การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 610-2 การสืบทอดอันชอบธรรม (2)
บทที่ 610 การสืบทอดอันชอบธรรม (2)
ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็มองไปที่หัวเทียนจางและหัวเฟยเฟิ่งด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป
ทันใดนั้นเองพวกเขาก็รู้สึกว่าถ้าจะให้พูดจริง ๆ มันก็ดูสมเหตุสมผลเช่นกัน
เมื่อหัวเฟยเฟิ่งได้ยินคำพูดนี้ของหัวยี่ฮวน เธอก็หัวเราะเสียงเย็นอย่างอดไม่ได้
“มีก็แต่พวกเธอนั่นแหละที่มองว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลสลักสำคัญขนาดนั้น มันไม่ได้อยู่ในสายตาของฉันด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่มีทางเห็นด้วยที่คุณพ่อรับอุปการะหัวเฟยหลงแล้วละ”
“หึ… คุณป้า คำพูดสวยหรูใคร ๆ เขาก็พูดได้ แต่หากคุณป้าพูดด้วยใจจริง มาพูดเอาตอนนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
เมื่อเห็นท่าทีก้าวร้าวของหัวยี่ฮวน และหัวเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปล่อยให้ลูกสาวต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแทนเขาโดยที่ตนเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรทั้งนั้น ส่วนใบหน้าของหัวเฟยเฟิ่งก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ตอนแรกฉันก็ไม่เสียดายหรอก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขึ้นมาแล้วสิ”
กล่าวจบ หัวเฟยเฟิ่งจ้องมองไปที่หัวเฟยหลงและพูดกับเขาคำต่อคำ “หัวเฟยหลง เธอรู้ไหมว่าฉันเกลียดตรงไหนของเธอที่สุด เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าในใจของเธอต้องการ และอยากจะได้มาก แต่เบื้องหน้าเธอแกล้งทำเป็นไม่อยากได้อยากดี ไม่สนใจอะไร ลับหลังกลับปล่อยให้คนรอบข้างต่อสู้เพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้แทน หัวเฟยหลง เธอมันหน้าซื่อใจคดจริง ๆ”
หลังจากที่คุณพ่อรับอุปการะหัวเฟยหลง หัวเฟยเฟิ่งเองก็ยังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มีน้องชาย
แต่พอโตขึ้นก็พบว่าน้องชายคนนี้กลับไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดขนาดนั้น เธอจึงค่อย ๆ ตีตัวออกหากจากหัวเฟยหลง แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามาจนถึงเวลานี้แล้ว หัวเฟยหลงยังมีท่าทีแบบนี้อยู่อีก ใครเห็นก็พากันรังเกียจ
หัวเฟยหลงได้ยินดังนั้นก็โต้กลับทันควัน “พี่ ผมเปล่า ผม…”
ไม่รอให้หัวเฟยหลงได้พูดจบ หัวเฟยเฟิ่งก็พูดแทรกในทันที “เอาละ เธอไม่ต้องพูดให้มากความ ถ้าเธอไม่สนใจจริง ๆ แล้วทำไมเมื่อครู่ถึงไม่แสดงจุดยืนของตัวเองล่ะ”
“ผม…”
หัวเฟยหลงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงจุดยืน เขากลับพูดไม่ออก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้เขาเองยังคิดว่าตนจะได้เป็นผู้นำตระกูลหัว ทว่าหัวเทียนจางจู่ ๆ กลับบอกเขาว่าผู้นำตระกูลคือคนอื่นแล้วจะให้เขารับได้อย่างไร
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนและลังเลของหัวเฟยหลง หัวเฟยเฟิ่งก็ยิ้มออกมาในทันที “ดูสิ เธอเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นเสียแบบนี้”
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินหัวเฟยเฟิ่งกล่าว ต่างก็นึกถึงเรื่องในอดีตและพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ สายตาที่มองไปที่หัวเฟยหลงจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้และความไม่เข้าใจที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
เมื่อหัวยี่ฮวนเห็นว่าคนอื่น ๆ จ้องมองไปที่พ่อของตน เธอจึงพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “พวกคุณมองอะไรกัน อย่าโดนคำพูดของหัวเฟยเฟิ่งหลอกสิ ตอนนี้ที่พวกเรากำลังพูดถึงกันอยู่ก็คือเรื่องของทายาท แล้วทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมา นั่นก็เพราะต้องการที่จะตีรวนความสนใจของพวกคุณ อย่าได้หลงกลเชียวนะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหัวยี่ฮวน ทุกคนต่างก็ถอนสายตากลับ แต่ทว่าในใจที่สุดแล้วมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
หัวเทียนจางมองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พบว่าตนเองถูกถังเซวี่ยดึงเอาไว้ เห็นเพียงถังเซวี่ยส่ายหัวให้เขา บอกเป็นนัยว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูด
หัวเทียนจางจึงจำต้องกลืนสิ่งที่ต้องการจะพูดลงไป มองเธอด้วยสีหน้าของความสงสัย
จากนั้นถังเซวี่ยก็มองตรงไปยังหัวยี่ฮวนแล้วพูดว่า “เธออย่าพูดอะไรให้มากความไปกว่านี้เลย ฉันว่าเธอรีบกลับไปจากที่นี่จะดีกว่า ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมันจะไม่ดีต่อตัวเธอเองนะ”
หัวยี่ฮวนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถังเซวี่ย เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัว เธอก็รู้จักเรียนรู้เรื่องอะไรเลอะเทอะพวกนี้แล้วหรือ ดูสิเธอพูดอย่างนี้หมายความว่าไง เธอคิดจริง ๆ หรือว่าตัวเธอเองมองออกทุกอย่าง”
ถังเซวี่ยส่ายหัว “ฉันมองไม่ออกหรอก แต่มองเพียงแวบเดียวก็พอแล้ว”
หัวยี่ฮวนได้ยินดังนั้น ก็พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “พอแล้วอะไรกัน ฉันว่าเธอ…”
ทว่าหัวยี่ฮวนยังไม่ทันที่จะได้กล่าวจนจบ เธอก็ถูกถังซวงพุ่งตัวเข้ามาผลักจนล้มไปด้านข้าง
“ถังซวง เธอทำอะไรน่ะ นี่เธอทำขนาดนี้เพื่อ… อ่า…”
เพล้ง…
ยังไม่ทันที่หัวยี่ฮวนจะพูดจบ โคมไฟที่ประดับอยู่ด้านบนก็ร่วงลงมาทันที เธอมองเศษโคมไฟที่อยู่เฉียดหัว เธอรู้สึกได้แค่เพียงขนที่ด้านหลังเธอลุกชันขึ้น เมื่อครู่หากถังซวงไม่ได้ผลักเธอออก ตอนนี้เธอก็คงถูกโคมไฟนั่นหล่นทับไปแล้ว และผลสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องบอกก็รู้
เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ หัวยี่ฮวนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ในขณะที่คนอื่น ๆ มองเหตุไม่คาดฝันเบื้องหน้าด้วยสีหน้าสับสน พวกเขาก็มองไปที่ถังเซวี่ยด้วยสีหน้างุนงง ทั้งรู้สึกว่าเรื่องมันบังเอิญเกินไป ถังเซวี่ยเพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าหัวยี่ฮวนไม่ควรอยู่ที่นี่ โคมไฟด้านบนก็หล่นลงมา อะไรจะบังเอิญขนาดนี้
ทว่าหัวเทียนจางกลับระเบิดหัวเราะ “ฉันบอกแล้วว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวเซวี่ยนั้นยอดเยี่ยม หากเกิดเหตุอะไรขึ้น เธอก็สามารถบอกได้อย่างแม่นยำ แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อครู่หัวยี่ฮวนกลับไม่ฟังเสี่ยวเซวี่ย”
คนอื่น ๆ ต่างก็ยังรู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย
ทว่าก็มีคนบางส่วนที่รู้สึกว่าถังเซวี่ยนั้นเก่งกาจจริง ๆ ในขณะเดียวกันยังกล่าวถึงกฎของตระกูลหัวขึ้นมาด้วย และคิดว่าตระกูลหัวของพวกเขาจะต้องรุ่งโรจน์ หากมีคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมขนาดนี้
“ผู้นำตระกูล ฉันคิดว่าถังเซวี่ยเก่งมากจริง ๆ ไม่แน่ว่าเธออาจจะสามารถเป็นผู้นำตระกูลหัวของพวกเราก็ได้”
“ใช่ พวกเราให้ถังเซวี่ยเป็นทายาทก่อน หากถึงเวลาที่เธอเหมาะสมกว่าเฟยหลง ค่อยให้ถังเซวี่ยขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัว”
“ถูกต้อง ๆ”
เมื่อเห็นหลายคนที่ยอมรับถังเซวี่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวเทียนจางก็ยกยิ้ม
แล้วหัวเทียนอวี้จะเห็นด้วยได้อย่างไรกัน พวกเขาเปิดปากพูดทันที “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น โคมไฟนั้นก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมขาดการซ่อมแซมมานานแล้ว มันเลยตกลงมา คุณจะมาตัดสินใจเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ เพียงเพราะเหตุบังเอิญเช่นนี้ไม่ได้”
แม้จะกล่าวดังนี้ ทว่าหลาย ๆ คนก็ค่อย ๆ ข้ามไปยืนทางฝั่งหัวเทียนจางอย่างช้า ๆ และข้อสรุปสุดท้ายก็คือ หากพิสูจน์ได้ว่าถังเซวี่ยมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ก็จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัวได้ทันที
ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลว หัวเทียนจางจึงค่อนข้างพอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เอาละ เช่นนั้นพวกเราก็ถือว่าเป็นอันตกลง”
ในขณะนี้เอง จู่ ๆ ถังซวงก็มองไปที่หัวเทียนจางและพูดว่า “คุณทวดคะ ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้หรอกค่ะ แค่ให้เสี่ยวเซวี่ยกับลุงเฟยหลงทดสอบเรื่องบางอย่างก็สามารถตัดสินได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็มองไปที่ถังซวงเป็นตาเดียว
ถังซวงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าโชคร้าย แค่ทำการเลือกก็พอแล้ว พวกคุณรับหน้าที่คิดคำถาม พอถึงเวลาก็ให้เสี่ยวเซวี่ยและลุงเฟยหลงเลือก ใครก็ตามที่เลือกได้ถูกต้อง คนนั้นก็เป็นผู้ชนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็สามารถเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่ได้แล้วค่ะ ทำไมยังจะต้องรอไปอีกล่ะคะ”
หัวเทียนจางได้ยินดังนั้น ก็พูดด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ใช่สิ ให้พวกเขาสองคนแข่งกันก็รู้แล้ว”
ตระกูลหัวคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยเช่นกัน ทุกคนจึงคิดคำถามมากมาย และตั้งคำถามยาก ๆ ได้เป็นจำนวนไม่น้อย จริง ๆ แล้วการทดสอบเหล่านี้ง่ายมาก รวมไปถึงการใส่ของล้ำค่าและสิ่งของราคาถูกลงในกล่องให้ถังเซวี่ยและหัวเฟยหลงได้เลือก และนอกจากนี้ยังมีอัญมณีของจริงและปลอมอีกมากมายที่สามารถสุ่มหยิบได้ เพียงแค่ดูว่าใครจับได้ของดี ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นผู้โชคดี
แน่นอนว่ายังมีตัวเลือกแปลก ๆ อยู่มากมาย และทุกคนก็คิดจะให้ถังเซวี่ยและหัวเฟยหลงเลือกทุกอย่างเสียด้วย
แน่นอนว่าผลลัพธ์สุดท้ายผู้ชนะเป็นถังเซวี่ย จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ คนตระกูลหัวก็พบว่าถังเซวี่ยนั้นโชคดีจริง ๆ แค่หนึ่งครั้ง ก็สามารถคว้าอัญมณีของจริงได้ทั้งหมด
“ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมีโชคเช่นนี้”