การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 616-3 งานหมั้นของจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ย (3)
- Home
- การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย
- บทที่ 616-3 งานหมั้นของจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ย (3)
บทที่ 616 งานหมั้นของจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ย (3)
ในขณะที่กล่าว แขกรับเชิญคนอื่น ๆ ก็มาถึงกันครบแล้ว งานหมั้นของจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ผู้เฒ่าจิงและคุณนายจิงมีความสุขเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งสองพาสองสามีภรรยาจิงซิวหรงและเมิ่งผิง รวมทั้งคู่บ่าวสาวจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยไปดื่มอวยพรทีละโต๊ะ ๆ
พอมาถึงโต๊ะของถังซวง จูรุ่ยก็โล่งใจ
ขนาดเมื่อครู่มีจิงเหวินรุ่ยคอยช่วยเธอดื่มแล้ว เธอก็ยังดื่มเข้าไปไม่ใช่น้อย ๆ แต่โต๊ะนี้มีแต่คนคุ้นเคยกัน น่าจะดีขึ้นมาหน่อย “พี่สาวซวง เข้าใจฉันด้วยนะคะ”
จิงเหวินรุ่ยกล่าวเช่นกันว่า “ใช่ พวกพี่ก็ดื่มกันตามอัธยาศัย พวกเราก็จะดื่มกันตามอัธยาศัยนะ”
เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของจิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ย ถังซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ ตามใจทั้งสองก็ได้”
หลังจากที่จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยดื่มอวยพรอีกสองสามโต๊ะ ก็กลับไปทานอาหารที่โต๊ะเจ้าภาพ
“เสี่ยวรุ่ย ทานอะไรเข้าไปหน่อยนะ”
จิงเหวินรุ่ยตักอาหารให้จูรุ่ยด้วยความใส่ใจ
จูรุ่ยก็รู้สึกหิวอยู่บ้างจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทาน
จิงเหวินรุ่ยเห็นเช่นนั้นก็ทานบ้าง
หลังจากที่งานหมั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว โม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานก็ช่วยคนตระกูลจิงส่งแขก เมื่อแขกทุกคนกลับกันแล้ว พวกถังซวงจึงได้กลับบ้าน
ส่วนจูรุ่ยและจิงเหวินรุ่ยก็พาแขกที่มาจากเมืองท่าไปพักที่โรงแรม
หลังจากที่ถังซวงถึงบ้านและกำลังจะกลับไปพักผ่อน ก็ถูกโม่เจ๋อหยวนเรียกตัวไว้ “ซวงเอ๋อร์ อีกสักพักฉันต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัย มีเรื่องต้องจัดการพอดีน่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ถังซวงจึงกล่าวพลางพยักหน้า “อืม พี่รีบไปเถอะ ถ้ามีอะไรก็ค่อยติดต่อมาหาพวกเรานะ”
“อืม”
โม่เจ๋อหยวนกล่าวจบก็รีบออกไปทันที
ไม่รู้ว่าเฟิงเยี่ยหานนัดกับโม่เจ๋อหยวนไว้หรือเปล่า เพราะเขาก็ต้องจากถังเซวี่ยไปเช่นกัน
“เสี่ยวเซวี่ย ที่เมืองไห่เฉิงเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ผมเลยต้องกลับไปดูครับ”
ถังเซวี่ยรีบกล่าว “ถ้างั้นคุณก็รีบไปเถอะค่ะ”
แม้เฟิงเยี่ยหานจะไม่อยากไป แต่เขาก็ต้องจำต้องจากไป “เสี่ยวเซวี่ย ถ้าผมทำธุระเสร็จแล้วจะมาหาคุณใหม่นะ”
“ค่ะ”
ถังเซวี่ยโบกไม้โบกมือ และกล่าวลาเฟิงเยี่ยหานด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่โม่เจ๋อหยวนและเฟิงเยี่ยหานจากไปแล้ว ถังซวงและถังเซวี่ยก็ยุ่งมาก
ถังซวงกำลังพัฒนาเครื่องสำอางชุดใหม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานแสดงสินค้าในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ และถึงแม้ว่าบริษัทเครื่องสำอางซวงฮวาจะยังไม่ได้มีการออกบูธก็ตาม ทว่าโอกาสล้วนเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม ดังนั้นเธอจึงวางแผนที่จะพัฒนาเครื่องสำอางชุดใหม่โดยรวมกับเครื่องสำอางที่ก่อนหน้านี้มีอยู่สองตัวคือตัวที่เก็บความชุ่มชื้นปรับผิวให้ขาว และกระชับผิวต้านริ้วรอย โดยจะมีการจัดแสดงเครื่องสำอางทั้งหมดสามตัว
ส่วนถังเซวี่ยก็ยุ่งอยู่กับการวาดแบบ
แม้แต่ถังชุนหยานก็ไม่มีเวลาว่าง ทุกวันเธอจะออกไปข้างนอกตอนเช้า กว่าจะกลับก็เย็นเพื่อเตรียมเปิดร้านใหม่ เธอมีหลายเรื่องที่ต้องทำทั้งไปดูโรงงานหลายแห่งเพื่อทำโบรชัวร์และกล่องของขวัญ
ถังชุนหยานกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านตระกูลจิง แต่เมื่อเธอเดินผ่านไปได้ครึ่งทางก็ถูกใครบางคนขวางเอาไว้
“ถังชุนหยาน เป็นแกจริง ๆ ด้วย ไม่คิดเลยว่าแกจะอยู่ที่ปักกิ่ง แกนี่เก่งจริง ๆ เลยนะ ตัวเองมาถึงเมืองใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่ลืมกำพืดตัวเอง แกนี่มันเป็นคนอกตัญญูจริง ๆ”
ถังชุนหยานได้ยินก็รีบเงยหน้ามองคนที่ขวางเธอเอาไว้ เพียงแวบเดียวสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที
“ถังไห่โป นายมาที่นี่ได้ยังไง!”
ถังไห่โปจ้องมองไปที่ถังชุนหยาน และกล่าวว่า “ยัยถังชุนหยานตัวดี แม้แต่คำว่าพี่ก็ไม่มี แกกล้าดียังไงมาเรียกชื่อฉัน”
ถังชุนหยานไม่คาดคิดว่าจะบังเอิญเจอถังไห่โปที่ปักกิ่ง เธอจึงถามออกไปหลังจากพยายามสงบสติอารมณ์ “นายมาที่ปักกิ่งได้ยังไง?”
ถังไห่โปได้ยินก็หัวเราะเย้ย แล้วตอบ “ทำไม… ฉันจะมาปักกิ่งไม่ได้หรือไง แกไม่อยากให้พวกเราตามหาแกเจอล่ะสิ ยัยตัวดีตอนนี้แกคงอยู่ดีกินดีกับพวกยัยถังซวงล่ะสิท่า ถึงได้ลืมคนในบ้านตัวเองไปหมด”
ถังชุนหยานหัวเราะเสียงเย็นพลางกล่าว “หึ… ในเมื่อพวกคุณขายฉันมาแล้ว ฉันยังจะต้องจำไปทำไม ที่นั่นมันไม่ใช่บ้านของฉันอยู่แล้ว”
“ยัยตัวดี ที่บอกว่าพวกฉันขายแกน่ะหมายถึงอะไร ในชนบทก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น แกแต่งงานไปก็ได้สินสอด จะได้ให้ฉันเอาไปแต่งเมีย แต่แกไม่ยอมเสียสละเพื่อครอบครัว แล้วยังกล้าหนีอีก ตอนนั้นพวกฉันคิดว่าแกตายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าแกกลับมีชีวิตสุขสบาย มีอันจะกินมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
เมื่อกล่าวจบ ถังไห่โปไล่สายตามองถังชุนหยานตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก
“ดูชุดที่แกใส่ตอนนี้สิ นี่มันคงราคาแพงมากสินะ ตอนนี้ชีวิตของแกดีขึ้นแล้ว แต่คนเนรคุณอย่างแกกลับลืมคนในครอบครัว พ่อแม่เลี้ยงดูแกจนโตขนาดนี้ แต่แกตอบแทนพวกเขาแบบนี้หรือ”
“เนรคุณอะไร ถังไห่โป นายนั่นแหละคือคนที่ไม่มีจิตสำนึกที่สุด”
ถังชุนหยานโกรธมากจนชี้หน้าด่าถังไห่โป “ตั้งแต่เล็กจนโต นายทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้าง นายไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แล้วยังต้องให้ทุกคนตามใจนายอีก แค่เพราะนายเป็นผู้ชายอย่างนั้นหรือ”
“แค่เพราะนายเป็นผู้ชาย นายถึงสามารถขอให้คนอื่นเสียสละเพื่อนายและหาเงินให้นายใช้อย่างไม่อาย หน้าตานายก็งั้น ๆ คิดว่าตัวเองหล่อมากมั้ง”
เมื่อได้ยินดังนี้ถังไห่โปโกรธแทบบ้า
“แก…”
ไม่ทันที่ถังไห่โปจะกล่าวจบ ถังชุนหยานกล่าวอย่างไม่สนใจ “ยิ่งไปกว่านั้นฉันได้ตอบแทนครอบครัวไปแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ก่อนหน้านี้ฉันก็ส่งเงินก้อนใหญ่ไปให้พวกเขา นายน่าจะได้รับไปตั้งนานแล้ว เงินก้อนนั้นมากพอที่จะให้นายไปแต่งเมียและสร้างบ้านด้วยซ้ำ”
“เงินนั้น… ฉันได้รับแล้ว แต่ถ้าแกต้องการใช้เงินก้อนนี้เพื่อตัดขาดกับพวกเรา ก็ไม่มีทางซะหรอก”
เมื่อได้ยินดังนี้ ถังชุนหยานก็นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้าน และเรื่องที่เธอเกือบจะต้องติดแหง็กอยู่ที่ภูเขาเพราะเงินสินสอด หากตอนนั้นไม่ได้ถังซวง เธอก็ไม่กล้าคิดเลยว่าตนเองจะเป็นอย่างไร เหตุนี้เองทำให้ความรู้สึกของเธอประเดประดังขึ้นมาในทันที
“ถังไห่โป แล้วนายต้องการอะไรกันแน่ หรือนายจะขายฉันเพื่อแต่งเมียให้ได้เลยใช่ไหม นายถึงจะสาแก่ใจ ถ้าไม่ได้พี่ถังซวงและพี่เขย ฉันคงถูกซ้อมจนตายไปแล้ว”
ก่อนหน้านี้เธอโอนเงินก้อนใหญ่ให้ที่บ้านโดยไม่ระบุตัวตน พร้อมกับส่งโทรเลขไปเพื่อให้รู้ว่าเงินก้อนนั้นเธอเป็นคนโอน พวกเขาจะได้ไม่ต้องตามหาเธออีก คิดซะว่าให้เงินนั่นตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดู
สุดท้ายไม่คาดคิดว่าวันนี้ตนจะเจอถังไห่โปโดยบังเอิญ
เมื่อถังไห่โปได้ยิน เขาก็หัวเราะเสียงเย้ยพลางกล่าว “หึ…แกคิดว่าเงินแค่นั้นมันจะพอหรือ ฉันจะบอกแกให้นะว่ามันไม่พอหรอก แกจะต้องโอนเงินส่งกลับไปที่บ้านทุกเดือน”