การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 572 ข่าวของจูรุ่ย
บทที่ 572 ข่าวของจูรุ่ย
ถังเซวี่ยมองดูบ้านตระกูลจิงที่คุ้นเคยตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น “ในที่สุดก็ได้กลับมาสักที ช่วงที่เราไปเยี่ยมตระกูลถังและตระกูลหัวมันยาวนานมากจริง ๆ นะคะ”
ถังหลาน “ใช่ เหมือนว่าพวกเราห่างจากบ้านไปนานมาก ลูกกับพี่จะเปิดเรียนแล้วด้วย โชคดีที่เรากลับมาทัน”
จิงเจ้อหรงยิ้มให้ถังหลาน “กลับมาถึงแล้ว รีบเข้าไปด้านในกันเถอะ” หลังจากนั้นเขาหันไปหาหัวเฟยเฟิ่ง “แม่ครับ คืนนี้พักที่นี่นะครับ”
หัวเฟยเฟิ่งซื้อบ้านในเมืองหลวงแล้ว แต่เธออาจจะเหงาหากอยู่ในบ้านว่างเปล่าเพียงลำพัง เธอจึงมาพักอาศัยที่นี่ก่อน
หัวเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “จ้ะ คืนนี้แม่จะพักที่นี่”
ถังหลานยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“แม่คะ ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่ซะเลยล่ะคะ? วิ่งไปวิ่งมาเหนื่อยแย่เลย”
หัวเฟยเฟิ่งจึงพยักหน้ารับ “จ้ะ”
ทั้งกลุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับพูดคุยและหัวเราะเสียงดัง
คุณปู่จิงและคุณย่าจิงดีใจมากที่เห็นว่าทุกคนกลับมาแล้ว “อาเจ้อ อาหลาน กลับมากันแล้วหรือ” ทั้งสองหันมองถังซวงและถังเซวี่ย “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ทำไมถึงซูบลงเยอะเลยล่ะ ย่ารู้สึกว่าพวกหลานผอมลงไปมากเลยจริง ๆ”
ถังซวงและถังเซวี่ยรีบตอบกลับว่า “คุณย่าคะ พวกเราไม่ได้ผอมลงหรอกค่ะ แค่เหนื่อย ๆ นิดหน่อย”
ถังหลานที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกเป็นห่วงลูกแฝดทั้งสอง ก็เข้าไปถามคุณย่าจิง “คุณแม่คะ ฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยเป็นยังไงบ้างคะ”
“อาหลานไม่ต้องห่วง เด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจ้ะ” คุณย่าจิงตอบกลับมา ก่อนจะรีบไปอุ้มฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยออกมา “ดูสิ แก้มกลมเชียว”
ถังหลานและจิงเจ้อหรงมองดูใบหน้าของเด็กน้อยสองคนที่เริ่มเต่งตึง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แน่นอนว่าทั้งคู่คิดถึงลูกทั้งสองมาก พวกเขาอุ้มลูกทั้งสองคนไว้ในอ้อมแขนไม่คิดวางลง
หัวเฟยเฟิ่งเองก็คิดถึงหลานแฝดของตน เธอเข้ามาหยอกเย้ากับพวกเขาก่อนจะพูดคุยกับคุณย่าจิง “แม่สามี ช่วงนี้คุณคงเหนื่อยมากแล้ว”
คุณย่าจิงรีบตอบกลับพร้อมโบกไม้โบกมือ “ไม่เลย เด็กทั้งสองเลี้ยงง่ายมาก อีกอย่างในบ้านหลังนี้ก็มีคนช่วยเลี้ยงตั้งเยอะ”
หัวเฟยเฟิ่งเองก็ยังคงกล่าวชื่นชมคุณย่าจิงไม่หยุดหย่อน จากนั้นอาวุโสทั้งสองก็นั่งพูดคุยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
คุณปู่จิงที่ยืนเงียบอยู่นานกล่าวขึ้นจากด้านข้าง “อย่าเพิ่งรบกวนพวกเขาเลย เพิ่งกลับกันมาเหนื่อย ๆ ให้ไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”
คุณย่าจิงถึงกับสะดุ้งพร้อมกับบ่นออกมาว่า “โอย ฉันทำอะไรลงไป ดูสิ ชวนคุยอยู่ตั้งนาน เอาละ ๆ พวกเธอควรไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
กล่าวจบ คุณย่าจิงหันมองโม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานพร้อมยิ้มกว้าง “เจ๋อหยวน เสี่ยวเยี่ย ห้องของพวกเธอเป็นห้องเดิมนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับคุณย่า”
หลังจากถังซวงและคนอื่นกลับมาถึงห้องของตัวเองแล้ว พวกเขาพักผ่อนกันสักครู่ ก่อนจะไปที่ห้องอาหาร
เวลานี้ ครอบครัวของจิงซิวหรง และจิงไค่หรงกลับมาแล้ว
ทันทีที่คุณย่าจิงเห็นถังซวงและคนอื่น ๆ เดินเข้ามา เธอก็รีบเอ่ยปากเรียกพวกเขามาทานอาหาร
“คุณแม่ยายคะ มาทานอาหารด้วยกันเถอะค่ะ”
หัวเฟยเฟิ่งยิ้มรับ “ค่ะ เดี๋ยวเราไปพร้อมกันเลย”
หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว ผู้เฒ่าจิงขยับตะเกียบเป็นคนแรก จากนั้นทั้งครอบครัวก็เริ่มทานอาหาร
ถังซวงไม่ได้กินข้าวที่บ้านมานาน และตอนนี้ก็มีอาหารจานโปรดที่ไม่ได้กินมานาน เธอจึงกินไปเยอะมาก
โม่เจ๋อหยวนเห็นว่าถังซวงมีความสุขมาก ก็ยิ่งคีบอาหารให้เธอ
ขณะถังซวงกำลังทานอาหาร เธอรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตนอยู่ และเมื่อมองไปตามทิศทาง ปรากฏว่าเป็นจิงเหวินรุ่ยที่กำลังมองมา แต่สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก
ถังซวงขมวดคิ้วสงสัย แต่เวลานี้ทุกคนกำลังทานอาหารกันอยู่ เธอจึงไม่ถามอะไร
และหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ถังซวงก็ยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ จิงเหวินรุ่ยจึงเดินมาหาเธอด้วยตัวเอง
“ซวงเอ๋อร์ ในที่สุดเธอก็กลับมา”
ถังซวงเห็นความกังวลของจิงเหวินรุ่ย ก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่รอง พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”
จิงเหวินรุ่ยพยักหน้ารับ “ซวงเอ๋อร์ ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรหน่อยน่ะ คือ… ฉัน… ติดต่อจูรุ่ยไม่ได้…”
ถังซวงขมวดคิ้วฉงน
“ติดต่อไม่ได้หรือคะ?”
“ใช่ ฉันกับจูรุ่ยเขียนจดหมายถึงกันตลอด แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เธอกลับไม่ตอบอะไรกลับมาเลย และฉันก็ไม่ได้ยินข่าวของเธออีก”
ถังซวงถามต่อว่า “ก่อนหน้านี้พวกพี่ติดต่อกันบ่อยแค่ไหนคะ”
“ก็สัปดาห์ละครั้งน่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คุยกับจูรุ่ยมาครึ่งเดือนแล้ว”
จูรุ่ยสัญญากับเขาไว้ว่าจะให้คำตอบกับเขาเมื่อกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่ว่าหลังจากที่จูรุ่ยกลับไปเมืองก่างเฉิง ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เขารู้สึกว่าจูรุ่ยเองก็ชอบเขาเหมือนกัน เขาจึงเฝ้ารอให้จูรุ่ยกลับมาที่เมืองหลวงอย่างใจจดจ่อ
แต่ว่าเขากับจูรุ่ยกลับขาดการติดต่อจากกัน และสิ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ก็คือขอความช่วยเหลือจากถังซวง
ถังซวงได้ยินอย่างนั้น ก็ตอบกลับสบาย ๆ “ค่ะ ไว้ฉันจะสอบถามข่าวในเมืองก่างเฉิงมาให้”
“ขอบคุณนะซวงเอ๋อร์”
ถังซวงโบกมือ “พี่รอง ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ พวกเราก็คนกันเอง”
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง จิงเหวินรุ่ยก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก หลังจากเน้นย้ำกับถังซวงอีกครั้ง เขาก็จากไป
“พี่คะ อยู่ที่นี่นี่เอง ฉันเห็นพี่รองเพิ่งออกไป มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถังเซวี่ยที่เดินเข้ามาพร้อมกับเฟิงเยี่ยหาน ถามด้วยความสงสัย
ถังซวงไม่ได้คิดปิดบังอะไร เล่าเรื่องของจูรุ่ยให้พวกเขา
หลังจากถังเซวี่ยทราบเรื่อง เธอยิ่งเผยความประหลาดใจ ก่อนจะพึมพำขึ้นว่า “หรือว่าจูรุ่ยอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับงาน?”
ถังซวงเองก็คิดแบบนั้น แต่พอเห็นความกังวลของจิงเหวินรุ่ยแล้ว เธอจึงคิดติดต่อกับพานลี่ฮวาเลยดีกว่า ทั้งเธอยังมีเรื่องต้องสอบถามเกี่ยวกับบริษัทด้วย
เห็นพี่สาวคิดไว้แล้วว่าจะทำยังไง ถังเซวี่ยจึงไม่ได้โต้แย้ง
หลังจากถังซวงติดต่อกับพานลี่ฮวาแล้ว ข่าวที่เธอได้รับมากลับไม่ค่อยดีนัก
โม่เจ๋อหยวนมองดูถังซวงที่ขมวดคิ้วแน่น แล้วลอบมองข้อความในมือของเธอ เขาก็รู้สึกเครียดขึ้นมา
“จูรุ่ยกำลังจะหมั้น และผู้ชายคนนั้นมาจากตระกูลหลี่ในเมืองก่างเฉิง”
ถังซวงขยำจดหมายในมือ กล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “วันหมั้นหมายคือเดือนหน้า ดูรีบกันมาก ๆ ฉันอายจนไม่กล้าบอกข่าวนี้ให้พี่รองทราบเลยละ”
“ข่าวอะไรหรือ?”
ทันทีที่ถังซวงพูดจบ จิงเหวินรุ่ยกลับเดินเข้ามา และรู้ว่าข่าวที่ถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวข้องกับตน
ถังซวงเหลือบมองจิงเหวินรุ่ยก่อนจะเอ่ยปากถาม “พี่รอง วันนี้พี่กลับมาเร็วจัง”
“งานไม่ค่อยยุ่งมากน่ะเลยกลับมาเร็ว”
จิงเหวินรุ่ยอยากรู้เรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ “ซวงเอ๋อร์ เมื่อกี้เธอพูดถึงข่าวอะไรหรือ”
ถังซวงไม่ได้ปิดบัง บอกอีกฝ่ายเรื่องการหมั้นหมายของจูรุ่ย
“อะ… อะไรนะ… เป็นไปไม่ได้…”