การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 611 บทเรียนย้อนกลับ (1)
บทที่ 611 บทเรียนย้อนกลับ (1)
เมื่อหัวเทียนจางเห็นทุกคนทำสีหน้าตกตะลึง ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขากล่าวว่า “ตอนนี้พวกเธอยังมีอะไรสงสัยอยากจะถามอีกไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้น… ถังเซวี่ยจะได้เป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลหัวรุ่นต่อไป”
หัวเหวินปินเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นแสดงความเห็น
“ถูกต้อง ถังเซวี่ยนี่แหละที่เป็นทายาทของตระกูลหัวที่แท้จริงของเรา”
หลังจากที่เรื่องราวในวันนั้นเกิดขึ้น เขาก็เชื่อในตัวถังเซวี่ยมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกฎที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอีก การที่ถังเซวี่ยได้เป็นทายาทจึงเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิต
คนที่อยู่ข้างหัวเหวินปินในวันนั้นก็ล้วนแล้วแต่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหัวเทียนจาง เรื่องของหัวเหวินปินก็เป็นเรื่องหนึ่ง การแข่งขันทดสอบในวันนี้ก็เป็นอีกเรื่อง ทุกคนต่างก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโชคของถังเซวี่ยงั้นอยู่เหนือธรรมชาติไปแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้จึงเป็นที่แน่นอนว่าเธอคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นผู้นำตระกูล “ใช่ พวกเราก็เห็นด้วย”
นอกจากคนพวกนี้แล้ว ในตอนนี้หลาย ๆ คนก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ใช่ ถังเซวี่ยยอดเยี่ยมมากจริง ๆ เธอคือคนที่ดีที่สุดในการเป็นผู้นำตระกูลหัวของพวกเรา”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของคนรอบข้าง สีหน้าของหัวเฟยหลงก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แววตาฉายความหม่นหมอง ในตอนแรกเขาได้อุปการะมาอยู่ที่บ้านใหญ่ก็เพื่อที่จะมาเป็นทายาท เป็นลูกชายของหัวเทียนจาง แต่จู่ ๆ วันนี้มาบอกเขาว่าได้เปลี่ยนตัวทายาท แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาทำไปเพื่ออะไร
หัวยี่ฮวนที่อยู่ด้านข้างโกรธจนทนไม่ไหว เธอกล่าวเสียงดังทันทีว่า “ฉันไม่เห็นด้วย เรื่องของโชคเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งโชคดีของถังเซวี่ยอาจเปลี่ยนเป็นโชคร้ายก็ได้ ไม่เหมือนกับคุณพ่อ หลายปีมานี้เขาเรียนรู้ที่จะจัดการดูแลตระกูลหัวเป็นอย่างดีมาโดยตลอดตั้งเท่าไหร่ บริหารเรื่องในตระกูลอย่างดีมาตั้งเท่าไหร่ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนแบบนี้มาโดยตลอด แล้วถังเซวี่ยล่ะ เธอรู้อะไรบ้าง ในวันข้างหน้าเธอจะสามารถดูแลคนในตระกูลหัว ตระกูลใหญ่ของพวกเรานี้ได้อย่างดีหรือ”
บางคนเมื่อได้ยินหัวยี่ฮวนกล่าวก็คิดว่าสมเหตุสมผล
ถังเซวี่ยยังเด็กอยู่มากนัก เธอจะสามารถดูแลตระกูลหัวได้ดีหรือเปล่า เมื่อเทียบกับหัวเฟยหลงแล้ว เธอก็ยังอ่อนหัดอยู่จริง ๆ
“จริงด้วย ผู้นำตระกูล พวกเรามาตัดสินใจให้ดีกันอีกสักหน่อยเถอะ”
ไม่ทันที่หัวเทียนจางจะกล่าว ถังซวงก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเธอใช้อายุมาตัดสินความสามารถของคนอย่างนั้นหรือ ถ้าใช่ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด”
ในขณะที่พูด ถังซวงก็เหลือบสายตามองหัวยี่ฮวน จากนั้นก็มองไปที่ทุกคนแล้วกล่าวว่า “พวกคุณทุกคนน่าจะรู้ว่าฉันเป็นผู้นำตระกูลถังคนใหม่ พวกคุณดูสิว่าตอนนี้ตระกูลถังก็ยังอยู่เป็นสุขดี เพราะฉะนั้นหากพวกคุณตัดสินความสามารถของคนจากอายุจริง ๆ แล้วละก็ พวกคุณก็คิดตื้นเกินไปแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังซวง
อายุของถังซวงก็เพียงเท่านี้ แต่ตระกูลถังกลับอยู่เป็นสุขดี และได้ยินมาว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นการที่ถังซวงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลถังคนใหม่ ไม่เพียงแต่ไม่มีปัญหาอะไร เธอยังเหมาะสมมากกว่าถังฉางชุนเสียด้วยซ้ำ
เมื่อหัวยี่ฮวนได้ยินคำพูดของถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอ “ตระกูลหัวของพวกเรากับตระกูลถังไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน ฉันว่านะ สิ่งที่ต่างก็คือเธอจะไม่ได้เป็นลูกสาวผู้นำตระกูล ก็เลยไม่เต็มใจที่จะยอมรับมันมากกว่า แต่แค่เพียงเพราะเธอไม่เต็มใจ จะทำให้ตระกูลหัวพลาดโอกาสที่จะมีผู้นำตระกูลที่เหมาะสมไป เธอจะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า”
“เธอ…”
หัวยี่ฮวนอึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ที่เธอค้านมาโดยตลอดก็เพราะไม่เต็มใจ แต่เรื่องพวกนั้นที่เธอพูดไปมันก็เข้าใจได้ คุณพ่อของเธอเป็นทายาทมาก็หลายปีแล้ว เรื่องของตระกูลหัวเขาย่อมคุ้นเคยดี แต่นี่ถังเซวี่ยที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมามีสิทธิ์อะไรกัน
ในขณะที่เธอกำลังจะโต้กลับ หัวเทียนจางก็ยื่นคำขาดในทันที “ถ้าอย่างนั้นเรามาทำอย่างถูกต้องยุติธรรมกันดีกว่า ดูสิว่าใครจะเป็นคนที่ถูกเลือก ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ต้องยอมรับ”
กล่าวจบ เขาก็ให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เขียนชื่อทายาทที่ตนเลือก
เดิมทีทุกคนไม่มีใครคิดว่าหัวเทียนจางจะทำแบบนี้ อีกอย่าง… ทำแบบนี้มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ
แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทุกคนสามารถเขียนชื่อคนในใจที่ตนเลือกได้ พวกเขาจึงเลือกทายาทได้อย่างเสรี ด้วยความรวดเร็ว หลังจากการเลือกเสร็จสิ้น คนตระกูลหัวจำนวนหนึ่งก็ออกมารับรองใบคะแนน
ในขณะที่คนกำลังตรวจสอบใบลงชื่อ ขณะเดียวกันก็มีคนขานชื่อบนใบนั้น ๆ และยังมีคนจดผลสถิติบนกระดานขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย เสียงโหวตและผลลัพธ์ทั้งหมดนั้นจึงปรากฎให้รู้อย่างชัดเจนในทันที
ฝั่งทางครอบครัวหัวเทียนอวี้และหัวเฟยหลง พวกเขาต่างก็จ้องเขม็งไปที่สถิติบนกระดาน
ทว่าทางฝั่งถังเซวี่ยกลับรู้สึกสบาย ๆ เธอรู้ตัวว่าหากทุกคนเลือกเธอจริง ๆ เช่นนั้นเธอก็ต้องพยายามเป็นผู้นำตระกูลหัวที่ดี แต่ถ้าทุกคนไม่ได้เลือกเธอ เธอก็ยังมีความสุขดีเช่นกัน
เมื่อนับคะแนนครบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของหัวยี่ฮวนก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อกับผลลัพธ์เบื้องหน้า
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ คะแนนโหวตของคุณพ่อทำไมถึงได้แพ้ยัยเด็กถังเซวี่ยนั่น คุณพ่อของฉันทำงานหนักเพื่อตระกูลหัวมานานหลายปี เทียบไม่ได้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นานเลยหรือ”
เพียงแค่มองผลคะแนนโหวต ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคะแนนของหัวเฟยหลงเมื่อเทียบกับถังเซวี่ยแล้วห่างกันสิบเสียง แม้ผลคะแนนจะใกล้เคียงกันมาก แต่คะแนนห่างกันก็คือห่าง
หัวยี่ฮวนจ้องมองผลเบื้องหน้าอย่างรับไม่ได้
แม้แต่หัวเฟยหลงเองก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถยอมรับได้ เขาถามกับตัวเองว่าเขาทำเพื่อตระกูลหัวมาก็มาก เหตุใดคนพวกนี้ถึงได้เลือกถังเซวี่ย ไม่เลือกเขา พอคิดมาถึงจุดนี้หัวเฟยหลงก็ไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ และเขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ เขายืนขึ้น และก้าวฉับ ๆ ออกไป
“เฟยหลง…”
เฟิงย่าอิงเห็นลูกชายคนเล็กก็รีบเดินตามออกไป
หัวเทียนอวี้เองก็รู้สึกขายหน้าจนแทบแทรกแผ่นดินหนี จึงพาคนในครอบครัวเดินจากไปในทันที และก่อนที่จะออกไปยังมองไปที่ถังเซวี่ยอย่างไม่พอใจ
ทว่าหัวเทียนจางเพียงเหลือบสายตามองหัวเฟยหลง ถึงแม้ในยังปรากฏความกังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีสิ่งที่สำคัญกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ส่วนครอบครัวของหัวเทียนอวี้ เขาเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“เสียงข้างน้อยเชื่อฟังเสียงข้างมาก ในเมื่อคนส่วนใหญ่เลือกถังเซวี่ยแล้ว เช่นนั้นจากนี้ต่อไปเธอก็คือทายาทตระกูลหัวของพวกเรา ฉันจะหาฤกษ์งามยามดีแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้นำตระกูลหัวของพวกเราอย่างเป็นทางการ” หัวเทียนจางรีบกำหนดรวบรัด ให้ผู้อาวุโสตระกูลหัวเป็นสักขีพยาน
หลังจากเสร็จสิ้นงานทั้งหมด หัวเฟยเฟิ่งพาครอบครัวถังหลานกลับไปยังที่อยู่ของพวกเขา
“เสี่ยวเซวี่ย จากนี้ต่อไปหลานคือทายาทของตระกูลหัวแล้ว หลังจากที่ทวดของหลานเกษียณ หลานก็จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัว ตั้งแต่นี้ต่อไปหลานจะต้องเรียนรู้ทุกสิ่งในตระกูลหัว”
หัวเฟยเฟิ่งภาคภูมิใจมาก เธอรู้สึกว่าหลานสาวของเธอยอดเยี่ยมไปเสียทุกด้าน
เมื่อถังเซวี่ยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ายิ้ม ๆ “หนูจะพยายามให้มาก ๆ คุณยายวางใจได้เลยค่ะ”
ส่วนถังหลานยังคงไม่วางใจเท่าไหร่นัก
“เสี่ยวเซวี่ย พวกเรากำลังจะออกไปจากตระกูลหัวไม่ใช่หรือ ลูกจะมีเวลาเรียนรู้เรื่องของตระกูลหัวหรือ แล้วไหนจะในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมีใครมาทำให้ลูกลำบากใจหลังจากขึ้นเป็นผู้นำตระกูลอีกล่ะ”
เมื่อครู่นี้ก็มีคนอีกประมาณครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้เลือกถังเซวี่ย แบบนี้พอถึงเวลาที่ถังเซวี่ยรับหน้าที่ผู้นำตระกูลแล้ว เธอจะต้องพบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน
เมื่อจิงเจ้อหรงได้ยินคำพูดนี้ของถังหลาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองภรรยาด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “เอาเถอะ อย่างไรคุณตาก็จะต้องสอนวิธีการรับมือให้เสี่ยวเซวี่ยแน่นอน ดังนั้นคุณก็อย่าได้กังวลใจไปเลยนะ อีกอย่างเสี่ยวเซวี่ยของพวกเราก็เก่งขนาดนี้ จะดูแลตระกูลหัวให้ดีไม่ได้ยังไงกัน”
เฟิงเยี่ยหานที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“จริงครับ เสี่ยวเซวี่ยทั้งเก่งทั้งฉลาด แถมยังโชคดีขนาดนี้อีก ทุกอย่างจะราบรื่นแน่นอน”
ถังหลานได้ยินดังนั้น ในท้ายที่สุดก็ถามในสิ่งที่ตนอยากจะถามเมื่อครู่ขึ้นมา
“ใช่สิ เสี่ยวเซวี่ย โชคของลูกนั้นดีจริง ๆ… นี่เป็นเพราะหินพวกนั้นจริง ๆ ใช่ไหม?”
มาจนถึงตอนนี้ถังหลานเองก็ยังรู้สึกอัศจรรย์ แค่หินเพียงไม่กี่ก้อน ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนโชคของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้
และแม้แต่จิงเจ้อหรงเองก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อ
“ใช่ เสี่ยวเซวี่ย หรือว่าจะเป็นเพราะหินพวกนั้นจริง ๆ?”
ถังเซวี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ หินพวกนั้นที่คุณทวดให้หนูมันมีประโยชน์มาก โชคของหนูจึงเปลี่ยนเป็นดีขึ้น”
“สวรรค์ นี่มันเหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว”
จิงเจ้อหรงพยักหน้าพลางพูดว่า “ใช่ ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ”
ไม่ต้องกล่าวถึงถังหลานและจิงเจ้อหรง แม้แต่ถังซวงเองก็ตกใจ แม้ว่าจะได้ยินเสี่ยวเซวี่ยบอกว่าโชคของเธอดูเหมือนว่าจะดีขึ้น แต่พอวันนี้ สัญชาตญาณความรู้สึกดังกล่าวก็ทำให้ถังซวงนึกขึ้นมาได้ว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ นี่มันดีเกินไปไหม เธออยากถามถังเซวี่ยซะตอนนี้ว่าโชคของน้องสาวนั้นดีถึงขนาดนี้ได้อย่างไร