล่านั้น ก่อนจะเดินไปที่แถวสุดท้ายพร้อมกับต้วนเฟิ่งหยิง ก่อนจะเปิดหนังสือเพื่อเตรียมพร้อม
เพราะด้วยความเคยชิน ถังอวี้สือและเหวินเจ๋อหลิ่วก็ยังนั่งอยู่ด้านหน้าของถังซวงเช่นเดิม
เหวินเจ๋อหลิ่วที่เห็นสีหน้าไม่แยแสของถังซวงแล้ว อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง “ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปและถูกจับได้คาหนังคาเขา แต่ก็ยังแสร้งทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เฮอะ”