การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 609 การตอบโต้ของถังเซวี่ย (1)
บทที่ 609 การตอบโต้ของถังเซวี่ย (1)
หลังจากหัวเทียนจางพูดออกมาอย่างนั้น เขาก็สั่งให้ใครบางคนไปเรียกถังเซวี่ย
ถังเซวี่ยคาดเดาบางอย่างได้ พอได้ยินว่าหัวเทียนจางส่งคนมาเรียกหา เธอจึงลุกขึ้นและเตรียมจะเดินออกไป
แต่ถังเซวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย
เฟิงเยี่ยหานเห็นอย่างนั้นแล้วก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวเซวี่ย ถ้าคุณไม่สบายใจ ผมกับโม่เจ๋อหยวนจะไปด้วย”
ถังเซวี่ยหันมายิ้ม “ตกลงค่ะ”
ทั้งสี่คนมาถึงห้องโถงประชุม พวกเขาเห็นว่าหัวเทียนจางและชายชรากลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งหมดหันมองถังเซวี่ยด้วยแววตาลุกโชนราวกับว่าเห็นดอกไม้ไฟปะทุขึ้นในร่างกายของเธอ
หัวเทียนจางที่เห็นว่ามีคนที่ไม่ได้รับเชิญมาด้วย เขายิ้มก่อนจะกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ทำไมมากันหมดเลยล่ะ? พวกเราแค่ต้องการรับชมพรสวรรค์ของเสี่ยวเซวี่ยเท่านั้น”
“คุณทวดคะ พวกเขาจะอยู่เงียบ ๆ และไม่รบกวนพวกคุณค่ะ”
ก่อนหัวเทียนจางจะตอบกลับ ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล เรามาดูพรสวรรค์ของคุณหนูถังเซวี่ยกันก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับในตำนานที่บอกเล่าไหม”
ได้ยินแล้วคนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับทันที “ใช่ เราเริ่มกันเลย”
หัวเทียนจางจึงโบกมือให้ถังเซวี่ยเดินเข้ามาหา
ถังเซวี่ยก็เดินไปที่หัวเทียนจาง และพูดว่า “คุณทวดคะ ก่อนหน้านี้หนูบอกไปแล้วไม่ใช่หรือคะว่าหนูไม่รู้สึกถึงอะไรเลย อีกอย่างหนูก็สัมผัสอะไรไม่ได้ด้วย การเรียกหาหนูตอนนี้น่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไรนะคะ”
หัวเทียนจางหันมองเหล่าชายชราก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณเองก็ทราบว่าพรสวรรค์เช่นนี้จะแสดงออกมาได้เป็นบางครั้ง แล้วเราจะทดสอบยังไงล่ะ?”
ทุกคนขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มหารือกัน
“ใช่ โชคจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อพบเจอสถานการณ์คับขัน ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน ต่อให้ต้องการเห็นโชคดีของคุณหนูถังเซวี่ย พวกเราก็คงไม่รับรู้อะไร”
“โอ้… ฉันก็ลืมเรื่องนั้นไปเลย ก่อนหน้านี้ฉันก็แค่อยากจะเห็นพรสวรรค์ของคุณหนูถังเซวี่ยเร็ว ๆ ดูเหมือนพวกเราจะลืมคิดเรื่องนี้ไปแฮะ”
“อื้ม ใช่ ๆ”
เห็นอย่างนั้นแล้วถังซวงหันมองหัวเทียนจางก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “คุณทวดคะ แล้วตระกูลหัวไม่มีวิธีการในการตรวจสอบความสามารถเหล่านี้เลยหรือคะ? อย่างนี้จะตัดสินยังไงว่าลูกหลานของตระกูลหัวมีพรสวรรค์หรือไม่?”
“ไม่มีวิธีการเฉพาะหรอก แต่จะรู้ได้เมื่อเวลาผ่านไปสักหน่อย มันจะปรากฏออกมาเอง”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วถังซวงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ เธอเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน ใครใช้ให้พรสวรรค์ของตระกูลหัวลึกลับขนาดนี้เล่า? นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะตัดสินได้เลย
ขณะนั้น ชายชราคนหนึ่งยืนขึ้นก่อนจะหันมองหัวเทียนจางแล้วพูดว่า “ผู้นำตระกูล ผมมีเรื่องต้องทำจึงขอตัวออกไปก่อน และจะกลับมาในดึกวันนี้ เราค่อยหารือเรื่องเหล่านั้นต่อไปเถอะ” พูดจบ เขาก็พร้อมที่จะออกไป
เวลานั้นเองที่ถังเซวี่ยหยุดเขาเอาไว้
“ผู้เฒ่าสามคะ วันนี้คุณไม่ควรออกไปข้างนอกนะคะ ฉันว่าอยู่บ้านดีกว่าค่ะ” ถังเซวี่ยจำผู้เฒ่าคนนี้ได้ หัวเทียนจางเคยแนะนำเมื่อครั้งที่มายังตระกูลหัว เธอจึงเรียกเขาว่าผู้เฒ่าสาม
หัวเหวินปินที่กำลังจะเดินออกไปหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงถังเซวี่ยร้องทัก
“คุณหนูถังเซวี่ย ทำไมพูดแบบนั้นเล่า? ทำไมฉันถึงจะออกไปข้างนอกไม่ได้?”
ถังเซวี่ยทำได้เพียงส่ายศีรษะ “ผู้เฒ่าสาม ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าวันนี้คุณไม่ควรออกไปข้างนอก อย่างนั้นอย่าออกไปเลยนะคะ”
แต่หัวเหวินปินไม่สนใจคำพูดของถังเซวี่ย
ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินหัวเทียนจางบอกว่าถังเซวี่ยมีพรสวรรค์ เขาเองก็อยากจะระเบิดหัวเราะแทบบ้า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหัวไม่เคยมีลูกหลานที่ครอบครองพรสวรรค์แห่งความโชคดี อีกทั้งในยุคปัจจุบันนี้มันยิ่งดูเป็นเรื่องไร้สาระมากขึ้นทุกที
ดังนั้นเมื่อหัวเทียนจางบอกกล่าวว่าหลานสาวของตนมีพรสวรรค์ เขาจึงไม่คิดเชื่อแม้แต่น้อย เวลานี้ยิ่งได้ยินถังเซวี่ยร้องทัก เขายิ่งไม่สนใจ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะรีบไปแล้วรีบกลับมา” จากนั้นเขาเดินออกไปทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ
เห็นว่าหัวเหวินปินเดินออกไป หัวเทียนจางรีบตะโกน “เหวินปิน ฟังที่เสี่ยวเซวี่ยพูดเถอะ วันนี้อย่าออกไปข้างนอกเลย”
“ผู้นำตระกูล วันนี้ผมมีบางอย่างต้องทำ และเป็นเรื่องสำคัญมาก” หัวเหวินปินตอบกลับ พร้อมเร่งฝีเท้า
หัวเทียนจางเห็นว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจสิ่งที่ถังเซวี่ยพูด เขาจึงทำได้เพียงบ่นออกมา “สัมผัสของเสี่ยวเซวี่ยยอดเยี่ยมมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เชื่อนะ”
แม้หัวเทียนจางจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครคิดสนใจ เพราะพวกเขาไม่คิดว่าถังเซวี่ยจะครอบครองพลังเช่นนั้นได้ ทั้งหมดหันกลับมาหาหัวเทียนจางก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผู้นำตระกูล เราควรตกลงกันให้ดีว่าจะทำอย่างไรจึงจะทราบข้อเท็จจริงเรื่องพรสวรรค์ของคุณหนูถังเซวี่ย”
หัวเทียนจางตอบกลับเพียงแค่ “รอเหวินปินกลับมา พวกเราคงทำได้แค่นี้”
เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากหัวเหวินปินออกไปข้างนอกในวันนี้
ถังเซวี่ยบอกกล่าวอีกฝ่ายว่าไม่ให้ออกไป แต่เขาก็ยังจะจากไป แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่ใช่ธุระใดของถังเซวี่ยที่ต้องเตือน
ได้ยินแล้วทุกคนยืนขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ถ้าหากเราต้องรอให้เหวินปินกลับมา อย่างนั้นเราจะขอตัวออกไปก่อน แล้วจะกลับมาหารือร่วมกันอีกครั้งหลังจากเขากลับมาได้ไหม”
หัวเทียนจางทราบถึงความคิดของทุกคน เขาไม่คิดฉุดรั้งใครเอาไว้ “เอาละ เราค่อยพูดคุยกันหลังจากเหวินปินกลับมาแล้วกัน”
หลังพูดอย่างนั้น ทุกคนก็เดินจากไป
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว หัวเทียนจางหันมองถังเซวี่ยก่อนจะกล่าวอย่างอดไม่ได้ “เสี่ยวเซวี่ย ทวดขอโทษนะ คนพวกนั้นเขาไม่เชื่อ และทวดไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของเหลนได้เลย”
ถังเซวี่ยรีบตอบกลับ “คุณทวดคะ เรื่องนี้จะตำหนิคุณได้ยังไง แม้แต่ตัวหนูเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองเลยค่ะ”
ถึงอย่างนั้น หัวเทียนจางก็ยกยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เสี่ยวเซวี่ย แต่ทวดเชื่อเหลนนะ” ในตอนท้าย หัวเทียนจางหันมองถังซวงและพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ พวกเหลนก็กลับไปก่อนเถอะ ทวดจะไปจัดการบางอย่างและจะรอจนกว่าหัวเหวินปินจะกลับมา”
“ค่ะ”
พอผ่านช่วงบ่าย หัวเหวินปินกลับมา
ทันทีที่เขากลับมา เขารีบเร่งมาพบกับหัวเทียนจางด้วยสีหน้าหลากอารมณ์ “ผู้นำตระกูล คุณหนูถังเซวี่ยอยู่ที่ไหน ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
หัวเทียนจางเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าหน้าผากของหัวเหวินปินมีผ้าก๊อซสีขาวพันไว้รอบ และยังมีเลือดซึมออกมา
“เหวินปิน คุณไปโดนอะไรมา?”
หัวเหวินปินส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ผู้นำตระกูล ตอนออกไปด้านนอกผมประสบกับเรื่องเสี่ยงตาย จึงได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ซ่อนตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงรอดชีวิตกลับมาไม่ได้”