การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 612 อยากหรือไม่อยาก
บทที่ 612 อยากหรือไม่อยาก
หัวสือหลินพยายามอย่างมากที่จะหลุดพ้นออกจากการจับกุมของถังซวง แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังกายมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้
“ถังซวง เธอทำอะไรน่ะ!”
ในขณะนี้เองหัวอวี้เหวินพาหัวยี่ฮวนเข้ามาพร้อมกับหัวเฟยหลงและคนอื่น ๆ ในเวลานี้ทุกคนต่างก็จ้องเขม็งไปที่ถังซวง ราวกับว่าเธอทำอะไรหัวสือหลินเสียอย่างนั้น
เมื่อถังซวงเห็นสมาชิกในครอบครัวของหัวเฟยหลง ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “น่าจะถามหัวสือหลินมากกว่านะคะ พวกคุณลองถามเขาก่อนดีกว่าว่าเขากำลังจะทำอะไร”
หัวสือหลินส่งเสียงไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับยกฉันขึ้นมา ยังไม่รีบปล่อยฉันอีก”
ถังซวงไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อยเท่านั้น ยังยกหัวสือหลินส่ายไปส่ายมา และกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ปล่อย”
หัวอวี้เหวินเมื่อเห็นท่าทีกำเริบเสิบสานของถังซวง จึงอดไม่ได้ที่จะลอบมองไปที่หัวเฟยหลงและเห็นว่าสีหน้าของเขาปรากฏความไม่พอใจตามคาด เธอจึงรีบเขยิบไปอยู่ข้างเขา และกล่าวว่า
“ถังซวง ที่เธอทำมันมากเกินไปแล้ว สือหลินยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เธอจะจับเขาทำไม รีบปล่อยเขาลงซะ”
ทันใดนั้นเองถังเซวี่ยก็เดินก้าวไปข้างหน้า กล่าวเสียงเย็นว่า “หัวสือหลินตั้งใจจะชนฉัน แต่ก่อนที่จะทำสำเร็จ เขาก็ถูกพี่สาวของฉันจับตัวเอาไว้ซะก่อน เขาไม่ชอบที่ฉันได้เป็นทายาทตระกูลหัว ก็เลยเข้ามาหาเรื่องฉัน”
เมื่อหัวเฟยหลงและพวกได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก
แต่เมื่อพวกเราคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ได้ว่ามันน่าจะเป็นความจริง ถึงอย่างนั้นพวกเขาเองก็ยังรู้สึกไม่พอใจ นับภาษาอะไรกับเด็กเลือดร้อนอย่างหัวสือหลิน ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาก่อเรื่อง เฟิงย่าอิงจึงมองไปที่ถังซวงแล้วกล่าวว่า “ถังซวง สือหลินยังเป็นเด็ก แล้วอีกอย่างถังเซวี่ยก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย เธอปล่อยสือหลินลงมาเถอะ”
ถังซวงเหลือบสายตามองหัวสือหลิน และกล่าวว่า “เหรอคะ ฉันยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนตัวโตขนาดนี้เลย ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าพวกคุณปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็ก ๆ วันข้างหน้าต่อไปเขาคงจะกลายเป็นลูกแหง่”
“เธอ…”
เมื่อเฟิงย่าอิงได้ยินคำกล่าวของถังซวง เธอก็โกรธมากจนทนไม่ไหว นี่หล่อนหมายความว่าต่อไปสือหลินของพวกเขาจะเป็นคนไร้น้ำยาอย่างนั้นหรือ หลานของเธอ เธอยังไม่เคยต่อว่าสักคำ แต่ถังซวงกลับเหยียดหยามเขาขนาดนี้
สีหน้าของหัวเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ เขามองไปที่ถังซวงอย่างไม่พอใจและกล่าวว่า “สิ่งที่สือหลินทำไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามีอะไรจะพูดคุยกัน ก็ปล่อยเขาลงมาก่อนค่อยคุยเถอะ”
ถังซวงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ทันใดนั้นเองหัวเทียนจางก็เดินเข้ามา เขาได้ยินความเป็นมาของเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมองไปที่ถังซวงและกล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ ปล่อยสือหลินลงก่อนเถอะ”
ถังซวงได้ยินดังนั้นก็มองไปที่หัวเทียนจาง ทว่าก็ทำตามที่เขาบอก ปล่อยสือหลินลง
หัวเทียนจางหันหน้าไปมองหัวเฟยหลงกับทุกคน และกล่าวว่า “เฟยหลง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอยังทำใจไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกฎที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมา เพราะฉะนั้นเธอเองก็อย่าคิดมากเลย”
เมื่อหัวเฟยหลงได้ยินคำพูดของหัวเทียนจางสายตาของเขามีความเย้ยหยัน เขาพยายามไม่รู้ตั้งกี่ปีเพื่อที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลหัว แต่สุดท้ายกลับถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาตัดหน้าไป แบบนี้จะให้เขาไม่คิดมากได้อย่างไรกัน
เมื่อมองเห็นสายตารู้สึกผิดของหัวเทียนจางที่อยู่เบื้องหน้า แววตาของหัวเฟยหลงก็ฉายแววตามืดมน ถึงอย่างนั้นเขากลับกล่าวออกไปว่า “คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่คิดมากหรอกครับ”
เมื่อได้ยินหัวเฟยหลงกล่าว หัวเทียนจางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ถังซวงและกล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ สือหลินทำอะไรไม่คิดไปหน่อย ปล่อยเขาเถอะ”
ถังซวงมองหัวเทียนจางอย่างแน่นิ่ง หัวเราะเสียงเบาและกล่าวว่า “คุณทวด คนที่หัวสือหลินตั้งใจจะชนก็คือเสี่ยวเซวี่ย ไม่ใช่หนู ฉะนั้นเรื่องนี้คุณทวดน่าจะถามเสี่ยวเซวี่ย ไม่ใช่ถามหนูนะคะ ”
หัวเทียนจางยังไม่ทันจะได้รู้ตัว ถังซวงก็เปลี่ยนคำเรียกตนเองไปแล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็หันไปมองถังเซวี่ย ตั้งใจที่จะถามเธอ
ถังเซวี่ยเห็นว่าหัวเทียนจางต้องการที่จะทราบเรื่องนี้ ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงมองไปที่หัวสือหลิน “ขอแค่หัวสือหลินขอโทษฉัน แล้วเรื่องนี้ก็หายกัน”
ไม่ทันที่หัวเทียนจางจะกล่าวอะไร หัวสือหลินก็รีบพูดออกมา “ผมไม่ขอโทษ ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ”
เมื่อเห็นท่าทีแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไร้ซึ่งจิตสำนึกแบบนี้ของหัวสือหลิน หัวเทียนจางก็เลิกคิ้วขึ้น ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่รู้มาก่อนว่าหัวสือหลินมีด้านที่ไร้เหตุผลขนาดนี้
หัวเฟยหลงเห็นสีหน้าแววตาของหัวเทียนจางเย็นลง อย่างไรเขาก็รู้ดีว่าเรื่องวันนี้หลานชายของเขาเป็นคนผิด ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองไปที่หัวสือหลินด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “สือหลิน ขอโทษซะ”
“ผม”
หัวสือหลินกำลังจะพูดปฏิเสธ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าของคุณปู่ เขาก็จำต้องเบ้ปาก มองไปที่ถังเซวี่ย และกล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ขอโทษ”
ถังเซวี่ยเห็นแบบนี้ ก็เหลือบมองไปที่หัวเทียนจาง ที่จริงเธอก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร จึงพยักหน้าและกล่าวว่า “อืม ฉันยอมรับคำขอโทษของเธอ” เมื่อกล่าวจบ เธอก็หันไปมองหัวเทียนจางและกล่าวว่า “คุณทวด งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หัวเฟยเฟิ่งเลิกคิ้วมองคุณพ่อ เธอเพียงรู้สึกว่าคุณพ่อทำให้เรื่องยุ่งยากลำบาก เขาอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าถังซวงและถังเซวี่ยได้เปลี่ยนคำเรียกไปแล้ว แต่เธอสังเกต แต่เมื่อเห็นว่าคุณพ่อมุ่งความสนใจไปที่หัวเฟยหลง หัวเฟยเฟิ่งก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ตามถังซวงและพวกกลับไปด้วยกัน
หัวเฟยหลงไม่ได้ปฏิเสธ เขาเดินตามหัวเทียนจางออกไปเช่นกัน
หัวเทียนอวี้เห็นหลังไว ๆ ของหัวเทียนจาง ก็กล่าวฟึดฟัดว่า “มีอะไรให้คุยอีก ถ้ารู้ก่อนหน้านี้จะไม่ยอมให้อุปการะเฟยหลงไปหรอก ตอนนี้ก็ดีเลย ตระกูลของเรากลายเป็นตัวตลกไปเสียแล้ว”
เฟิงย่าอิงมองไปที่สามีและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ช่างเถอะ จะมาพูดเอาตอนนี้ทำไม พวกเรากลับไปก่อน แล้วค่อยถามเฟยหลงว่าหัวเทียนจางคุยกับเขาว่าอะไร”
หัวเทียนอวี้ได้ยินก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ต้องถามให้ได้ความ”
เฟิงย่าอิงมองไปที่หัวสือหลินแล้วกล่าวกับเขาว่า “สือหลิน เหลนกลับไปกับพวกเราก่อนนะ”
หัวสือหลินพยักหน้า แล้วเดินตามกลับไปที่บ้านรอง เมื่อนั่งรออยู่สักพักหนึ่ง หัวเฟยหลงก็กลับมา
หัวเทียนอวี้เห็นลูกชายคนเล็กเดินเข้ามา ก็รีบเอ่ยถาม “เฟยหลง หัวเทียนจางพูดอะไรกับลูก”
หัวเฟยหลงกล่าวเสียงแผ่ว “จะพูดเรื่องอะไรได้ ถ้าไม่ใช่ให้ผมเลิกกังวลจนเกินไป และบอกผมว่าการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเป็นกฎของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมา เฮ้อ…” เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของหัวเฟยหลงก็มืดหมองลง
หัวเทียนอวี้ที่ได้ยินก็ถึงกับปาถ้วยชาจนแตก
“หัวเทียนจางจะทำเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้จะอุปการะลูกในนามของเขาตั้งแต่แรกทำไมกัน”
ความจริงในตอนแรกครอบครัวของหัวเทียนอวี้อยากที่จะอุปการะลูกชายให้อยู่ภายใต้นามของหัวเทียนจาง เพื่อให้ลูกชายได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตอนนี้กลับเพิกเฉยต่อความจริงนี้เพราะการเลือกของคนเพียงคนไม่กี่คน
หัวโย่วเฉิงที่เงียบไปตั้งแต่เมื่อครู่ จู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “เฟยหลง นายคิดเห็นว่าอย่างไร? นายอยากหรือไม่อยากเป็นผู้นำตระกูลนี้”