การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 519 ยาประจำตระกูล
ได้ยินผู้เฒ่าตระกูลพูดอย่างนั้น คนอื่นรีบพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “ใช่ จัดงานรื่นเริงสักหน่อยเถอะ ในที่สุดถังคุนหาวก็พบลูกสาวของเขาแล้ว นี่คือเหตุการณ์สำคัญของตระกูลเราเชียวนะ”
ผู้เฒ่าตระกูลพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันมองแม่เฒ่าถังแล้วพูดต่อว่า “น้องชาย น้องสาว เตรียมตัวให้พร้อม”
“ค่ะ”
แม่เฒ่าถังพยักหน้ารับทันที
จากนั้นเธอหันกลับมาคว้ามือของเฮ่อหลานแล้วพูดด้วยความตื่นเต้น “หลานต้องทุกข์ทรมานด้านนอกมานานหลายปี คราวแรกย่าคิดว่า…”
เธอหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านี้
ความจริงแล้ว ยกเว้นหัวเฟยเฟิ่ง ทุกคนคิดว่าเฮ่อหลานตายไปแล้ว พวกเขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง นี่คือเรื่องที่น่าประหลาดใจจริง ๆ
เฮ่อหลานได้ยินแม่เฒ่าถังพูดอย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “คุณย่าคะ นั่นเพราะว่าโชคชะตาของเรา แม้จะอยู่ต่างถิ่นต่างแดน แต่สุดท้ายเราก็กลับมาพบกัน เพราะคุณคือคุณย่าของฉันค่ะ”
แม่เฒ่าถังได้ยินอย่างนั้น ก็ยกยิ้มจนปากจะฉีกถึงใบหู
“ใช่แล้ว ทั้งหมดคือความจริง ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เธอคือส่วนหนึ่งของตระกูลถังและเราจะได้พบกันในที่สุด”
ถังซวงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างหันมองเฮ่อหลานอย่างประหลาดใจ เธอไม่คิดมาก่อนว่าแม่ที่สัตย์ซื่อของตัวเองจะสามารถกล่าวคำเหล่านี้ได้ แต่เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าถังและแม่เฒ่าถังยินดี ถังซวงจึงรู้สึกดีไปด้วย สุดท้ายแล้วการมาเยี่ยมตระกูลถังในคราวนี้ไม่ใช่เพียงให้ญาติของพวกเขายอมรับ แต่ความคับแค้นในการลอบทำร้ายแม่ยังไม่ได้ถูกชำระ การได้รับการยอมรับจากครอบครัวทั้งหมดจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
ถังหวยรุ่ยเห็นเฮ่อหลานพูดจาอย่างนั้น ถึงกับเหยียดยิ้มแล้วกล่าวว่า “น่าประทับใจเสียจริง ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะพยายามประจบประแจงคุณย่าสินะ”
ทว่าตอนนี้ไม่มีใครสนใจคำพูดของเธอเลย คนอื่น ๆ เดินตามผู้เฒ่าตระกูลออกไปแล้ว
ถังหวยรุ่ยเห็นสถานการณ์เป็นไปอย่างนั้นจึงทำได้เพียงสบถถ้อยคำเย็นชา “ฮึ่ม… ฉันจะคอยดูว่าเธอจะเย่อหยิ่งได้สักเท่าไหร่เชียว”
เห็นใบหน้าโกรธของลูกสาว หลานอี้ไป๋เหลือบมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “จะสร้างความอับอายอีกเท่าไหร่? มันใช่เวลาจะมาพูดอะไรแบบนี้ไหม”
ได้ยินแม่พูดอย่างนั้น ถังหวยรุ่ยหยุดปากทันที
เมื่อเปรียบเทียบกับพ่อ แม่ของเธอเข้มงวดมาก หล่อนไม่เคยยิ้มให้เธอสักครั้งตั้งแต่ยังเด็ก ทุกครั้งที่เธอทำผิด แม่จะลงโทษเธอหนักเป็นสองเท่า และจนกระทั่งตอนนี้เธอเองก็ยังหวาดกลัวแม่อยู่
“ค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว”
ได้ยินลูกสาวยอมเงียบปากลง หลานอี้ไป๋เพียงเหลือบมองก่อนจะเดินออกไป
ถังหวยรุ่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าหลานอี้ไป๋จากไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้สร้างความอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย เธอก็อดไม่ได้ที่จะนึกโกรธ ก่อนจะหันมองสามีอย่างขุ่นเคือง “แล้วคุณจะมายืนทำอะไรตรงนี้? ทำไมไม่รีบไปช่วยพ่อคุณล่ะ เห็นไหมว่าเขาอยู่กับคุณปู่กับคนอื่น ๆ ทำไมถึงคิดอะไรไม่ได้สักอย่าง?”
เนี่ยหลางมีสีหน้าบิดเบี้ยวเมื่อถูกภรรยาตะหวาด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรตอบโต้เพียงแค่กำหมัดแน่นอย่างอดทน
แววตาของถังหวยรุ่ยเต็มไปด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นว่าเนี่ยหลางไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร
“บอกให้รีบไป ทำไมยังมัวยืนอยู่อีก?” แม้สามีคนนี้จะเชื่อฟัง แต่เขาดูไม่เหมือนผู้ชายแม้แต่น้อย นิสัยซื่อบื้อของเขาทำเธอเบื่อหน่าย ไม่รู้ทำไมเธอถึงเลือกชายขี้แพ้และโง่เขลาเช่นนี้มาเป็นคู่ชีวิตได้
ถังอวี้สือเห็นว่าพ่อของตนเผยสีหน้าหดหู่ออกมา เธอจึงหันมองถังหวยรุ่ยแล้วพูดขึ้นว่า “แม่คะ ถึงอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ควรจะไปลงกับพ่อนะคะ หนูคิดว่าพ่อก็ทำถูกแล้วที่ไม่พูดจาเรื่อยเปื่อย”
ในตอนท้าย ถังหวยรุ่ยโบกมือก่อนจะพูดต่อว่า “พอแล้ว ๆ อวี้สือนี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงเรื่องของพ่อ เราควรจะมาคิดกันว่าควรทำอย่างไรต่อดีกว่า…” เดิมทีเธออยากจะพูด แต่นึกตระหนักได้ว่ามีคนอยู่รอบข้าง ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยเหมาะสมนักหากจะพูดในตอนนี้
“ค่ะแม่ หนูเข้าใจแล้ว งั้นเราไปคุยกันตรงนู้นเถอะ”
ถังอวี้สือเองก็กลัวว่าแม่ของเธอจะพูดอะไรออกมาตอนนี้ เธอรีบดึงแม่ออกไปทันที
เหวินเจ๋อหลิ่วติดตามถังอวี้สือไป และขณะกำลังจะเดินออกไป หล่อนมองย้อนไปที่ถังซวง แววตากลับกลายเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม ปกติแล้วถังอวี้สือคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลถัง แต่ตอนนี้ถังซวงและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่แล้ว เพื่อปล้นชิงตำแหน่งทายาทชัด ๆ
ถังซวงเองก็เห็นสายตาของเหวินเจ๋อหลิ่วเช่นกัน แต่ว่าเธอไม่คิดสนใจ ก่อนจะเดินไปห้องโถงหลักพร้อมกับทุกคน
หลังจากผู้เฒ่าถังยืนยันว่าเฮ่อหลานเป็นหลานสาวของเขา เขาเองมีความสุขมากและบอกให้ลูกชายคนโตพาเฮ่อหลานและพาครอบครัวไปแนะนำให้ตระกูลถังทุกคนรู้จัก
“อาหลาน ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ผู้อาวุโสเหล่านี้คือผู้เฒ่าตระกูล เมื่อครู่เธอคงรู้แล้ว”
เมื่อเฮ่อหลาน และลูกสาวได้พบเจอผู้เฒ่าตระกูลอีกครั้ง ทั้งหมดทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ และได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น
ผู้เฒ่าตระกูลโบกมือให้กับทั้งสามก่อนจะพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ทั้งหมดคือสิ่งที่ฉันควรทำ ยิ่งไปกว่านั้นฉันเองก็รู้ว่าคุนหาวกับเฟยเฟิ่งต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแค่ไหนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันดีใจที่พวกเขาได้พบกับสมบัติล้ำค่าของตัวเองอีกครั้ง”
“ผู้เฒ่าตระกูล ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร พวกเราก็ต้องขอบคุณค่ะ”
เฮ่อหลานกล่าวอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าตระกูลเข้าช่วยเหลือ พวกเขากับถังคุนเฉินคงจะทะเลาะกันไม่จบสิ้นแน่
ตอนนี้ถังซวงรู้สึกสนใจบันทึกยาก่อนหน้านี้
“ผู้เฒ่าตระกูลคะ หนูสามารถอ่านหนังสือนั้นได้ไหม?”
ได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้น ผู้เฒ่าตระกูลตกตะลึงก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน ลูกหลานตระกูลถังมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ทักษะการแพทย์ของตระกูลถัง ดังนั้นพวกเธอสองพี่น้องอ่านมันได้เลย”
ถังเซวี่ยยกยิ้มก่อนจะส่ายศีรษะ
“ผู้เฒ่าตระกูลคะ หนูไม่มีทักษะการแพทย์หรอกค่ะ ให้พี่อ่านเถอะค่ะ”
“โอ้… พี่สาวของเธอรู้ทักษะการแพทย์ด้วยหรือ”
ถังเซวี่ยกล่าวออกอย่างภาคภูมิใจ “ค่ะ พี่สาวหนูมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก”
ต่อให้ได้ยินอย่างนั้น ผู้เฒ่าตระกูลไม่ได้สนใจมากนัก เพราะยังไงแล้วถังซวงก็ไม่ได้เติบโตในตระกูลถัง แม้หล่อนจะรู้ทักษะการแพทย์บ้าง แต่ก็คงไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลนัก ทว่าสุดท้ายแล้วเขาเองก็ยังชื่นชอบผู้ที่พยายามเรียนรู้อยู่ดี เขาจึงพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้นว่า “งั้นเดี๋ยวหลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ไปหาฉันเพื่อรับมันแล้วกัน ยังไงซะในหนังสือเล่มนั้นไม่มีสูตรยาตัวไหนสามารถกลั่นออกมาได้ แต่เอาไปอ่านสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอบคุณค่ะท่านผู้เฒ่าตระกูล”
ทันทีที่ถังซวงพลิกดู เธอเห็นใบสั่งยาสองใบ และรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าสนใจมาก แม้คนอื่น ๆ ในตระกูลถังจะบอกว่ามันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง แต่เธอก็ยังอยากจะลองกลั่นมันดูสักครั้ง
หลังคิดไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อถึงมื้อเย็น ครอบครัวของเฮ่อหลานจึงได้รู้จักกับทุกคนภายในตระกูลถัง
ทุกคนจากตระกูลถังทั้งสายหลักและสายรอง ต่างมาร่วมทานมื้อเย็นกันอย่างครึกครื้น รวมแล้วยี่สิบโต๊ะ ทั้งหมดเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย
ถังคุนหาวและหัวเฟยเฟิ่งมีความสุขมาก ทั้งคู่พาเฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงไปพบปะผู้คนมากมาย ส่วนถังซวง ถังเซวี่ย โม่เจ๋อหยวน และเฟิงเยี่ยหานเองก็ติดตามพวกเขาไปรู้จักกับทุกคนในตระกูลถังด้วยเช่นกัน
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงมื้ออาหารค่ำจึงสิ้นสุดลง