การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 592 บทใหญ่ (2)
บทที่ 592 บทใหญ่ (2)
โม่เจ๋อหยวนคิดถึงถังซวงมาก ไม่คิดจะบ่นเรื่องนั้นอีกต่อไป และนั่งลงข้างเธอ ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองก่างเฉิงบ้าง
จิงเจ้อหรงกลับมาถึงบ้านเป็นคนสุดท้าย และทุกคนในตระกูลจิงก็ทานอาหารร่วมกันท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น
วันต่อมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถังซวงพักผ่อนอยู่ที่บ้านสองวัน เมื่อถึงวันจันทร์ เธอก็กลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย
ต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านดีใจมากเมื่อเห็นว่าถังซวงกลับมาแล้ว
“ถังซวง ในที่สุดเธอก็มาเรียนสักที ลาไปไหนมาตั้งหลายวันเนี่ย?”
ถังซวงยกยิ้มและไม่ตอบอะไรมากมายนัก เพียงบอกแค่ว่ามีเรื่องต้องทำที่นอกเมืองเท่านั้น
ต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านจึงไม่คิดถามอะไรอีก
ทั้งสองบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ให้ฟัง
ตอนท้ายของประโยค ทั้งสองขยับเข้าใกล้ถังซวงก่อนจะกล่าวกระซิบแผ่วเบา “ถังซวง มีเรื่องหนึ่งที่เธอคงจะคิดไม่ถึง”
“ทำไมหรือ?”
ถังซวงถามกลับอย่างให้ความร่วมมือ
ต้วนเฟิ่งหยิงยิ่งอยากซุบซิบมากขึ้น “ติงไหลตี้มีคนรักแล้ว แถมคนรักของหล่อนอายุมากกว่าด้วย ไม่รู้เลยว่าสองคนนั้นเจอกันได้ยังไง”
ถังซวงที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสงสัย
“อายุมาก? พวกเธอเคยเห็นเขาไหม?”
ต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านพยักหน้าทันที “พวกเราเคยเห็นเขาแล้ว ช่วงหลัง ๆ มานี้ มีผู้ชายชอบมารับติงไหลตี้ คราวแรกพวกเรายังไม่รู้หรอก แต่ว่าเพื่อนร่วมห้องของติงไหลตี้บอกมาน่ะ”
ทั้งหมดประหลาดใจเมื่อรู้เรื่องนี้ครั้งแรก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องซุบซิบทั่วไป
ถังซวงเองก็นึกประหลาดใจด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายเธอก็แค่รับฟังและปล่อยผ่าน
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน นักศึกษาคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้อง
สายตาของถังซวงเบิกกว้างเมื่อเห็นเหยาหงเดินเข้ามา
ทั้งสองไม่ได้พบเจอกันเสียนาน เหยาหงน้ำหนักลดลงไปมากจนแทบจำไม่ได้
“เฟิ่งหยิง หวานหว่าน เหยาหงเป็นอะไรน่ะ? ทำไมซูบผอมแบบนั้น หน้าตาก็ดูไม่ดีเท่าไหร่เลย”
ต้วนเฟิ่งหยิงถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ฉันรู้มาว่าเหยาหงแต่งงานแล้ว และยังมีสามีกับลูกที่เข้าเมืองหลวงมาพร้อมกันด้วย แต่ชีวิตในเมืองหลวงไม่ง่ายเลยนะ ทั้งสามคนอยู่กันอย่างลำบาก โชคดีมากที่เหยาหงได้ทุน ไม่อย่างนั้นชีวิตของเธออาจจะยากเย็นกว่านี้อีก ฉันรู้มาว่าลูกของเธอกำลังป่วยและยังไม่หายดี เหยาหงต้องยุ่งกับการเรียนและต้องดูแลครอบครัวไปด้วย น้ำหนักของเธอเลยลดลงไปน่ะ”
ถังซวงขมวดคิ้วหลังได้ยินอย่างนั้น เอ่ยปากถามว่า “ลูกของเหยาหงป่วยเป็นอะไรหรือ?”
ต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านส่ายศีรษะ “พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องนี้หรอก เหยาหงไม่เคยบอกอะไร ไม่ค่อยพูดถึงครอบครัวของตัวเองเลย แถมในกลุ่มพวกเรา เธอแก่ที่สุดแล้วยังแต่งงานแล้วด้วย”
ต้วนเฟิ่งหยิงกระซิบอีกครั้ง “ฉันได้ยินมาว่าเหยาหงกับสามีตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวแล้ว เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงไหม แต่ฉันก็ได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของเหยาหงน่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริง ทั้งสามคนคงจะใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างยากลำบาก ทั้งโดดเดี่ยวและไร้หนทาง มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะ”
ต้วนเฟิ่งหยิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นว่า “แล้วทำไมเหยาหงถึงดื้อรั้นแบบนั้นล่ะ? หวานหว่านกับฉันต่างก็รู้ถึงสถานการณ์ของเธอดี พวกเราเลยรวบรวมเงินกันแล้วมอบให้เธอ แต่เธอก็ไม่รับมันไว้”
เจียนหวานหว่านส่ายศีรษะ “ใช่ ฉันบอกว่าไม่ต้องคืน แต่เธอก็ไม่รับมัน”
ถังซวงหันมองทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยปากถาม “เธอบอกแบบนั้นหรือ?”
“ใช่ เหยาหงดื้อมาก ไม่อยากได้เงินทั้งที่ตัวเองก็แย่มากขนาดนี้”
ต้วนเฟิ่งหยิงไม่เข้าใจเลย
ถังซวงมองทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “ถ้าเธอสองคนพูดออกไปอย่างนั้น เหยาหงไม่รับมันแน่นอน เธอควรบอกว่าเงินจำนวนนี้แค่ให้ยืม ในอนาคตถ้าหากเหยาหงมีเงินแล้ว ก็นำมันมาคืนเท่านั้น”
หลังได้ยินแล้ว ต้วนเฟิ่งหยิงตบหน้าผากของตัวเอง “โอ้ย… ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ”
เจียนหวานหว่านเองก็ถอนหายใจ “ใช่ ฉันก็ลืมคิดไปเลย… เดี๋ยวฉันจะลองถามเหยาหงอีกครั้งว่าเธอจะยืมเงินพวกเราไหม”
“อื้ม”
ต้วนเฟิ่งหยิงคิดว่าคงจะดีหากลองถามอีกครั้ง เพราะยังไงพวกเธอก็อยู่ในหอพักเดียวกัน และในห้องเหลือเพียงสามคน ทั้งสามจึงค่อนข้างสนิทกันมาก
ถังซวงพูดขึ้นว่า “เอาละ ไว้ฉันมาคุยด้วยหลังจากคุยกับเหยาหงเสร็จแล้ว”
แต่ยังไม่ทันทำอะไร ระหว่างนั่งเรียน เหยาหงหมดสติไปแล้ว
“นี่… เหยาหงเป็นอะไรน่ะ”
“ทำไมถึงเป็นลมได้ล่ะ”
“นี่… เร็วเข้า ช่วยกันพาเธอไปห้องพยาบาล!”
นักศึกษาที่อยู่รอบ ๆ ตื่นตระหนก แม้แต่อาจารย์ที่กำลังบรรยายเองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกไปด้วย
ถังซวงไม่คิดว่าเหยาหงจะเป็นลมระหว่างการเรียน เธอลุกขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าไปทันที “ทุกคนถอยออกไป อย่าบังอากาศตรงนี้ เปิดทางให้อากาศถ่ายเทที่สุด”
ได้ยินคำพูดของถังซวง ทุกคนรีบถอยออกไปทันที
ถังซวงเห็นทุกคนแยกย้ายไปแล้ว เธอก้าวไปตรวจสอบชีพจรของเหยาหง
อาจารย์และนักศึกษาที่อยู่รอบ ๆ ประหลาดใจมากเมื่อเห็นถังซวงทำแบบนั้น “ถังซวง เธอกำลังตรวจชีพจรงั้นหรือ?”
ถังซวงไม่ปฏิเสธ ตอบกลับตามตรง “ค่ะ ฉันเรียนรู้ทักษะจากผู้อาวุโสของตระกูลมานิดหน่อย”
คนอื่น ๆ เงียบปากลง เฝ้ามองถังซวงอย่างใจจดจ่อ
หลังจากถังซวงดึงมือกลับมา เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เหยาหงไม่เป็นไรหรอก เธอแค่พักผ่อนน้อยน่ะ ให้เธอกลับไปพักสักหน่อยแล้วกัน”
อาจารย์เอ่ยปากถามขึ้นมา “ไม่มีอะไรผิดปกติจริง ๆ หรือ? จะให้ฉันส่งเธอไปโรงพยาบาลไหม?”
“อาจารย์ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่มีอะไรจริง ๆ เหยาหงแค่เหนื่อยมาก เลยเป็นลมไป”
ได้ยินอย่างนั้น ทุกคนก็โล่งใจ
ถังซวง ต้วนเฟิ่งหยิง และเจียนหวานหว่านพาเหยาหงกลับไปที่หอพัก
หลังจากเหยาหงตื่นขึ้นมาแล้ว เธอเห็นถังซวงและคนอื่น ๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองกลับมานอนที่หอพัก “ฉัน… เกิดอะไรขึ้น?”
“จู่ ๆ เธอก็หมดสติไปน่ะ พวกเราเลยพาเธอกลับมาที่นี่”
เหยาหงรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณพวกเธอมาก”
พอเหยาหงจะลุกขึ้น ถังซวงก็กดให้เธอนอนลง และพูดต่อว่า “อย่าเพิ่งขยับตัว ร่างกายของเธออ่อนแอมาก นอนนิ่ง ๆ ไว้ก่อน”
“แต่… พวกเราต้องไปเรียน”
ก่อนถังซวงจะได้ตอบกลับ ต้วนเฟิ่งหยิงก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ร่างกายของเธอกับการเรียน อะไรสำคัญกว่ากันฮะ? หรือเธออยากเป็นลมอีก?”