การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 627 งานหมั้นของถังเซวี่ย (1)
บทที่ 627 งานหมั้นของถังเซวี่ย (1)
ถังเซวี่ยได้ยินเฟิงเยี่ยหานกล่าวก็ยินดีเป็นอย่างมาก
“จริงหรือ ต่อไปคุณจะมาอยู่ที่ปักกิ่งจริง ๆ หรือ?”
เฟิงเยี่ยหานเห็นใบหน้าดีใจของถังเซวี่ยก็รู้สึกว่าการทำงานหนักเกือบหกเดือนที่ผ่านมาช่างคุ้มค่า เขาพยักหน้ายิ้ม ๆ และพูดว่า “ครับ ผมจะมาอยู่ที่ปักกิ่ง ต่อไปพวกเราก็จะได้เจอกันทุกวัน ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน”
“ดีจังเลย”
ถังเซวี่ยรู้สึกดีใจมาก เธออ้าแขนกอดเฟิงเยี่ยหานเอาไว้พร้อมรอยยิ้ม “เฟิงเยี่ยหาน ที่แท้ช่วงนี้คุณก็ยุ่งอยู่กับสิ่งนี้นี่เอง ลำบากแย่เลย”
เฟิงเยี่ยหานรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ เขาเอื้อมมือไปกอดถังเซวี่ยเอาไว้ และเอ่ยกระซิบข้างหูของเธอ “ไม่ลำบากหรอก เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันกับคุณ อะไรผมก็ยอมแลกได้หมด”
เมื่อเฟิงเยี่ยหานสู่ขอเป็นที่เรียบร้อยจึงกลับเมืองไห่เฉิงไป เพราะจำเป็นต้องจัดการงานสุดท้ายให้เสร็จ
ส่วนถังซวงก็กลับไปมหาลัยอีกครั้ง หลังจากได้พักผ่อนอยู่หลายวัน
เมื่อต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านเจอถังซวงก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แม้แต่เหยาหงเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอถังซวง
“ถังซวง ในที่สุดเธอก็กลับมาเรียนแล้ว นี่ถ้าเธอไม่กลับมาเรียน ก็จะหมดเทอมนี้แล้วนะเนี่ย”
ถังซวงกล่าวยิ้ม ๆ “ฉันก็กลับมาแล้วนี่ไง ช่วงนี้พวกเธอจดบันทึกอะไรกันไว้มั้ย ฉันขอยืมอ่านหน่อยสิ”
เมื่อต้วนเฟิ่งหยิงได้ยินก็กล่าวออกไปทันที “ถังซวงยังต้องอ่านอะไรอีก ต่อให้ทั้งเทอมนี้เธอไม่ได้เรียน ยังไงเกรดเธอก็ดีกว่าพวกเราอยู่แล้ว” เธอก็พอมองออกว่าความสามารถของถังซวงนั้นเหนือกว่าพวกเธอมาก
“ยังไงก็ต้องอ่านอยู่ดีนั่นแหละ”
ถังซวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันไปบอกกับพวกต้วนเฟิ่งหยิง “กลางวันนี้เรามากินข้าวด้วยกันนะ”
“ได้เลย”
หลังจากที่ถังซวงนั่งลงแล้ว ต้วนเฟิ่งหยิงก็เข้ามาใกล้ ๆ ถังซวง และกระซิบบอกว่า “ถังซวง ตอนนี้มีเรื่องในมหาลัยที่กำลังลือกันอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือไม่จริง?”
“เรื่องอะไร?”
เมื่อถังซวงเห็นท่าทีสงสัยของต้วนเฟิ่งหยิงก็เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฉันได้ยินมาว่าปักกิ่งมีร้านเครื่องสำอางราคาแพงหูฉี่อยู่ร้านหนึ่ง ที่ชื่อเครื่องสำอางของซวงฮวาอะไรนั่น คนเขาบอกกันว่าเป็นร้านที่เธอเปิด จริงหรือเปล่า?”
เมื่อถังซวงได้ยินก็หันไปถามด้วยความประหลาดใจ “ทุกคนเขาพูดกันหมดเลยหรือ?”
ต้วนเฟิ่งหยิงและเจียนหวานหว่านพากันพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่สิ เขาพูดกันหมด ในห้องเรียนเราเขารู้กันหมดแล้วด้วยซ้ำ”
ไม่ทันที่ถังซวงจะได้กล่าว ในห้องเรียนก็มีคนหันมาถามถังซวง “ถังซวง เธอเปิดร้านเครื่องสำอางซวงฮวาจริงหรือเปล่า เครื่องสำอางพวกนั้นเป็นของที่เธอวิจัยพัฒนาขึ้นมาเองหรือ ได้ยินมาว่าราคาที่ขายนี่สูงเฉียดเพดานเลย เรื่องพวกนี้มันจริงหรือเปล่า?”
ถังซวงได้ยินก็ขมวดคิ้วมอง จึงพบว่าคนอื่น ๆ ในห้องเรียนก็พากันมองเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าไปตามนั้นแล้วกล่าวว่า “ใช่ ฉันเปิดร้านเครื่องสำอาง และเครื่องสำอางพวกนั้นเป็นของที่ฉันวิจัยพัฒนาขึ้นมาเอง แต่เครื่องสำอางพวกนั้นก็คุ้มกับราคา ราคานั้นก็เหมาะสมแล้ว”
“ว้าว…”
เมื่อเห็นว่าถังซวงยอมรับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ก็พากันตกใจ เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความอิจฉาตาร้อน “ยังจะกล้าพูดอีก ได้ยินมาว่าเครื่องสำอางพวกนั้นราคาตั้งหลายร้อย ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าของมันคุ้มราคาขนาดไหนกันเชียว”
“นั่นน่ะสิ เงินตั้งขนาดนั้นมันพอให้คนทั้งบ้านใช้ได้มากกว่าครึ่งปีเลยนะ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเธอตั้งราคายังไง แล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคนเขาถึงซื้อ”
“คนมีเงินก็มีเงินนั่นแหละ พวกเขาสามารถเอาเงินมากขนาดนั้นไปซื้อเครื่องสำอางโดยไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ส่วนคนที่ไม่มีเงินก็เป็นทุกข์อยู่กับเรื่องปากท้อง ช่างต่างกันมากเหลือเกิน”
“ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ถังซวงมีความสามารถขนาดนี้ล่ะ เธอขายราคาแพงขนาดนั้น ก็ยังมีคนซื้อเลย พวกเราอิจฉาไปก็เท่านั้นแหละ”
ถังซวงได้ยินเสียงพูดจาเลอะเทอะของคนที่อยู่รอบ ๆ ก็ไม่ได้กล่าวอะไร แต่กลับมองเพื่อนร่วมชั้นทีละคน ซึ่งคนส่วนหนึ่งไม่ได้คล้อยตาม เพียงแต่มองเธอด้วยความสงสัย และอีกส่วนหนึ่งไหลไปตามคนที่พูดจาเสียงดังคนนั้น ใครพูดอะไรก็พูดตาม พวกเขาจ้องมองเธออย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าเธอเป็นนายทุนหน้าเลือด
ถังซวงมองอยู่ครู่หนึ่ง และในขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ต้วนเฟิ่งหยิงลุกขึ้นยืนทันที
เธอตบโต๊ะอย่างแรงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “พวกเธอหุบปากไปเลยนะ พวกเธอไม่รู้อะไรแล้วยังมาตั้งคำถามกับถังซวงอีก เห็นคนทำงานได้เงินแล้วมันทนมองไม่ได้หรือไง ถ้าตัวพวกเธอเองมีความสามารถแบบนี้ ก็ออกไปหาเงินบ้างสิ ไม่มีใครเขาไปขวางพวกเธอซะหน่อย”
หลายคนเมื่อได้ยินต้วนเฟิ่งหยิงกล่าว ก็พูดเยาะเย้ยว่า “หมายความว่าเธอมีความสามารถอย่างนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เป็นเพราะที่บ้านมีฐานะ เธอถึง…”
ไม่ทันที่คนเหล่านี้จะกล่าวจนจบ หวังอี้ อาจารย์ผู้ดูแลก็เดินเข้ามา เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงทะเลาะกันของนักศึกษาในชั้นมาแต่ไกล จึงขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ไม่ทันที่คนเหล่านั้นจะได้กล่าว ต้วนเฟิ่งหยิงก็อธิบายเรื่องนี้สั้น ๆ และกล่าวปิดท้ายว่า “อาจารย์คะ พวกเขาอิจฉาถังซวง ถึงได้พูดจาดูถูกเย้ยหยันกันแบบนี้ ผลการเรียนของถังซวงดีที่สุดในชั้นมาโดยตลอด ในเมื่อเธอสามารถเปิดร้านได้ และสามารถขายของราคาแพงขนาดนั้นได้ ก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ แล้วละก็ ร้านมันเป็นของถังซวง ถ้าคิดจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ ไม่จำเป็นต้องให้พวกหล่อนมาพูดพล่อย ๆ ใส่”
“เธอ…”
คนพวกนั้นชะงักงันเพราะคำพูดของต้วนเฟิ่งหยิง ทว่าในใจกลับอดกลั้นความโกรธเอาไว้
เมื่อหวังอี้ได้ฟังที่ต้วนเฟิ่งหยิงกล่าว เขาก็เห็นด้วยในทันที “ที่ต้วนเฟิ่งหยิงพูดก็ไม่ผิด ถังซวงคิดจะทำอะไรก็เรื่องของเธอ ยิ่งกว่านั้นนี่มันเป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้”
เมื่อกล่าวจบหวังอี้หันไปมองพวกนักศึกษาที่ส่งเสียงดังพวกนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ผมไม่เคยคิดเลยว่านักศึกษาในชั้นเรียนของเราจะมีความคิดแบบนี้ ผมล่ะอึ้งจริง ๆ”
หวังอี้โยนหนังสือในมือลงบนแท่นบรรยายทันที
“พวกคุณคงไม่รู้ว่าถังซวงได้พยายามทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง เธอตั้งใจพยายามหาเงินจากต่างชาติจำนวนไม่น้อยเข้ามาด้วยตัวคนเดียว นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ทางมหาลัยก็รอที่จะให้รางวัลชื่นชมเธอ สุดท้ายพวกคุณกลับมาตั้งแง่อิจฉา คุณคิดอะไรอยู่กันแน่”
เมื่อได้ยินหวังอี้กล่าวนักศึกษาในชั้นต่างพากันอึ้ง
“เงินจากต่างชาติ อะไรนะคะ?”
หวังอี้เล่าข่าวทั้งหมดที่เขาเพิ่งได้รับทราบ และกล่าวปิดท้ายว่า “ก่อนหน้านี้ที่ถังซวงได้ขอลาก็เพื่อที่จะเข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้าในฤดูใบไม้ผลิ และเธอก็ช่วยให้คนจากหลาย ๆ หน่วยงานได้รับคำสั่งซื้อจากต่างชาติ ในขณะเดียวกันก็ผลิตเครื่องสำอางนำไปขายส่งออกต่างประเทศ และเครื่องสำอางของซวงฮวาก็ได้รับเสียงชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน เธอมีความสามารถมากจริง ๆ พวกคุณลองถามตัวเองดูว่าสามารถทำได้ขนาดนี้หรือเปล่า”