การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 569 เปลี่ยนตัวผู้สืบทอด
บทที่ 569 เปลี่ยนตัวผู้สืบทอด
ได้ยินหัวเทียนจางพูดอย่างนั้น ถังเซวี่ยกำหินในมือไว้อย่างไม่รู้ตัว แต่เธอไม่รู้สึกถึงอะไรที่แปลกประหลาดเลยสักนิด
“คุณทวดคะ หนูต้องบีบหินนี้ทำไมหรือคะ ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”
หัวเทียนจางรู้แค่หินเหล่านี้ช่วยเสริมโชคลาภ และเขาเองก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าวิธีการนี้ถูกต้องหรือไม่
ขณะทั้งสองกำลังสับสน ถังซวงตะโกนออกมาว่า “เสี่ยวเซวี่ย ดูเหมือนหินมันจะแตกนะ”
ได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้น หัวเทียนจางกับถังเซวี่ยก็มองหินและเห็นว่ามีเศษเล็กเศษน้อยกำลังแตกออกจากหินชั้นนอก
หลังเห็นอย่างนั้น หัวเทียนจางร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “มันได้ผลจริง ๆ ด้วย เสี่ยวเซวี่ย ถือมันไว้อย่างนั้นแหละ”
ถังเซวี่ยจึงลองบีบมันให้แรงขึ้น ผิวชั้นนอกของหินก็เริ่มแตกออกกระจัดกระจายไปบนพื้นอย่างแปลกประหลาด
“เสี่ยวเซวี่ย ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
หัวเทียนจางมองถังเซวี่ยด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ถังเซวี่ยรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ก็ยังตอบกลับ “คุณทวด หนู… ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ”
แม้หัวเทียนจางจะผิดหวังสักหน่อย แต่โชคลาภก็เป็นสิ่งลึกลับ ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ยิ่งกว่านั้นตระกูลหัวไร้ซึ่งบุตรที่มีพรสวรรค์มานานหลายปีแล้ว ตราบใดที่ยังมีโชคหลงเหลือ เขาก็ยิ่งอยากจะคว้ามันเอาไว้ และตอนนี้เขาต้องการให้ถังเซวี่ยทดลองสิ่งที่ใจนึกคิด
“ไม่เป็นไร ถ้าลองถือหลาย ๆ ก้อนอาจจะรู้สึกบางอย่างได้”
หัวเทียนจางหันมองแร่บนชั้นวางก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย ในอนาคตทั้งหมดนี้จะเป็นของเหลน” ถ้าไม่ใช่เพราะถังเซวี่ย สิ่งเหล่านี้คงจะไม่มีวันถูกค้นพบ และต่อให้มอบมันให้ผู้อื่น มันก็จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะต้องตกเป็นของถังเซวี่ยอยู่ดี
แต่ถังเซวี่ยเองยังรู้สึกไม่เชื่อสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่นัก
“ทั้งหมดนี้… ให้หนูหรือคะ? แล้วคนอื่น ๆ ในตระกูลหัวจะไม่ว่าอะไรหรือคะ?”
หัวเทียนจางตอบกลับทันทีว่า “พวกนั้นจะโต้แย้งอะไรได้? ยิ่งไปกว่านั้นเหลนคือคนที่ค้นพบห้องลับนี้ หากฉันไม่ได้พบมันในวันนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้ เมื่อพวกเขารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ก็คงไม่โต้แย้งอย่างแน่นอน”
หัวเทียนจางขอให้ถังเซวี่ยถือแร่เหล่านี้ไว้ต่อ
ถังเซวี่ยยังลังเล แต่เป็นถังซวงที่พูดออกไป “เสี่ยวเซวี่ย ทั้งหมดนี้เธอเป็นคนค้นพบ มันเป็นของเธอ”
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ถังซวงเองก็ประหลาดใจกับความโชคดีของถังเซวี่ยเช่นกัน และโชคของน้องสาวได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลหัว เมื่อได้รับการยืนยันความเป็นพรสวรรค์แล้ว ถังซวงยิ่งรู้สึกยินดีเมื่อเห็นน้องสาวประสบความสำเร็จ
หลังได้ยินพี่สาวพูดอย่างนั้น ถังเซวี่ยก็หยุดลังเล
แต่หลังจากเธอถือแร่หลายชิ้นไว้ในมือ เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “คุณทวด พี่คะ หนูไม่รู้สึกอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกเสี่ยวเซวี่ย เศษแร่มันแตกออกทีละนิด หมายความว่ามันจะต้องมีประโยชน์แน่นอน ตอนนี้เธออาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้ารวมหลาย ๆ ก้อนเข้าด้วยกัน ในอนาคตเธอจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างแน่นอน” ถังซวงยิ้มขณะกล่าวปลอบโยน จากนั้นหันมองหัวเทียนจางแล้วพูดต่อว่า “คุณทวด เราอยู่ที่นี่นานแล้วนะคะ ออกไปกันดีกว่าค่ะเดี๋ยวคนอื่นจะมาพบเข้า”
“อื้ม”
หัวเทียนจางเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก่อนจะออกไป เขาหยิบถุงใบหนึ่งมาใส่แร่หลายชนิดเอาไว้ให้ถังเซวี่ย “เสี่ยวเซวี่ย เอาพวกมันกลับไปด้วยล่ะ แล้วลองใช้มันเมื่ออยู่คนเดียวนะ เอาละ พวกเราไปกันเถอะ”
ถังเซวี่ยรับมันไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตามหัวเทียนจางและถังซวงออกไป
หลังจากทั้งสามคนออกจากหอสมุด พวกเขาตรงไปที่ฝั่งของหัวเฟยเฟิ่งทันที
“พ่อคะ กลับมาสักที… ถ้าพ่อยังไม่กลับมา หนูว่าจะเข้าไปตามแล้วละค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… พอดีพวกเราเพลินไปหน่อยจนลืมเวลาน่ะ คราวหน้าพวกเราจะออกมาให้เร็วกว่านี้แล้วกัน”
หัวเฟยเฟิ่งพูดขึ้น “ถ้าพ่อไม่พาซวงเอ๋อร์และเสี่ยวเซวี่ยกลับมา แล้วมีคนในตระกูลมาพบเข้า พ่ออาจจะต้องนั่งอธิบายยืดยาวและเจอคำครหามากมายแน่”
แม้หัวเทียนจางจะเป็นผู้นำตระกูล แต่ตระกูลหัวเองก็มีผู้อาวุโสสูงสุดเช่นกัน ดังนั้นพ่อเธอจึงไม่ใช่คนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดในตระกูล
พอได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น หัวเทียนจางเอ่ยปากด้วยเสียงแข็ง “พบซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ยแล้วยังไงล่ะ พวกเธอก็เป็นลูกหลานของตระกูลหัวเช่นกัน”
ถังคุนหาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบงัน ถังซวงและถังเซวี่ยใช้สกุลถัง หากคนอื่นรู้เข้า พวกตระกูลหัวต้องต่อว่าอย่างแน่นอนที่ตระกูลถังเข้าสู่หอสมุดตระกูลหัวแบบนี้
หัวเฟยเฟิ่งยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “เอาละค่ะ ไม่ว่าพ่อพูดอะไร หนูก็จะเชื่อ”
หัวเทียนจางเดินเข้าไปหาหัวเฟยเฟิ่ง ก่อนจะหันมองถังคุนหาว ถังหลาน และจิงเจ้อหรง “คุนหาว ขอฉันคุยกับเฟยเฟิ่งสักหน่อยนะ”
ถังคุนหาวเข้าใจทันทีว่าพ่อตาของเขามีเรื่องจะคุยกับภรรยาเป็นการส่วนตัว เขาจึงพยักหน้ารับก่อนจะออกไปพร้อมถังหลาน ถังซวง ถังเซวี่ย โม่เจ๋อหยวน เฟิงเยี่ยหาน และจิงเจ้อหรง
เวลานี้เหลือเพียงหัวเทียนจางและหัวเฟยเฟิ่งอยู่ภายในลานบ้าน เธอกล่าวถามด้วยความสงสัย “พ่อคะ มีอะไรจะคุยกับหนูหรือคะ”
หัวเทียนจางกล่าวออกมาตามตรงไม่อ้อมค้อม “พ่ออยากให้เสี่ยวเซวี่ยเป็นผู้นำตระกูลหัวคนต่อไป”
“อะ… อะไรนะ…”
หัวเฟยเฟิ่งมองหัวเทียนจางด้วยความตกตะลึงก่อนจะพูดขึ้นว่า “พ่อคะทำไมพูดแบบนั้น เสี่ยวเซวี่ยไม่ได้ใช้สกุลหัว ตระกูลของเราไม่ยินยอมแน่ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อลืมหัวเฟยหลงไปแล้วหรือคะ ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาคือผู้สืบทอด เขาคือผู้นำตระกูลคนถัดไป แต่ตอนนี้พ่อจะให้เสี่ยวเซวี่ยเป็นผู้นำตระกูล คนแรกที่จะขัดแย้งกับพ่อคือหัวเฟยหลงนะ”
เธอกับหัวเฟยหลงเติบโตมาด้วยกัน นับถือกันเป็นพี่น้องในสายเลือด
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหัวเฟยหลงยังมีชีวิตอยู่ และตอนที่เขาถูกรับเลี้ยง เขาก็จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้แล้ว ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างหัวเฟยหลงและหัวเทียนอวี้จึงใกล้ชิดกันเสมอมา และมีเส้นกั้นกลางระหว่างหัวเฟยเฟิ่งและหัวเฟยหลงเสมอ พวกเขาไม่สามารถเป็นพี่น้องที่แท้จริงได้ แม้ว่าจะไม่สนิทกัน แต่หัวเฟยเฟิ่งก็รู้ดีว่าหัวเฟยหลงคือผู้นำตระกูลหัวคนต่อไป ต่อให้พ่อของเธอต้องการจะเปลี่ยนแปลงผู้สืบทอด ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
หัวเฟยเฟิ่งยังนึกสงสัยด้วยว่าทำไมจู่ ๆ พ่อของเธอถึงเปลี่ยนใจได้
“พ่อคะ ทำไมพ่อถึงอยากจะให้เสี่ยวเซวี่ยเป็นผู้นำตระกูลหัวล่ะคะ? เหตุผลคืออะไร… อีกอย่างนิสัยของเสี่ยวเซวี่ยไม่ใช่คนเด็ดขาดเลยนะคะ”
แม้สองพี่น้องจะนิสัยดีทั้งคู่ แต่หัวเฟยเฟิ่งเองยอมรับว่าถังซวงมีความเด็ดขาดมากกว่าและสามารถเป็นผู้นำตระกูลได้ อีกทั้งตอนที่ถังซวงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลถังก็ยังมีเสียงโต้แย้งไม่หยุดหย่อน แต่ถังซวงก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเองก็ไม่ใช่พวกที่จะสามารถมายั่วยุได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว หัวเทียนจางหันมองลูกสาวของตัวเองแล้วถามขึ้นว่า “ลูกอยู่กับเสี่ยวเซวี่ยมาตั้งนาน ไม่เห็นหรือว่าเธอโชคดีขนาดไหน?”
“อะไรนะ…”
เวลานี้หัวเฟยเฟิ่งประหลาดใจจริง ๆ แล้ว
ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหัว เธอย่อมทราบถึงเรื่องเล่าขานของตระกูลเป็นอย่างดี และเธอเองก็มักจะสงสัยเกี่ยวกับมันเสมอมา เพราะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ลี้ลับเกินไป แต่พ่อกลับพูดว่าถังเซวี่ยได้รับพรสวรรค์นี้ ที่ทั้งลึกลับและยากจะอธิบาย แน่นอนว่าตอนนี้เธอยังไม่เชื่อถือมันเต็มร้อย
“เป็นไปไม่ได้”