การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 613 แผนซ้อนแผน
บทที่ 613 แผนซ้อนแผน
หัวเฟยหลงได้ยินหัวโย่วเฉิงกล่าว จึงมองเขาและเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่า “พี่ใหญ่ พี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
หัวโย่วเฉิงมองตรงไปที่หัวเฟยหลงและกล่าวว่า “เฟยหลง นายเองก็รู้ดีว่าตอนนี้คนที่สนับสนุนนายก็มีไม่น้อย เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่ฉวยโอกาสจากแรงตรงนี้คว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลเอาไว้ล่ะ”
หัวเทียนอวี้และเฟิงย่าอิงไม่คาดคิดว่าลูกชายคนโตของตนจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าเมื่อลองคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดี หากในตอนนี้หัวเฟยหลงได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหัว เช่นนั้นครอบครัวของพวกเขาก็จะมีอำนาจมากขึ้นตามไปด้วย ต่อไปตระกูลหัวก็จะต้องทำตามคำพูดของพวกเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็มองไปที่หัวโย่วเฉิงพลางถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “โย่วเฉิง ลูกมีแผนอะไรอยู่หรือเปล่า?”
สายตาของหัวโย่วเฉิงเย็นชา “แน่นอนว่าเมื่อคิดจะทำแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แค่ตอนนี้ให้หัวเทียนจางลงจากตำแหน่ง ส่วนยัยเด็กถังเซวี่ยนั่นเรายิ่งไม่ต้องกลัว ก็ให้ครอบครัวพวกมันไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
เมื่อกล่าวจบ สายตาหัวโย่วเฉิงก็ฉายแววอาฆาต
เมื่อหัวเทียนอวี้ได้ยินลูกชายคนโตกล่าว ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ “นี่… นี่มันไม่ง่ายเลยนะ”
เฟิงย่าอิงเองก็ตกตะลึง ทว่าเธอกลับตั้งตัวกลับมาได้เร็วมาก เธอกล่าวด้วยแววตาประหัตประหารและโหดเหี้ยม
“ใช่ ให้ครอบครัวพวกมันไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก แล้วก็กำจัดหัวเทียนจางไปพร้อม ๆ กันเลย ตาแก่นี่เหยียบหัวพวกเรามันนานหลายปีแล้ว ถ้าเรากำจัดมันให้สิ้นซากจากนี้ต่อไปตระกูลหัวก็จะเชื่อฟังแต่พวกเรา”
เมื่อได้ยินภรรยากล่าว หัวเทียนอวี้กลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
“พวกเธอลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้ยัยเด็กถังซวงนั่นเป็นผู้นำตระกูลถัง อีกทั้งยังมีคนหลายคนที่แอบให้การปกป้องช่วยเหลือเธอ คงเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะเก็บพวกมันไว้”
ทว่าหัวเฟยหลงกลับมองไปที่หัวโย่วเฉิงด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ และกล่าวว่า “นี่… พี่คิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ยังไง ผู้นำตระกูลทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด และทำเพื่อตระกูลหัวมาไม่น้อย ส่วนครอบครัวของถังหลาน ไม่ง่ายเลยที่จะตามหาลูกสาวของเฟยเฟิ่งจนกลับมาได้ พี่พูดได้อย่างไรว่าจะจัดการพวกเขา”
หัวโย่วเฉิงได้ยินหัวเฟยหลงกล่าว อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “นายคิดว่าจะสละตำแหน่งทายาทจริง ๆ แล้วก็ถูกกลืนหายไปจากทุกคน เป็นคนที่ไม่มีใครสนใจ อย่างนั้นสิ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ทำเป็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
เดิมทีหัวเทียนอวี้เองก็ลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กของเขาเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หัวเทียนจางเฉดหัวแกแล้ว แกจะยังไปคิดถึงพวกมันอีกทำไม ทำไมพวกมันไม่คิดถึงแกบ้าง แกเป็นลูกชายของผู้นำตระกูลมาตั้งกี่ปี พอตอนสุดท้ายกลับถูกบังคับให้สละตำแหน่งทายาท แกไม่คิดบ้างหรือว่าคนตระกูลหัวทั้งหมดจะหัวเราะเยาะแกยังไง”
เมื่อได้ยินดังนี้หัวเฟยหลงก็เงียบ
เขายังยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ
เมื่อหัวโย่วเฉิงเห็นว่าหัวเฟยหลงนิ่งไม่พูดไม่จา ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เฟยหลง แกก็ไปคิดดูเอาเองแล้วกัน ตัดสินใจได้เมื่อไหร่แล้วค่อยมาบอกฉัน”
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ถังซวงรอคนอื่น ๆ กลับมาที่บ้านแล้ว หัวเฟยเฟิ่งอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังซวงและถังเซวี่ยพลางกล่าว “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย คุณทวดของพวกหลาน… คงไม่รู้จะทำอย่างไร หัวเฟยหลงก็ถูกบ้านใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อจึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ ของตัวเอง พอวันนี้หัวเฟยหลงเสียตำแหน่งทายาทไป ก็เลยเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง”
ถังซวงได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณยาย พวกเรารู้แล้วละค่ะ”
แม้ถังซวงจะกล่าวแบบนี้ออกไป แต่หัวเฟยเฟิ่งก็รู้ว่าหลานสาวคนโตคนนี้ยังคงไม่พอใจคุณพ่อของเธออย่างแน่นอน
ตรงกันข้ามกับถังเซวี่ย เมื่อเธอนึกถึงความพยายามของหัวเทียนจางที่จะให้แร่แก่เธอและความตั้งใจความหวังที่จะสอนเรื่องต่าง ๆ ให้กับเธอแล้ว ภายในใจของเด็กสาวก็ไม่ได้คิดอะไรเลย มองหัวเฟยเฟิ่งด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณยาย พวกเราไม่ได้คิดมากอะไรกับคุณทวดแน่นอนค่ะ อีกอย่างคุณทวดและหัวเฟยหลงนับถือกันเป็นพ่อลูกกันมานานก็ย่อมมีความผูกพันกัน”
เมื่อได้ยินถังเซวี่ยเรียกคุณทวดอีกครั้ง หัวเฟยเฟิ่งก็ผ่อนลมหายใจ จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ยายแค่กลัวว่าหลานจะคิดมากกับคุณพ่อน่ะ”
เมื่อถังหลานเห็นแม่พยายามอธิบายแทนคุณตาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางกล่าว “เอาละค่ะ คุณแม่ พวกเราไม่ได้คิดมากแน่นอน ตอนนี้รีบกลับไปพักผ่อนเถอะนะคะ”
“อืม”
หลังจากที่ถังซวงกลับห้องของตนเอง ขณะที่กำลังจะพักผ่อนสักครู่ พอหันกลับไปก็เห็นว่าเป็นโม่เจ๋อหยวนที่ตามเข้ามา อดไม่ได้ที่จะมองพลางถาม “พี่ไม่กลับไปพักผ่อนหรือ?”
“ซวงเอ๋อร์ ฉันคิดว่าพวกเรายังต้องเฝ้าระวังหัวเฟยหลงไว้ก่อน ไม่ว่าใครที่ถูกปล้นตำแหน่งไปก็คงรู้สึกไม่พอใจแน่”
ถังซวงพยักหน้า “ใช่ ต้องระวังสักหน่อย อีกอย่างที่นี่ก็อยู่ในตระกูลหัวด้วย หากเกิดมีเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา เขาก็ค่อนข้างได้เปรียบ” เมื่อกล่าวจบ ถังซวงจึงให้ถังสือไปจับตาดูทางด้านหัวเฟยหลงและหัวเทียนอวี้ทันที หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เธอจะได้รู้ทันที
โม่เจ๋อหยวนเองก็ได้สั่งให้คนไปจับตาดูทางด้านหัวเทียนอวี้ไว้
ทว่าจับตาดูมาหลายวันก็ไม่มีข่าวคราวจากทางด้านหัวเทียนอวี้เลย จะมีก็แค่หัวเฟยหลงที่ขังตัวเองอยู่ในห้องสองวันสองคืน และเมื่อออกมาเขาก็ไปหาหัวโย่วเฉิง
“ผู้นำตระกูล ผมไม่ได้ยินว่าหัวโย่วเฉิงกับหัวเฟยหลงพูดคุยอะไรกัน แต่พวกเขาจะต้องปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่างแน่นอน ผมจะจับตาดูพวกเขาต่อไปครับ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ถังซวงก็พยักหน้า ทว่าในใจก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง
“ถังสือ นายไปย้ายคนจากตระกูลถังมาโดยเร็วที่สุด ดูท่าต้องรีบแก้ไขเรื่องตระกูลหัวทางนี้ให้ไวที่สุดแล้ว”
ในเมื่อมีอันตรายแอบแฝงอยู่ ก็ต้องรีบกำจัดทิ้งโดยเร็ว หากหัวเฟยหลงกับหัวโย่วเฉิงมีแผนการ ทางฝั่งนี้ก็สามารถซ้อนแผนได้ แล้วถือโอกาสกำจัดพวกเขา
เมื่อถังสือได้ยินถังซวงกล่าว ก็ตอบรับพลางพยักหน้าทันที “ครับ”
เมื่อเห็นถังสือกำลังจะออกไป ถังซวงก็เรียกเขาเอาไว้และยื่นซองจดหมายให้เขา “ในนั้นมีของที่ฉันต้องการอยู่ นายแค่เอาจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้ผู้เฒ่าตระกูลแล้วให้เขาเตรียมไว้ พอถึงเวลานายก็ค่อยเอามา”
“ครับ”
หลังจากที่ถังสือจากไป โม่เจ๋อหยวนมองไปที่ถังซวงพลางกล่าว “ซวงเอ๋อร์ เธอจะบอกเรื่องนี้กับคุณยายไหม”
“บอกค่ะ แต่ให้คุณยายได้พักหายใจก่อน”
เธอมองออกว่าความผูกพันระหว่างหัวเฟยเฟิ่งและหัวเฟยหลงนั้นไม่แน่นแฟ้นเท่าไหร่ หากถังเซวี่ยและหัวเฟยหลงมีการขัดแย้งกันแล้วละก็ เช่นนั้นหัวเฟยเฟิ่งจะต้องอยู่ข้างถังเซวี่ยแน่นอน