การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 536 จิงเหวินรุ่ยสารภาพรัก
บทที่ 536 จิงเหวินรุ่ยสารภาพรัก
ผู้เฒ่าเฮ่อมองลานบ้านตรงหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ “อื้ม เราเข้าไปดูด้านในกันเถอะ”
ถังซวงและถังเซวี่ยติดตามพวกเขาเข้าไป จากนั้นทุกคนจึงเห็นว่าบ้านหลังนี้ถูกดูแลเป็นอย่างดี หากจะเข้าอยู่ที่นี่ เพียงแค่ทำความสะอาดสักหน่อยก็สามารถอยู่อาศัยได้แล้ว
“คุณลุงครับ เราเดินดูรอบ ๆ กันดีกว่า”
“อื้ม”
ผู้เฒ่าเฮ่อตามจิงเจ้อหรงไปตรวจสอบภายในและภายนอกของบ้าน สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า “เอาละ ฉันเอาที่นี่แหละ” เขาตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกพบ มันเหมือนกับบ้านในความทรงจำมาก จึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เฮ่อจื่อกุยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินพ่อของตนเอ่ยปากอย่างนั้นจึงถามขึ้นว่า “พ่อครับ ไม่ไปดูหลังอื่นก่อนหรือ?”
“ไม่ล่ะ ไม่ดูแล้ว ฉันจะซื้อที่นี่”
เฮ่อจื่อกุยอยากจะพูดบางอย่าง แต่พานลี่ฮวาคว้าแขนเขาเอาไว้ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคุณพ่อชอบที่นี่ ก็ให้เขาซื้อมันเถอะนะคะ”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะส่งคนมาทำความสะอาดด้วย”
จิงเจ้อหรงเห็นแล้วว่าผู้เฒ่าเฮ่อพูดจริง และตัดสินใจแล้ว จึงเอ่ยปากพาทุกคนไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
เป็นเพราะผู้เฒ่าเฮ่อเตรียมทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว บ้านก็โอนเป็นชื่อของเขาอย่างรวดเร็ว มันถูกทำความสะอาด สามารถเข้าอยู่ได้ทันที
เมื่อคุณย่าจิงรู้ข่าว เธอก็ยินดี “พวกคุณดำเนินการรวดเร็วมาก แบบนี้ในอนาคตเราคงจะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน และการเดินทางไปมาหาสู่จะสะดวกสบายมากขึ้น”
หัวเฟยเฟิ่งเห็นว่าผู้เฒ่าเฮ่อและคนอื่น ๆ ซื้อบ้านในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว เธอเองก็นึกอยากจะซื้อบ้านด้วยเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วตระกูลถังเองก็มีบ้านอยู่ในเมืองหลวง แต่เธอไม่อยากไปอยู่ที่นั่น และต้องการซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
หัวเฟยเฟิ่งหันมองจิงเจ้อหรงอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะพูดว่า “อาเจ้อ ถ้าเจอบ้านที่เหมาะสมยังไงฝากดูให้แม่หน่อยได้ไหม แม่เองก็อยากจะมีบ้านในเมืองหลวงเหมือนกัน ในอนาคตเราจะได้ไปมาสะดวก ๆ”
จิงเจ้อหรงรีบตอบกลับทันที “ครับคุณแม่ ผมจะดูให้”
ผู้อาวุโสตระกูลเฮ่อได้ยินก็ยกยิ้มก่อนจะหันมากล่าวกับหัวเฟยเฟิ่ง “เฟยเฟิ่ง งั้นแบบนี้ในอนาคตเราก็จะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้วสิ”
“ใช่ค่ะ ฉันตั้งตารอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวเลยแหละ”
ผู้เฒ่าเฮ่อจัดการซื้อบ้านอย่างรวดเร็ว เฮ่อจื่อกุยและครอบครัวจึงจะกลับเมืองก่างเฉิงก่อน เพราะยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องกลับไปจัดการ
เดิมทีจูรุ่ยเองก็อยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าจะมีเพื่อนร่วมทางกลับไปด้วย เธอจึงยกเลิกแผนเดิมและเลื่อนกำหนดการให้เร็วขึ้น
เมื่อจิงเหวินรุ่ยทราบข่าว เขามาหาจูรุ่ยทันที
“ผมได้ยินว่า… คุณกำลังจะกลับเมืองก่างเฉิงแล้วหรือ”
จูรุ่ยพยักหน้ารับพร้อมตอบกลับว่า “ใช่ค่ะ ฉันว่าจะกลับไปพร้อมกับลุงเฮ่อและคนอื่น ๆ เลย จะได้มีเพื่อนร่วมทางด้วย”
“จริงด้วย แบบนี้ดีแล้วละครับ จะได้มีคนดูแลไปตลอดทาง”
หลังจากนั้น จิงเหวินรุ่ยก็หยุดนิ่ง ทั้งสองเงียบอยู่นาน จนชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าของจูรุ่ยอย่างตั้งมั่น ราวกับจะเก็บภาพของเธอไว้ในใจ
จูรุ่ยเองไม่อาจสัมผัสได้ในคราวแรก แต่เมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงของจิงเหวินรุ่ย ใบหน้าของเธอแดงเรื่อขึ้นมา
แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง*[1] เธอไม่เคยมีคนรักมาก่อน แต่หลายวันที่ผ่านมาเธอก็รู้ว่าจิงเหวินรุ่ยปฏิบัติกับเธอพิเศษกว่าคนอื่น
และเธอเองก็มีความสุขมากที่อยู่ใกล้กับเขา ทุกครั้งที่ออกไปเดินเล่นด้วยกัน มันทำให้เธออบอุ่นหัวใจมาก
แต่จูรุ่ยกลัวว่าตนจะคิดไปเอง จึงมองจิงเหวินรุ่ยและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
ส่วนจิงเหวินรุ่ยมีความสุขเมื่อเห็นว่าจูรุ่ยไม่หลบสายตา เขาปัดทิ้งความลังเลในใจและกล่าวคำนั้นอย่างตรงไปตรงมา “จูรุ่ย ผมชอบคุณ ผมว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดี คุณจะ… เป็นคนรักของผมได้ไหม?”
“คุณ…”
แม้จูรุ่ยจะพอคาดเดาได้ แต่เธอก็ไม่คิดมาก่อนว่าจิงเหวินรุ่ยจะพูดตรง ๆ แบบนี้ อีกอย่างเธอก็กำลังจะกลับเมืองก่างเฉิง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาที่นี่อีกครั้ง จูรุ่ยจึงไม่รู้ว่าควรตอบยังไง
เมื่อเห็นจูรุ่ยไม่ตอบ จิงเหวินรุ่ยรีบถามต่อ “คุณ… คุณไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับผมหรือ? หรือไม่งั้นคุณต้องการเวลาเพื่อคิดสักหน่อยไหม? ผมรอได้นะ”
จูรุ่ยเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เหวินรุ่ย ฉันกำลังจะกลับเมืองก่างเฉิงแล้ว และไม่รู้จะมาเมืองหลวงอีกเมื่อไหร่ แบบนี้คุณยังอยากรอคำตอบจากฉันอยู่ไหมคะ?”
“รอสิ”
จิงเหวินรุ่ยพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด
“ความจริงแล้ว… คุณอาจพบเจอผู้หญิงที่ดีกว่าฉัน ไม่ต้องเสียเวลารอฉันก็ได้” หลังพูดจบแล้ว จูรุ่ยก็รู้สึกเสียใจ แม้เธออยากจะทำตัวใจกว้าง แต่เธอก็ไม่มีความสุขเอาเสียเลยเมื่อคิดไปว่าจิงเหวินรุ่ยจะไปพูดจาแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น
ส่วนจิงเหวินรุ่ยไม่รู้ว่าจูรุ่ยคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของเธอ เขาก็คิดไปว่าเธออึดอัดที่เขาสารภาพรักออกไป และอีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่ชอบใจคำพูดของจูรุ่ยเมื่อครู่ด้วย
แม้จูรุ่ยจะไม่ชอบเขา แต่ก็ไม่ควรผลักเขาไปหาคนอื่นแบบนี้
“ผมไม่ได้คิดว่านี่เป็นการเสียเวลา แต่ถ้า… ถ้าคุณลำบากใจก็บอกผมตรง ๆ คุณมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ แต่อย่าผลักไสผมไปหาผู้หญิงคนอื่นแบบนี้เลย”
หลังพูดแบบนี้ จิงเหวินรุ่ยก็คลายความเศร้าไปได้บ้าง
“ผมรู้คำตอบแล้ว ไม่ต้องห่วงครับ หลังจากนี้ผมจะไม่รบกวนคุณอีก” พูดจบ จิงเหวินรุ่ยก็หันหลังกลับและคิดจะจากไป
“เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน…”
จิงเหวินรุ่ยกำลังจะจากไป จูรุ่ยจึงคว้าแขนของเขาไว้ เพราะจู่ ๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าหากพลาดโอกาสนี้ไป เธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นจิงเหวินรุ่ยกำลังเข้าใจผิด ถ้าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย
“จิงเหวินรุ่ย คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่รู้สึกกับคุณ ฉัน… ยังไม่ได้ตอบออกไปเลย แล้วคุณรู้ได้ยังไง?”
“คุณ…”
หัวใจที่ด้านชาของจิงเหวินรุ่ยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “คุณไม่ได้ปฏิเสธผมหรือ?”
“ไม่”
จูรุ่ยรีบส่ายหัว
“ฉันแค่กังวลเกี่ยวกับระยะห่างของเราสองคน หลังจากฉันกลับไปเมืองก่างเฉิงแล้ว คุณอาจจะหลงลืมกัน ฉันเลยอยากให้คุณมองคนที่อยู่ใกล้ ๆ มากกว่า แต่ตอนนี้ฉันเสียใจที่พูดอย่างนั้น ฉันอยากจะรอ แต่ว่าคุณ… เต็มใจจะรอฉันไหม?”
“แน่นอน ผมจะรอ”
จิงเหวินรุ่ยตอบกลับในทันที
จูรุ่ยยกยิ้ม “คุณพูดแล้วนะ อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ”
“ผมไม่เสียใจแน่นอน”
เมื่อเห็นความมั่นคงในแววตาของจิงเหวินรุ่ย หัวใจของจูรุ่ยก็เต้นรัว รู้สึกว่าการเข้ามาที่เมืองหลวงครั้งนี้มันช่างคุ้มค่า เธอไม่เพียงแต่ได้พบเพื่อนอย่างถังซวงและถังเซวี่ย แต่ยังได้พบเพื่อนใหม่เช่นถังชุนหยาน และตอนนี้เธอมีคนรักแล้ว
แต่เมื่อคิดว่าเธอกำลังจะกลับเมืองก่างเฉิงในเร็ววัน จูรุ่ยก็ได้สติกลับมา
“เหวินรุ่ย ตอนนี้ฉันยังไม่มีคำตอบให้คุณหรอกนะคะ ไว้ฉันมาเมืองหลวงคราวหน้า ฉันจะให้คำตอบนะ”