การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 535 ปักหลัก
บทที่ 535 ปักหลัก
ผู้เฒ่าเฮ่อพร้อมภรรยากล่าวทักทายหัวเฟยเฟิ่งด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “สวัสดี สวัสดี อาหลานได้พบเจอแม่ที่แท้จริงแล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีจริง ๆ”
เฮ่อจื่อกุยและเฮ่อเจียรุ่ยก้าวไปด้านหน้าเพื่อกล่าวทักทายหัวเฟยเฟิ่ง
หัวเฟยเฟิ่งมองตระกูลเฮ่อก่อนจะกล่าวขอบคุณจากใจจริง “ฉันได้ยินอาหลานเล่าเรื่องของพวกคุณให้ฟังแล้ว และรู้สึกซาบซึ้งมากที่พวกคุณดูแลอาหลานเป็นอย่างดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกคุณ ฉันคงไม่มีโอกาสได้เจอลูกสาวของฉันอีกแล้ว”
ผู้เฒ่าเฮ่อได้ยินถ้อยคำจริงใจของหัวเฟยเฟิ่ง ก็โบกมือปฏิเสธ “อย่าพูดอย่างนั้นเลย พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณอาหลานกับลูกสาวของเธอ เดิมทีฉันกับภรรยามีสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ซวงเอ๋อร์เป็นคนช่วยพวกเราเอาไว้ ตอนนี้สุขภาพของเราดีขึ้นมาก จนสามารถเดินทางไกลได้”
หัวเฟยเฟิ่งไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะไม่มีใครเคยบอก เมื่อได้ยินผู้เฒ่าเฮ่อพูดอย่างนั้น เธอก็รู้สึกว่าซวงเอ๋อร์ของเธอเก่งกาจจริง ๆ และอาจเก่งกว่าถังอวี้สือด้วย
“ดีแล้วค่ะที่ซวงเอ๋อร์สามารถช่วยคุณได้”
หัวเฟยเฟิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดจากใจจริง “ถึงฉันจะได้เจอกับอาหลานแล้ว แต่ยังไงพวกคุณก็ยังคงเป็นญาติของอาหลานเหมือนเดิม และต่อจากนี้พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ”
ผู้อาวุโสตระกูลเฮ่อทั้งสองมีความสุขมากเมื่อเห็นความจริงใจของหัวเฟยเฟิ่ง
“ครับ หลังจากนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เดิมทีพวกเขาต้องการถามถึงเรื่องราวของพ่อแท้ ๆ ของถังหลาน แต่นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันเลยเกรงว่าจะมีเรื่องที่อ่อนไหวไม่สมควรพูดออกไป หากพวกเขาพูดจาบุ่มบ่าม อาจจะกระทบความรู้สึกของหัวเฟยเฟิ่งได้
ส่วนหัวเฟยเฟิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เธอก็เป็นคนพูดถึงถังคุนหาวก่อน
“ครั้งนี้พ่อของอาหลานไม่ได้มาด้วย แต่คราวหน้าเขาจะไปเยี่ยมพวกคุณแน่นอนค่ะ”
ผู้เฒ่าเฮ่อยกยิ้มก่อนจะตอบว่า “ได้เลย ยังไงเราก็ยังมีเวลาดื่มด้วยกันอีกมากโข”
คุณนายจิงโล่งใจเมื่อเห็นว่าตระกูลเฮ่อและหัวเฟยเฟิ่งพูดคุยกันอย่างถูกคอ และทันทีที่ตระหนักได้ว่ายังไม่มีใครนั่งลงเลย เธอรีบกล่าวเชิญชวน “ทุกท่านคะ รีบเข้ามานั่งกันก่อนเถอะค่ะ อาหารพร้อมแล้ว เดี๋ยวเราพูดคุยกันระหว่างทานอาหารก็ได้”
หัวเฟยเฟิ่งรีบกล่าวเชิญชวนด้วยเช่นกัน
“ใช่ค่ะ งั้นเรามาทานอาหารกันก่อนดีกว่า เดินทางมาตั้งไกล คงจะหิวแย่แล้ว”
ถังซวงกับถังเซวี่ยก้าวไปทักทายอาวุโสทั้งสองกับพานลี่ฮวา
แต่จู่ ๆ พานลี่ฮวาเองจำเรื่องบางอย่างได้ก่อนจะพูดขึ้นว่า “จูรุ่ยยังอยู่ที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ พอดีพ่อของเด็กคนนั้นฝากให้มาบอกเธอว่าให้รีบกลับเมืองก่างเฉิงโดยเร็วที่สุดน่ะ”
คุณนายจิงรีบหันกลับมาถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีเรื่องผิดปกติที่บ้านของจูรุ่ยหรือเปล่า?”
พานลี่ฮวารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคุณนายจิง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงส่ายศีรษะแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่หรอกค่ะ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร อาจเป็นเพราะจูรุ่ยออกจากเมืองก่างเฉิงนานแล้ว พ่อของเธอจึงอยากให้เธอกลับไปน่ะค่ะ”
คุณนายจิงได้ยินอย่างนั้นแล้วก็โล่งอก
แต่ไม่นานก็กลับมากังวลอีกครั้ง
ตอนนี้หลานชายคนที่สองยังไม่ทันได้ลงมือกระเตื้องอะไรเลย หากจูรุ่ยกลับไปที่เมืองก่างเฉิง ทั้งสองอาจจะหมดความรู้สึกต่อกันไป ซึ่งเธอเองก็รู้สึกชื่นชอบสาวน้อยคนนี้มาก แววตาใสบริสุทธ์ดูไร้เดียงสา น่ารัก และยังใจดีมาก เธอรู้สึกว่าทั้งสองเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือโชคชะตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาจะตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คุณนายจิงหยุดความคิดทั้งหมด
หลายคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับจูรุ่ย และไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะกลับเข้ามาพร้อมกับจิงเหวินรุ่ยในขณะนั้น
ทันทีที่คุณนายจิงเห็นทั้งสองคนกลับมา เธอก็โบกมือเรียกรวดเร็ว “เสี่ยวรุ่ย เหวินรุ่ย เข้ามานี่ก่อนเร็วเข้า ลุงของซวงเอ๋อร์กับคนอื่น ๆ มาถึงแล้วจ้ะ มากินข้าวด้วยกันนะ” จากนั้นก็หันไปพูดกับจิงเหวินรุ่ยว่า “ไปเรียกพ่อแม่ของหลานด้วย อ้อ แล้วก็เรียกลุงใหญ่กับคนอื่น ๆ ด้วยล่ะ”
จิงเหวินรุ่ยยกยิ้มรับ เดินเข้าไปทักทายผู้เฒ่าเฮ่อและคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินไปเรียกทุกคน
ถังซวงไปที่บ้านของหลี่จงอี้เพื่อตามเขา ซูเหนียนอวิ๋น ซ่างสยงเยี่ย และเกอชิงเหม่ยมาทานข้าวร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้
เมื่อจิงเจ้อหรงกลับมาถึงบ้าน ทุกคนในครอบครัวก็แทบจะมาครบแล้ว
“อาเจ้อ กลับมาได้ทันเวลาพอดี นั่งลงก่อนสิคะ”
ถังหลานรีบโบกมือเรียกจิงเจ้อหรง
แน่นอนว่าจิงเจ้อหรงเห็นแล้วว่าตระกูลเฮ่ออยู่ที่นี่ เขารีบเข้ามาทักทาย ก่อนที่คนในครอบครัวจะรวมตัวกันนั่งลงบนโต๊ะอาหารทั้งสองโต๊ะอย่างเนืองแน่น การรับประทานอาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
คราวนี้ตระกูลเฮ่อยังคงพักอยู่ในบ้านของตระกูลจิงเช่นเคย
และผู้เฒ่าเฮ่อยังพูดกับถังหลานเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่พวกเขาเข้าเมืองหลวงในคราวนี้ด้วย
“อาหลาน ป้าของเธอกับฉันว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วละ สำหรับจื่อกุยและครอบครัวยังอยู่ในเมืองก่างเฉิง เพราะกิจการต่าง ๆ ของตระกูลเฮ่อก็อยู่ที่นั่น พวกเขาจำเป็นต้องกลับไปดูแล”
เฮ่อจื่อกุยกับพานลี่ฮวารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ทว่าเมื่อได้ยินอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหดหู่ในใจ เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอกับอาหลาน ผู้อาวุโสทั้งสองไม่เคยมองพวกเขาอีกเลย
ถังหลานไม่คิดว่าผู้เฒ่าตระกูลเฮ่อจะวางแผนไว้เช่นนี้ เธอประหลาดใจมากก่อนจะกล่าวออกว่า “ดีจังเลยค่ะ ถ้าหากทั้งสองคนมาอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้เจอกันง่ายและบ่อยขึ้นด้วย”
“ใช่ พวกเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ แต่บ้านของตระกูลเฮ่อถูกขายไปแล้ว เราเลยว่าจะซื้อบ้านหลังใหม่ เลยอยู่ในช่วงกำลังมองหา สถานที่ที่เหมาะสมน่ะ”
ถังหลานรีบกล่าวถามว่า “คุณลุงชอบบ้านแบบไหนหรือคะ?”
“แบบจงอี้น่ะดีมากเลย ถ้ามีคล้าย ๆ กันก็จะดีมาก”
ก่อนถังหลานจะพูดอะไร จิงเจ้อหรงกล่าวขึ้นจากด้านข้างว่า “คุณลุงครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะให้คนออกไปดูให้ ถ้าหากมีที่ดินไหนเหมาะสม เราจะได้ไปดูมันพร้อมกัน”
“ดีเลย อย่างนั้นต้องรบกวนอาเจ้อแล้ว”
เฮ่อจื่อกุยที่อยู่ใกล้ ๆ ตบไหล่ของจิงเจ้อหรง “อาเจ้อ ยังไงก็รบกวนนายด้วยนะ พวกเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลวงเท่าไหร่ อยากซื้อบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ช่วยแนะนำพวกเราด้วยแล้วกัน”
จิงเจ้อหรงยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น และรีบตอบกลับ “ลุงพูดอะไรน่ะครับ? พวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าหากใครมีปัญหา ก็ต้องช่วยเหลือกันสิครับ”
เมื่อจิงเจ้อหรงรู้ว่าตระกูลเฮ่อต้องการซื้อบ้านในเมืองหลวง เขาก็จัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็ว มองหาบ้านที่ต้องการจะขายหลายหลัง จากนั้นเลือกเอาไว้เพื่อพาถังหลาน ถังซวง และคนอื่น ๆ ไปดูด้วยกัน
“คุณลุงครับ ที่นี่แหละครับ เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”