การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 62 รับเป็นศิษย์(รีไรท์)
บทที่ 62 รับเป็นศิษย์(รีไรท์)
บทที่ 62 รับเป็นศิษย์(รีไรท์)
เมื่อเฮ่อหลานได้ยินคำพูดของลูกสาวคนโต เธอพยักหน้าและพูดว่า “จริงด้วย งั้นแม่จะเอาไปคืนให้พวกเขาตอนนั้นนะ”
เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอเริ่มวางแผนจะทำอะไรกินในวันพรุ่งนี้ ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “แม่คะ ทักษะการทำอาหารของแม่ดีมาก ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เสี่ยวเซวี่ยกับหนูจะไปในตำบลพรุ่งนี้ เดี๋ยวเราจะดูวัตถุดิบมาให้นะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อหลานก็พยักหน้า “ดีเหมือนกันจ้ะ ไว้ค่อยคุยกันหลังจากเราซื้อของเสร็จในวันพรุ่งนี้แล้วกัน แต่…ซวงเอ๋อร์ พรุ่งนี้ลูกไปซื้อของแค่พอกินก็พอนะ” เธอกลัวว่าลูกสาวจะใช้จ่ายมากเกินไปเหมือนวันนี้
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเธอได้ยิน “แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูเข้าใจ”
จากนั้นเธอกับเฮ่อหลานก็คุยกันเรื่องซื้อบ้านในตำบล
เมื่อเฮ่อหลานได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ซวงเอ๋อร์ ลูกต้องการซื้อบ้านในตำบลจริง ๆ หรือ? แต่มันแพงมากเลยนะ เราจ่ายไม่ไหวหรอก อีกสักสองสามปีเราค่อยมาคิดเรื่องนี้กันเถอะ?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ เรามีเงินพอแน่”
ถึงได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น เฮ่อหลานก็ยังกังวลเล็กน้อย “ซวงเอ๋อร์ ลูก…ลูกไม่ได้คิดจะขายเครื่องประดับพวกนั้นใช่ไหม? ลืมมันไปเลยนะ มันจะเป็นอันตรายถ้ามีคนรู้เข้า” มันไม่ปลอดภัยที่จะขายสิ่งเหล่านั้น
ถังเซวี่ยยังมองไปที่ถังซวงอย่างเป็นกังวลและพูดว่า “ใช่พี่สาว เช่าบ้านก็พอแล้วสำหรับเรา เราไม่จำเป็นต้องซื้อหรอก”
ถังซวงหัวเราะทันทีเมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น และพูดว่า “ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูจะไม่ขายของพวกนั้นแน่ แต่หนูมีเงินอยู่ในมือ และเป็นเงินที่ฉันได้จากการขายยาค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อหลานก็ผงะไปชั่วขณะจากนั้นก็ตอบสนอง
“ซวงเอ๋อร์ เป็นไปได้ไหมว่า… ยาที่ลูกพูดถึงคือยาเพื่อสุขภาพที่เรากำลังกินอยู่?”
ถังซวงพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ใช่ค่ะแม่ เรากินมาระยะหนึ่งแล้ว และก็เห็นผลที่ชัดเจนว่ามันมีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นยาที่หนูทำจึงขาดตลาด และหนูก็ได้เงินมามาก เพียงพอที่จะซื้อบ้านในตำบลด้วย”
“ว้าว… พี่สาว พี่สุดยอดมาก”
ใบหน้าของถังเซวี่ยเต็มไปด้วยความชื่นชมเมื่อมองไปที่ถังซวง
เฮ่อหลานอดก็ไม่ได้ที่จะชื่นชมเช่นกัน “ซวงเอ๋อร์ ลูกช่างน่าทึ่งจริง ๆ คุณยายของลูกคงมีความสุขมากแน่ถ้าท่านได้เจอลูก เธอชอบเด็กฉลาด ๆ น่าเสียดาย… แม่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่” แต่ในไม่ช้า เธอนึกขึ้นได้อีกครั้ง “ซวงเอ๋อร์ ในเมื่อยานี้มีค่ามาก แม่ก็จะไม่กินมันแล้ว ลูกเอามันไปขายเถอะ”
เมื่อถังซวงได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แม่คะ ไม่ว่ามันจะมีราคาแค่ไหน ก็ไม่มีสิ่งไหนมีค่าเท่ากับร่างกายของเราหรอกค่ะ ดังนั้นเราสามคนแม่ลูกต้องกินมันทุกวัน หนูจะทำเพิ่มอีกในสองสามวันนี้ เพราะอย่างนั้นแม่ก็กินมันต่อไปนะ ถ้าหนูเห็นว่าแม่ไม่กิน หนูคงเสียใจแย่ อีกอย่างหนูจะทำยาขึ้นมาอีกตอนไหนก็ได้ มันไม่มีค่าสำหรับหนูหรอกค่ะ”
เฮ่อหลานรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวคนโต ลูกสาวมักจะคิดถึงเธอเสมอ ดังนั้นเฮ่อหลานจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “ตกลง แม่จะกินตรงเวลาแน่นอน”
ถังเซวี่ยพูดขึ้นที่ด้านข้างว่า “พี่สาว ฉันจะกินให้ตรงเวลาด้วย”
ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินแม่ของเธอพูดถึงคุณยายเฮ่อ ดังนั้นถังซวงจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณยายอยู่คนเดียวมาตลอดเลยหรือคะ? แล้วทำไมเธอถึงชอบคนฉลาดล่ะ?”
เมื่อเฮ่อหลานได้ยินสิ่งนี้ ความทรงจำในวัยเด็กก็หวนคืนมาในห้วงความคิด และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความคิดถึง
“ตั้งแต่แม่จำความได้ แม่กับคุณยายก็อยู่ด้วยกันมาตลอด แม้ว่าแม่จะเป็นเพียงลูกสาวบุญธรรมของคุณยาย แต่เธอก็ดูแลแม่เหมือนลูกสาวแท้ ๆ และดูแลแม่เป็นอย่างดี ช่วงเวลาที่แม่เป็นเด็กเป็นช่วงเวลาที่แม่มีความสุขมากที่สุดจริง ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังเซวี่ยก็ไม่สามารถอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นได้
“แม่คะ แล้วทำไมแม่ถึงแต่งงานกับคนอย่างถังเจี้ยนกั๋วได้ล่ะ? แล้วคุณยายเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไหมคะ?”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะสะกิดถังเซวี่ย กาไหนน้ำไม่เดือด ก็หยิบกานั้น[1]* จริงๆ
สำหรับเฮ่อหลาน การแต่งงานเข้าตระกูลถังนั้นถือได้ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งมหันต์ของเธอ นับประสาอะไรกับไอ้สารเลวนั่น ไม่ว่าจะแต่งงานด้วยเหตุผลอะไร ความจริงก็คือความจริง การไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หลังจากที่ถังเซวี่ยถามคำถามนี้ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
แต่เมื่อเฮ่อหลานได้ยินชื่อของถังเจี้ยนกั๋ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกปั่นป่วนในใจอีกต่อไป “เพราะตอนนั้นแม่ตกลงไปในคูน้ำโดยไม่ตั้งใจ และขึ้นมาไม่ได้ แต่ถังเจี้ยนกั๋วกลับรีบวิ่งลงมาและอุ้มแม่ขึ้นจากน้ำ ในเวลานั้นมีคนมากมายเห็นและเสื้อผ้าของแม่ก็เปียกอยู่ และในที่สุดแม่ลงเอยด้วยการแต่งงานกับเขา”
ในตอนท้าย เฮ่อหลานถอนหายใจและพูดว่า “ในตอนนั้น คุณยายของลูกเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีใครตัดสินใจแทนแม่ทั้งนั้น เป็นแม่เองที่ตัดสินใจแต่งงานเหมือนกับเป็ดที่ถูกจับขึ้นหิ้ง”
ถังซวงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เพียงเพราะถังเจี้ยนกั๋วกอดแม่ตอนที่เสื้อผ้าเปียกอยู่ พวกเขาจึงแต่งงานกันนี่นะ นี่มัน…
“แม่คะ จากนี้ไปเราจะอยู่กันสามคนแม่ลูก และชีวิตของเราจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเราไม่ต้องคิดถึงเรื่องแย่ ๆ พวกนั้นอีกต่อไปแล้วนะคะ”
ถังเซวี่ยรีบเอ่ยเสริม “ใช่ค่ะแม่ หนูไม่ควรถามออกไปเลย แม่ควรตีหนูนะ” เธอตบปากตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ
เฮ่อหลานมองลูกสาวคนเล็กด้วยความขบขันและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ลูกจะตบปากตัวเองทำไม? มา ๆ อย่าพูดถึงความโชคร้ายเหล่านั้นอีกเลย ให้แม่พูดถึงคุณยายของลูกดีกว่า”
ในระหว่างการสนทนา เฮ่อหลานพูดเรื่องมากมายเกี่ยวกับคุณยายเฮ่อ
“คุณยายของลูกเก่งมาก เธอเป็นคนสอนแม่ปักผ้า ดังนั้นแม่จึงเก่งกว่าคนรับงานปักผ้าทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้น คุณยายของลูกก็เอาแต่พูดว่าตัวเองปักไม่เก่ง ตอนเรียนปักก็ไม่ได้จริงจังกับมันเลย มันเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ แต่ถึงเป็นแบบนั้นมันก็สวยมาก”
“คุณยายเป็นคนสอนแม่อ่านหนังสือ จริง ๆ แล้วเธอสอนแม่อีกหลายอย่างตอนที่แม่ยังเด็ก แต่แม่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากนัก นอกจากนี้ คุณยายของลูกก็แก่มากแล้วในตอนนั้น ท้ายที่สุดแล้วเธอเลยไม่ได้สอนแม่ทั้งหมด”
“คุณยายเป็นคนของหมู่บ้านเถาฮวาหรือเปล่าคะ?”
เมื่อนึกถึงสมบัติที่เจอในห้องลับ ถังซวงรู้สึกว่าคุณยายที่เธอไม่เคยเจอมาก่อนต้องเก่งมากแน่ ในนั้นมีทั้งบันทึกและหนังสือหลายแขนง ซึ่งหมายความว่าต้องมีคนเคยอ่านมันมาก่อน และบันทึกยังสวยงามมาก คุณยายเฮ่อต้องเป็นหญิงชราที่สง่างามและสูงศักดิ์มากมาก่อนแน่
เฮ่อหลานส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และพูดว่า “คุณยายของลูกไม่ได้เป็นคนหมู่บ้านเถาฮวา แต่คุณยายของลูกไม่ได้บอกว่าเธอมาจากไหน เธอบอกเพียงว่าเธอมาที่หมู่บ้านเถาฮวาในช่วงสงครามและอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นมา”
“อ่อ”
ไม่น่าแปลกใจที่ครอบครัวนี้ไม่มีญาติในหมู่บ้านเถาฮวาเลย
แต่สุดท้ายถังซวงก็ยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณยายเฮ่อคือใคร และทำไมเธอถึงมาที่หมู่บ้านเถาฮวาได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบได้อีกต่อไป เพราะมันได้ผ่านไปหลายปีแล้ว
“อีกอย่าง ก่อนที่คุณยายจะเสีย คุณยายให้ป้ายไม้ไว้ด้วย แต่แม่ไม่รู้ว่ามันคือป้ายอะไร”
เพราะมันทำจากไม้จึงไร้ค่า และยังคงอยู่กับเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากที่เฮ่อหลานหยิบป้ายไม้ออกมา ถังซวงหรี่ตามองอย่างถี่ถ้วน
นี่ไม่ใช่ป้ายไม้ธรรมดาแต่เป็นไม้กฤษณาคุณภาพสูง เป็นเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้จัก แม่ของเธอจึงยังรักษามันไว้ได้จนถึงทุกวันนี้
ถังซวงมองอย่างระมัดระวัง และพบว่าบนป้ายไม้ไม่มีอะไรอื่นนอกจากคำว่า ‘เฮ่อ’ และคำว่า ‘เอ้อร์’ ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“แม่คะ ในเมื่อคุณยายทิ้งไว้ให้แล้ว งั้นเราควรเก็บรักษามันให้ดีนะคะ”
เฮ่อหลานวางป้ายไม้นั้นแล้วพูดว่า “ใช่ เมื่อไหร่ก็ตามที่แม่คิดถึงคุณยายของลูก แม่จะหยิบมันออกมาดูเสมอ”
หลังจากนั้นแม่และลูกสาวก็คุยกันสักพักและในที่สุดก็กลับไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น สามแม่ลูกไปในตำบลด้วยกัน
ถังซวงและถังเซวี่ยไปซื้อผัก ขณะที่เฮ่อหลานไปเข้าร่วมการฝึกอบรมที่ร้านขายผ้า
เมื่อแม่และลูกสาวกลับมาพบกันอีกครั้ง ถังซวงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าแม่ของเธอมีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย “แม่คะ แม่ดูมีความสุขมาก มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือคะ?”
“ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ในระหว่างการฝึกวันนี้ จู่ ๆ ก็มีคนมาดูการฝึกของเราด้วย แล้วแม่ก็พบว่าคน ๆ นั้นคือ อาจารย์ซู ปรมาจารย์ด้านการเย็บปักถักร้อยที่มีชื่อเสียงในเมืองซู เธอเข้ามาคุยกับแม่และต้องการรับแม่เป็นศิษย์ของเธอด้วย”
[1] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น เป็นสำนวน หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด