การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 579 หายไปไหน
บทที่ 579 หายไปไหน
จูรุ่ยมองแผ่นหลังของจูเหลียนที่จากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เวลานี้เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันเธอก็เกลียดตัวเองที่ใจไม่แข็งมากพอ ถ้าหากเธอไม่เชื่อภาพลวงตาในความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อ เธอก็คงไม่ต้องถูกหลอกอย่างนี้
ความรักของครอบครัวที่หลงเหลือในใจของจูรุ่ยเหือดหายไปโดยสมบูรณ์ ถ้าหากเธอหลบหนีไปได้ เธอจะไม่มีวันปล่อยหร่วนปี้เฟิงและจูเหลียนไปแน่นอน และเธอเองก็ไม่คิดจะให้อภัยพ่อของตัวเองด้วย
“เหวินรุ่ย… เป็นคุณจริง ๆ ใช่ไหม? คุณตามถังซวงมาที่เมืองก่างเฉิงจริง ๆ หรือ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่จูเหลียนกล่าวก่อนหน้านี้ ในใจของจูรุ่ยก็รู้สึกมีความหวังผุดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากจิงเหวินรุ่ยมาหาเธอที่นี่จริง ๆ เขาจะหาทางมาพบเธอได้หรือเปล่า?
แต่ขณะที่จูรุ่ยกำลังนึกคิด จู่ ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ราวกับมีคนกำลังเข้ามาใกล้
“ชู่ว… คุณจูรุ่ยไม่ต้องกลัวนะครับ คุณถังเป็นคนสั่งให้ผมมาที่นี่”
จูรุ่ยหันมองก่อนจะเห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เธอขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถาม “คุณเป็นใคร” เธอกับผู้ชายตรงหน้าไม่เคยเจอกันมาก่อน
“ผมเป็นผู้คุ้มกันลับของคุณถังซวง วันนี้หลังจากคุณถังมาที่นี่ พวกเขาขอให้ผมมาหาคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณอยู่ในบ้านตระกูลจู ตอนนี้คุณถังขอให้พวกเราพาคุณออกจากที่นี่ครับ”
เหลิ่งตงเห็นความกังวลในแววตาของจูรุ่ย เขาจึงหยิบยกบางเรื่องราวเมื่อครั้งจูรุ่ยไปเมืองหลวงขึ้นมาเพื่อยืนยัน
จูรุ่ยไม่เคยรู้จักกับเหลิ่งตง คราวแรกเธอไม่เชื่อ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็เชื่อเขาสนิทใจ “ดีจัง ในที่สุดก็มีคนมาช่วยฉันสักที แต่ว่าพวกเรา… จะออกไปตอนนี้เลยหรือ?”
“ใช่ครับ เราจะออกไป เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
จูรุ่ยพยักหน้ารับทันที
มีคนเฝ้าที่นี่มากมาย แต่โชคดีที่ถังสือจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลิ่งตงกับคนอื่น ๆ จึงสามารถอุ้มจูรุ่ยออกไปอย่างง่ายดาย
“ท่านผู้นำตระกูล เราพาเธอกลับมาแล้วครับ”
ถังสือพาจูรุ่ยมาที่ตระกูลเฮ่อ พวกเขาวางเธอลงตรงหน้าถังซวงโดยตรง
ก่อนถังซวงจะทันได้พูดอะไร จิงเหวินรุ่ยกลับพุ่งตัวเข้าไปหาจูรุ่ยเสียแล้ว เขามองใบหน้าซีดเซียวและอ่อนแรงของเธอด้วยความทุกข์ใจ “เสี่ยวรุ่ย… คุณ… คุณเป็นยังไงบ้าง?”
ดวงตาของจูรุ่ยเปล่งประกาย เป็นจิงเหวินรุ่ยจริง ๆ…
“เหวินรุ่ย คุณมาที่นี่”
“ครับ ผมมาแล้ว ขอโทษที่มาช้านะ”
จูรุ่ยส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่… ไม่ช้าหรอก ฉันดีใจที่คุณมา”
เห็นจูรุ่ยไม่มีแรงแม้แต่จะพูดกล่าว จิงเหวินรุ่ยก็มองถังซวง “ซวงเอ๋อร์ ทำไมเสี่ยวรุ่ยถึงอ่อนแรงขนาดนี้”
ถังซวงนึกคิดในใจ… ก็พี่ขวางทางฉันอยู่ไง ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงได้จับชีพจรให้เธอไปแล้ว! แต่ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เธอเริ่มตรวจสอบชีพจรของจูรุ่ยอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะเขียนใบสั่งยาให้ แต่ตอนนี้ต้องรีบให้เธอกินข้าวก่อน เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย”
ได้ยินอย่างนั้นดวงตาของจูรุ่ยเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด
“จูเหลียนกลั่นแกล้งฉันตลอด บางวันเธอก็ไม่ให้อาหารฉัน ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ออกมาจากที่นั่น ฉันคงไม่ได้กินข้าวอีกหนึ่งวัน”
“อะไรนะ… ครอบครัวของคุณทำแบบนี้ได้ยังไง เขาไม่ให้คุณกินอาหารเลยหรือ!”
จิงเหวินรุ่ยรู้สึกว่าไฟโกรธกำลังโหมไหม้ร่างกายของเขา คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตระกูลจูจะกล้าทำแบบนี้
ได้ยินอย่างนั้น จูรุ่ยเผยสีหน้าเย้ยหยัน “หึ… ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้ และเพื่อไม่ให้ฉันหลบหนี พวกเขาเลยวางยาฉัน”
พานลี่ฮวาที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินว่าจูรุ่ยยังไม่ได้กินอาหาร เธอจึงรีบเข้าครัวเพื่อไปเตรียมการ
ถังซวงเขียนใบสั่งยา หลังเขียนเสร็จแล้ว ก็ส่งให้ถังชุนหยาน “ชุนหยาน เดี๋ยวเธอไปที่ร้านขายยาแล้วซื้อยาพวกนี้กลับมานะ”
ถังชุนหยานได้ยินแล้วพยักหน้ารับ “ค่ะ เดี๋ยวฉันจะขอให้คุณป้าพาไป”
ตระกูลเฮ่อมีป้าคนครัวมากมาย ถังชุนหยานจึงให้หนึ่งในนั้นพาเธอออกไปทันที แล้วเมื่อกลับมา เธอก็รีบต้มยาอย่างรวดเร็ว
ส่วนพานลี่ฮวาที่เข้ามาในครัว เธอให้ป้าคนครัวปรุงบะหมี่หนึ่งชาม “จูรุ่ย กินบะหมี่ก่อนเถอะ แล้วเย็นนี้ฉันจะเตรียมของอร่อยไว้ให้”
ตอนนี้จูรุ่ยหิวมาก แม้เพียงบะหมี่หนึ่งชามเธอก็รู้สึกดีขึ้นได้
“ขอบคุณค่ะคุณพาน”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก รีบกินเข้าเถอะ”
จูรุ่ยคว้าตะเกียบด้วยมือสั่นเทา และพยายามจะกินมัน แต่มือของเธอไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะจับตะเกียบเอาไว้ด้วยซ้ำ
จูรุ่ยรู้สึกเขินอายที่เขาทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถจะกินได้ด้วยตัวเอง จึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “ค่ะ”
จิงเหวินรุ่ยป้อนบะหมี่จูรุ่ยทีละคำด้วยความระมัดระวัง
พานลี่ฮวาที่เห็นความหวานชื่นของคนหนุ่มสาวก็ปิดปากหัวเราะ “โอ้ พวกเธอคงจะต้องรีบหาฤกษ์แต่งงานให้เร็วที่สุดแล้วแหละ”
จิงเหวินรุ่ยกับจูรุ่ยไม่ปฏิเสธ แถมใบหน้าของพวกเขาแดงเรื่อขึ้นมา
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
พานลี่ฮวาเหลือบมองถังซวงก่อนจะกระซิบแผ่วเบา “ซวงเอ๋อร์ เราไปคุยกันด้านนอกเถอะ ให้เหวินรุ่ยกับเสี่ยวรุ่ยทานข้าวก่อน”
ถังซวงพยักหน้า
จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยเองก็เขินอาย แต่ก่อนที่พวกเขาจะพูดโต้ตอบ ถังซวงและพานลี่ฮวาก็จากไปแล้ว
“เสี่ยวรุ่ย กินข้าวต่อเถอะ”
“อื้ม”
จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยเริ่มกลับมากินต่ออย่างช้า ๆ อีกครั้ง
หลังจากจูรุ่ยกินบะหมี่เสร็จแล้ว ถังชุนหยานก็ต้มยาเสร็จพอดี และรีบเอามันมาให้จูรุ่ยดื่ม “เสี่ยวรุ่ย หลังจากดื่มยาแล้วต้องนอนพักนะ พอตื่นขึ้นมาเธอจะรู้สึกดีขึ้น”
จูรุ่ยพยักหน้ารับอย่งรวดเร็ว “ขอบคุณนะชุนหยาน”
ชุนหยานยิ้มพร้อมกับโบกมือ “พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องขอบคุณหรอก พักผ่อนเถอะ”
พานลี่ฮวาเตรียมห้องให้จูรุ่ยแล้ว เธอพูดกับจิงเหวินรุ่ยว่า “เหวินรุ่ย พาเสี่ยวรุ่ยไปพักผ่อนเถอะ”
“ครับ”
จิงเหวินรุ่ยได้ยินอย่างนั้นก็รีบพาเธอไปพัก
ส่วนจูเหลียนไม่รู้เลยว่าจูรุ่ยหลบหนีออกไปได้แล้ว ตอนนี้เธอกำลังทานอาหารรสเลิศตรงหน้า ยกยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อคิดไปว่าจูรุ่ยไม่ได้กินอะไร
เวลานี้หร่วนปี้เฟิงเดินเข้ามาและเห็นว่าลูกสาวกำลังยกยิ้มมีความสุข เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีเรื่องอะไรดี ๆ หรือจ๊ะ? ทำไมถึงยิ้มหน้าบานขนาดนั้น”
“แม่คะ หนูไม่ให้คนเอาอาหารเข้าไปให้จูรุ่ย เพราะวันนี้ยัยนั่นตำหนิหนู หนูก็เลยสั่งสอนบทเรียนสักหน่อย”
หร่วนปี้เฟิงตอบกลับอย่างไม่แยแส “อื้ม ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้หิวไปอย่างนั้น แค่อย่าฆ่าก็พอ”
“ค่ะ”
เมื่อคุณชายจูกลับมา เขาพูดถึงจูรุ่ย
“วันนี้จูรุ่ยเริ่มสงบลงบ้างหรือยัง? ถ้าเธอเริ่มสงบลงแล้ว ก็ปล่อยออกมาได้แล้วมั้ง”
ดวงตาของจูเหลียนวูบไหวก่อนจะพูดว่า “พ่อคะ พี่สาวของหนูไม่อยากจะแต่งงานกับตระกูลหลี่มาก ๆ เลยนะ … เราจะปล่อยเธอออกมาไม่ได้นะคะ”
“ฮึ่ม… นังลูกไม่รักดี ทำไมถึงโง่ได้ขนาดนี้นะ?”
ขณะพูดอย่างนั้น พ่อจูเดินตรงไปยังห้องของจูรุ่ยทันที
และจูเหลียนกับหร่วนปี้เฟิงรีบติดตามไป
“เปิดประตู!”
“ครับ”
หลังจากที่คนเฝ้าประตูเปิดประตูออก พ่อจูและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาด้านใน แต่พอสายตากวาดไปทั่วเห็นเพียงความว่างเปล่า พ่อจูตะโกนด้วยความโกรธจัด “เธอหายไปไหน…”