การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 610 การสืบทอดอันชอบธรรม (1)
บทที่ 610 การสืบทอดอันชอบธรรม (1)
แม้ว่าหัวเฟยหลงจะไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากเท่าใดนัก แต่คนในครอบครัวของหัวเทียนอวี้ทั้งหมดกลับไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้
“พี่ใหญ่ พี่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เด็กถังเซวี่ยคนนี้เดิมทีก็ไม่ใช่คนในตระกูลหัวของเรา เธอมีสิทธ์อะไรถึงได้เป็นผู้นำตระกูลหัวคนใหม่ของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นเฟยหลงต่างหากที่เป็นลูกชายของพี่ เขาต่างหากที่เป็นทายาทตระกูลหัวตัวจริง”
แม้แต่เฟิงย่าอิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากว่า “นั่นน่ะสิ พี่ใหญ่ เฟยหลงต่างหากที่เป็นลูกชายของพี่ ที่เป็นทายาทตระกูลหัวตัวจริง ทำไมพี่ถึงแต่งตั้งให้ยัยเด็กคนนี้มาเป็นทายาทคนใหม่ของตระกูลหัวล่ะ นี่มันไม่เป็นไปตามกฎเลย”
ถึงแม้ว่าปกติแล้วเธอจะคิดถึงลูกชายคนเล็กมากอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเทียบกับทายาทตระกูลหัวดูแล้ว เธอยอมให้ลูกชายคนเล็กของเธออยู่ต้าฝางนั่นเสียดีกว่า
หัวเทียนจางได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองไปที่สองสามีภรรยาหัวเทียนอวี้และเฟิงย่าอิง แล้วพูดว่า
“ที่ฉันพูดแบบนี้ย่อมมีเหตุผลแน่นอน เธออาจจะไม่เข้าใจ แต่หัวเทียนอวี้เองก็น่าจะรู้ การเลือกทายาทตระกูลหัวของพวกเรามีกฎหนึ่งที่ยึดถือมาโดยตลอด”
เมื่อกล่าวจบหัวเทียนจางก็มองไปที่หัวเทียนอวี้แล้วพูดว่า “น้องรอง นายลองบอกมาหน่อยซิว่าการเลือกทายาทตระกูลหัวของพวกเราตระกูลหัวมีกฎอะไรกันแน่”
“จะมีกฎเกณฑ์อะไรกัน ไม่ใช่ว่า…”
เมื่อกล่าวจบ จู่ ๆ หัวเทียนอวี้ก็นิ่งลง
เขานึกขึ้นมาได้ว่าตระกูลหัวมีกฎที่ว่าลูกหลานคนใดที่มีโชคอันพิเศษ สามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัวได้
ในตอนแรกที่เขาได้ยินคำพูดนี้ เขาเองก็คิดว่ามันค่อนข้างที่จะไร้สาระ เรื่องที่ว่าใครโชคร้ายโชคดีนี้จะเอามาเปรียบเทียบให้เห็นกันแน่ชัดได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเรื่องอะไรแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งหลายปีแล้ว ทุกคนจึงลืมกฎนี้กันไปหมด
มาในวันนี้จู่ ๆ หัวเทียนจางก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่าบอกนะว่า…
เมื่อคิดได้ดังนี้หัวเทียนอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองถังเซวี่ยชี้ไปที่เธอแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ อย่าบอกนะว่ายัยเด็กคนนี้มีโชคที่ดีมากอย่างนั้นหรือ?”
หัวเทียนจางพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า
“ใช่แล้ว เสี่ยวเซวี่ยมีโชคที่ดีมาก ดังนั้นเธอจึงสามารถเป็นผู้นำตระกูลหัวคนใหม่ของพวกเราได้”
หัวเหวินปินที่ยืนอยู่ด้านข้างยังกล่าวอีกว่า “ถูกต้อง เสี่ยวเซวี่ยต่างหากที่เป็นผู้นำตระกูลหัวตัวจริง และในวันนี้ที่เรียกพวกเธอทุกคนมา ก็เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเรื่องนี้”
ในเมื่อหัวเหวินปินพูดดังนี้แล้ว หัวเทียนอวี้ก็คิดได้เพียงว่าหัวเทียนจางกำลังเล่นกลอุบายอยู่
“พี่ใหญ่ เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าโชคของคนจะดีหรือร้าย กฎนี้เดิมทีเป็นเพียงเรื่องที่หาสาระไม่ได้ แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่จะเอาอะไรมาวัดว่าเด็กคนนี้มีโชคดีกันล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ผู้นำตระกูล ผู้นำตระกูลบอกว่าถังเซวี่ยมีโชคที่ดีมาก แต่ว่าพวกเรากลับมองไม่ออกเลย เช่นนั้นแล้วเราจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัวของพวกเราสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน นี่มันไม่เข้าท่าเอาซะเลย”
“ใช่ ๆๆ ฉันดูหน่วยก้านของเฟยหลงเองก็ดี เขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้เป็นทายาทตระกูลหัวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน แล้วมาวันนี้จู่ ๆ จะให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นผู้นำตระกูลได้อย่างไรกันล่ะ“
“ใช่ ผู้หญิงเป็นผู้นำตระกูลไม่ได้แน่”
ผู้กล่าวคำพูดเหล่านี้ล้วนอยู่ข้างเดียวกับหัวเฟยหลง จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่พวกเขาจะเห็นด้วยให้ถังเซวี่ยขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่
เมื่อเห็นว่ามีคนมากมายที่สนับสนุนหัวเฟยหลง และมีคนเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ใช่ เฟยหลงเก่งมาก พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้นำตระกูลด้วยซ้ำ ปล่อยให้เฟยหลงเป็นผู้นำตระกูลของเราต่อไปเลยก็ได้”
“ถูกต้อง ๆ”
เมื่อพูดบางคนยังคงมองไปที่หัวเทียนจางแล้วพูดว่า “ผู้นำตระกูล หรือว่าท่านจะยอมเชื่อใจเด็กผู้หญิงแทนที่จะเชื่อเฟยหลง”
เมื่อเห็นท่าทีต่อต้านของทุกคน คิ้วของหัวเทียนจางก็ขมวดขึ้น
ทว่าหัวเหวินปินกลับตบมือให้ทุกคนเงียบ
“พวกเธอทุกคนฟังฉันพูดเรื่องหนึ่งก่อน”
หลังจากนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่ถังเซวี่ยไม่ให้เขาออกจากบ้านให้พวกเขาฟัง สุดท้ายเขาก็มองไปที่ทุกคนแล้วพูดว่า
“ถังเซวี่ยมีโชคที่ดีอยู่กับตัวเธอจริง ๆ เธอสามารถตัดสินเรื่องราวได้ว่าเรื่องอะไรสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้ พวกเธอยังจะเคลือบแคลงอะไรอีก ในเมื่อกฎที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเราคือการเลือกผู้ที่มีพรสวรรค์มาเป็นผู้นำตระกูล ทำไมจนถึงตอนนี้แล้ว พวกเธอถึงไม่ปฏิบัติตามกฎของบรรพบุรุษเสียแล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ อย่างไรเสียก็ลากบรรพบุรุษมาพูดขนาดนี้แล้ว พวกเขาจึงจำต้องเชื่อฟัง
แม้ว่าในขณะนี้ทุกคนจะนิ่งเงียบ แต่ภายในใจก็ยังรู้สึกว่าถังเซวี่ยไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูลหัวอยู่ดี
ถังหลานที่อยู่ด้านข้างมองดูก็รู้สึกกลัวจนใจเต้นรัว เกรงว่าทุกคนในตระกูลหัวจะคัดค้านในภายหลังและบีบถังเซวี่ยให้ออกไป ถ้าเป็นแบบนี้ ถังเซวี่ยจะอยู่ในตระกูลหัวยาก
ไม่ทันที่ถังหลานจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ หัวเทียนจางก็ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าพวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่การตัดสินใจครั้งนี้ฉันก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นทายาทตระกูลหัวที่แท้จริงคนต่อไปก็คือถังเซวี่ย และในวันนี้ที่เรียกให้พวกเธอมา ก็เพื่อให้มาเป็นสักขีพยานเท่านั้น”
“อะไรนะ…”
สีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“เช่นนั้นทำไมถึงพึ่งมาบอกพวกเราเอาวันนี้ครับ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“ใช่ เกินไปแล้ว พวกเราก็เป็นคนตระกูลหัวเหมือนกันนะ พวกเราก็ควรมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำตระกูลหัวคนต่อไปหรือเปล่า”
แม้ว่าหลายคนจะบ่นพึมพำอยู่นั้น แต่บางคนก็เชื่อในสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้สืบทอดมาเช่นกัน
“ในเมื่อผู้นำตระกูลพูดแบบนี้แล้ว ท่านย่อมมีเหตุผลของท่านแน่ เช่นนั้นพวกเราจะยอมรับสถานะทายาทของถังเซวี่ยไปก่อนชั่วคราว แล้วรอดูว่าหลังจากนี้หากถังเซวี่ยเป็นผู้ที่ความสามารถมาก ก็จะเลือกเธอให้เป็นผู้นำตระกูลอย่างแท้จริง”
หลายคนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ พวกเราจะสังเกตการณ์ไปก่อน รอหลังจากที่ได้ยืนยันแน่ชัดแล้วว่าถังเซวี่ยเป็นผู้ที่ความสามารถ ก็จะให้เธอเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่”
เมื่อเห็นว่ามีคนสนับสนุนเขา สีหน้าของหัวเทียนจางก็ดีขึ้นมาก
หัวเฟยเฟิ่งที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าการตัดสินใจของคุณพ่อนั้นฉุกละหุกเกินไป พอมองดูในตอนนี้แล้ว ถ้ายังมีคนที่สนับสนุนอยู่ มันก็คงจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วละ
แต่อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนเหล่านี้พูดจบก็มีคนแผดเสียงร้องกล่าวออกมาว่า “ไม่… ฉันไม่เห็นด้วย”
หัวยี่ฮวนยืนขึ้นในทันที สีหน้าของเธอปรากฏความร้ายกาจ “พ่อของฉันต่างหากที่เป็นทายาทตระกูลหัวตัวจริง เหตุผลอะไรถึงให้ยัยเด็กคนนี้เข้ายุ่งเกี่ยวด้วย เธอก็แค่เด็กผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่งก็เท่านั้น”
พูดจบ หัวยี่ฮวนก็อดไม่ได้ที่หันไปมองหัวเฟยเฟิ่งแล้วพูดว่า “คุณป้าคะ นี่คือจุดประสงค์ของคุณป้าใช่ไหม คุณป้าไม่พอใจที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลไม่ได้ตกไปถึงลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ก็เลยคิดแผนการแบบนี้ขึ้นมา เพื่อท้ายที่สุดตำแหน่งผู้นำตระกูลจะได้กลับมาเป็นของฝ่ายคุณ ช่างทุ่มเทเสียจริงนะคะ”