การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 61 ฝากดูแล(รีไรท์)
บทที่ 61 ฝากดูแล(รีไรท์)
บทที่ 61 ฝากดูแล(รีไรท์)
เมื่อเห็นหลี่จงอี้ โม่เจ๋อหยวนก็รีบเข้าไปหาและเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับคุณปู่หลี่”
ด้านหลินหมิงซู่ยิ้มและกล่าวทักทายเช่นกัน “สวัสดีครับลุงหลี่”
“อาหยวนกับหมิงซู่มาแล้วหรือ? เข้ามา ๆ นั่งลงก่อน ฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้หมิงซู่ช่วยติดต่อโรงเรียนให้พวกถังซวง ขอบคุณมากเลยนะ”
หลินหมิงซู่โบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อเขาได้ยินดังนั้นและพูดว่า “ลุงหลี่พูดอะไรน่ะครับ เราทุกคนเป็นญาติและเพื่อนกันทั้งนั้น ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ซวงเอ๋อร์ก็เคยช่วยชีวิตเจ๋อหยวนมาก่อน ถึงจะนับรวมเรื่องนี้ไปด้วย เราก็เป็นหนี้เธอมากกว่าอยู่ดี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ได้ ๆ งั้นฉันจะไม่พูดอีกแล้ว”
หลี่จงอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ และเอ่ยชวนให้หลินหมิงซู่ดื่มชาด้วยกัน “มาเถอะหมิงซู่ ชาที่อาหลานชงรสชาติดีมาก เธอรีบมาดื่มชาเถอะ”
ด้านเฮ่อหลานก็ได้หั่นผลไม้แล้วนำออกมาให้ทุกคนได้กิน “หมิงซู่ เจ๋อหยวน พวกคุณกับลุงหลี่คุยกันไปก่อนนะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว”
“พี่หลาน ทำอาหารที่พี่สะดวกและอยากกินเถอะครับ พี่จะได้ไม่ต้องทำเยอะและเหนื่อยเกินไป”
เฮ่อหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เยอะไปหรอก อาหารพวกนี้เหลือแค่ปรุงเท่านั้น อีกไม่นานก็จะเสร็จแล้ว” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ไปที่ห้องครัวต่อ
ถังซวงและถังเซวี่ยเองก็อยู่ช่วยในครัวเช่นกัน
ถังซวงยกอาหารหลายจานมาที่โต๊ะ เธอใช้โอกาสนี้ไปตลาดมืด เพื่อซื้อไก่ เป็ด ปลา และอาหารทะเลต่าง ๆ ดังนั้นอาหารกลางวันมื้อนี้จึงหลากหลายมาก ทั้งกุ้งอบเกลือ หอยอบหิน ไก่ตุ๋นเห็ด เป็ดซอสหม่าล่าเปรี้ยวหวาน หัวสิงโตตุ๋น กะหล่ำปลีผัดและซุปผัก ส่วนของหวานก็มีเค้กน้ำตาลทรายแดงและบัวลอยงาดำ
เมื่อเห็นอาหารมากมาย หลินหมิงซู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่หลาน พี่ทำมามากเกินไปแล้วนะครับ”
มื้ออาหารบนโต๊ะนี้ดีเกินกว่าที่กินในช่วงตรุษจีนเสียอีก หลินหมิงซู่และโม่เจ๋อหยวนไม่ได้คาดหวังว่าอาหารกลางวันจะมากมายขนาดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
“อาหารพวกนี้ซวงเอ๋อร์เป็นคนเตรียมมาน่ะ เธอกับเสี่ยวเซวี่ยมีความสุขมากที่ได้เรียนหนังสือ เลยอยากขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ วันนี้พวกเธอต้องกินเยอะ ๆ นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เจ๋อหยวนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังซวงอีกครั้ง
กว่าจะได้อะไรมามากมายเช่นนี้นั้นไม่ง่ายเลย เขาก็ไม่รู้ว่าสาวน้อยทำได้อย่างไร
หลินหมิงซู่ที่อยู่ด้านข้างก็มองไปที่ถังซวงอีกครั้ง โดยคิดว่าเด็กสาวคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ หากแต่เขาไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก แต่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ถังซวงเอ่ยกับหลี่จงอี้เพื่อชวนเขารับประทานอาหาร
“เอาล่ะ ยัยหนูซวง เสี่ยวเซวี่ย พวกเธอควรกินมากกว่านี้นะ การอ่านหนังสือต้องใช้สมองเยอะ ดังนั้นต้องชดเชยนะ”
ถังซวง ถังเซวี่ยและโม่เจ๋อหยวนต่างอยู่ในวัยกำลังโต ดังนั้นพวกเขาจึงกินกันเยอะมาก และแล้วอาหารหลากหลายอย่างบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง
หลังมื้ออาหาร ทุกคนก็มานั่งคุยกัน หลินหมิงซู่อดไม่ได้ที่จะแนะนำว่า “พี่หลาน ในเมื่อซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ยกำลังจะไปเรียนมัธยมต้นในตำบล ถ้าอย่างนั้นพี่เช่าบ้านในตำบลดีไหม? ถ้าแบบนั้นการเดินทางไปกลับจากโรงเรียนจะสะดวกกว่ามากเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จงอี้ก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ๆ เช่าบ้านในตำบลจะดีกว่านะ เธอจะได้ประหยัดเวลาไปโรงเรียนมากขึ้น ไม่อย่างนั้นยัยหนูซวงและเสี่ยวเซวี่ยจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวันและต้องเดินเท้าต่อ ถ้าพวกเธอเหนื่อยเกินไปก็อาจทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนได้”
เดิมทีเฮ่อหลานคิดว่าการเช่าบ้านในตำบลนั้นมันแพงเกินไป หากแต่หลังจากได้ยินคำพูดของหลี่จงอี้ เธอรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล เธอจึงมองไปที่หลี่หมิงซู่และถามว่า “คุณหมิงซู่คะ ตอนนี้คุณเช่าบ้านในตำบลอยู่ ค่าเช่าทั่วไปเดือนละเท่าไหร่หรือคะ?” ถ้าเป็นราคาที่เธอจ่ายไหว เธอคงต้องเช่าบ้านในตำบลเพื่อให้ลูกสาวสองคนของเธอได้เรียนหนังสืออย่างสะดวก
“ปกติเดือนละยี่สิบถึงสามสิบหยวนครับ ขึ้นอยู่กับขนาดของบ้านน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อหลานก็คำนวณอย่างถี่ถ้วน และในที่สุดก็พยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ งั้นเราไปในตำบลกันเถอะ เพื่อดูว่าเราจะหาเช่าบ้านข้าง ๆ โรงเรียนได้ไหม” เธอที่ทำงานปักผ้าอย่างหนัก ทำให้เธอมีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านในตำบลได้
ในทางกลับกัน ถังซวงรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าหากซื้อบ้านในตำบลไปเลย แต่ตอนนี้มีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยมาก ดังนั้นเธอจึงต้องดูว่ามีบ้านที่เหมาะสมหรือไม่ และถ้ามีเธอก็จะซื้อมัน
หลังจากคุยกันสักพัก หลินหมิงซู่ก็ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า เขามองไปที่หลี่จงอี้และสอบถาม “ลุงหลี่ครับ ผมจะต้องเดินทางไกลในอีกสองวัน ผมเลยอยากถามว่าผมจะให้เจ๋อหยวนอยู่กับคุณสักสองสามวันได้ไหมครับ?”
หลี่จงอี้พยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ได้เลย ไม่มีปัญหา ตราบใดที่เจ๋อหยวนไม่มีปัญหากับสภาพความเป็นอยู่ในที่ของฉันน่ะนะ”
“คุณปู่หลี่ ผมคิดว่าบ้านของคุณปู่ดีมากเลยครับ ทำไมผมจะไม่ชอบมันล่ะ ผมต่างหากที่ทำให้คุณปู่ต้องลำบากใจ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ถือเป็นเรื่องดีที่เจ๋อหยวนไม่รังเกียจนะ งั้นเธอก็มาอยู่กับฉันได้เลย” หลี่จงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลินหมิงซู่แล้วถามว่า “หมิงซู่ไปที่ไหนหรือ? ไปหาปู่ของเจ๋อหยวนกับพ่อแม่ของเขาหรือเปล่า?” เดิมทีเขาจะไม่ถามอะไรมาก แต่เมื่อนึกถึงชายชราที่เขาไม่เจอมาหลายปี เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
ด้านหลินหมิงซู่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พยักหน้าและพูดว่า “ครับ ผมจะไปหาคุณโม่ พี่สาวและพี่เขยหน่อยน่ะครับ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมจึงต้องใช้เวลามากในการไปที่นั่น เลยอยากฝากเจ๋อหยวนให้คุณช่วยดูแลหน่อยครับ”
“งั้น… ช่วยเอาของไปฝากหยานซงหน่อยได้ไหม เราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว”
หลินหมิงซู่ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนครับ แต่ไม่ต้องเตรียมของมากเกินไปนะครับ ถ้าเอาไปมากเกินไปผมอาจจะเอาไปได้ไม่หมด”
“ได้ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว”
เฮ่อหลานได้ยินว่าช่วงนี้โม่เจ๋อหยวนจะอาศัยอยู่ที่บ้านของหลี่จงอี้ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะแนะนำว่า “ลุงหลี่คะ งั้นคุณกับเจ๋อหยวนไม่ต้องทำอาหารเองหรอกค่ะ มากินที่นี่ทุกมื้อได้เลยนะคะ ยังไงเราก็อาศัยอยู่ไม่ไกลกันด้วย” หมู่บ้านเถาฮวาและหมู่บ้านตระกูลหลี่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ดวงตาของโม่เจ๋อหยวนเป็นประกาย เมื่อเขาคิดว่าจะได้เจอถังซวงทุกวัน แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ขึ้นอยู่กับหลี่จงอี้ที่จะตัดสินใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกไป
เดิมทีหลี่จงอี้ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เฮ่อหลานและคนอื่น ๆ แต่เมื่อคิดถึงโม่เจ๋อหยวน เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ตกลง ฉันจะไม่ทำอาหารแล้วกัน เดิมทีฉันอาศัยอยู่คนเดียวก็ไม่ลำบากอะไร ถึงมีเพิ่มมาอีกคนก็ยังสบายอยู่ แต่เจ๋อหยวนอยู่ในวัยกำลังโต คงไม่ดีถ้าเขาได้กินอาหารเพียงน้อยนิด”
เมื่อเห็นว่าหลี่จงอี้เห็นด้วย เฮ่อหลานก็รีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำอาหารให้มากขึ้นทุกวันเลยนะคะ การกินอาหารที่บ้านคงมีชีวิตชีวามากขึ้นแน่เลยค่ะ”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินหมิงซู่ก็ยิ้มและพูดว่า “ฝีมือของของพี่หลานดีมากจริง ๆ เจ๋อหยวนคงน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังจากที่ผมกลับมาแน่”
“น้ำหนักเพิ่มเป็นเรื่องดีแล้วค่ะ ตอนนี้เจ๋อหยวนผอมเกินไปแล้ว”
ทุกคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง หลี่จงอี้ก็พูดขึ้นมาว่าจะกลับไปก่อน “หมิงซู่ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่ตำบลนะ และฉันจะให้ของฝากสำหรับหยานซงไปด้วย แล้วอาหยวนก็กลับมากับฉันเลยก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินหมิงซู่ก็พยักหน้า
ก่อนจากไป เขาทิ้งเงินไว้บนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ เพื่อเป็นค่าอาหารของโม่เจ๋อหยวนในช่วงที่อาศัยอยู่กับหลี่จงอี้
ด้านหลี่จงอี้ที่เห็นอย่างนั้นก็เห็นด้วย เขาจึงทิ้งเงินไว้ห้าสิบหยวนเหมือนกัน แล้วรีบจากไป
เมื่อเฮ่อหลานรู้เรื่องเงินสองก้อนนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ลุงหลี่กับเจ๋อหยวนก็เกินไปจริง ๆ ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกสองคู่เอง พวกเขาถึงทิ้งเงินไว้มากมายขนาดนี้ทำไมกัน?” จำนวนเงินที่ทั้งสองให้มารวมกันคือหนึ่งร้อยหยวนเชียวนะ ลำพังแค่หลี่จงอี้กับโมเจ๋อหยวนก็ไม่ได้กินกันเยอะขนาดนั้นซะหน่อย
“แม่คะ ในเมื่อปู่กับพี่โม่มากินข้าวที่นี่ ก็รับไว้ก่อนเถอะค่ะ ไม่งั้นพวกเขาจะไม่มาแน่ พอคุณลุงกลับมา พี่โม่ก็จะไม่ได้อยู่กับคุณปู่แล้ว ตอนนั้นเราค่อยคืนเงินให้พวกเขาก็ได้”