การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 64 การซื้อบ้าน(รีไรท์)
บทที่ 64 การซื้อบ้าน(รีไรท์)
บทที่ 64 การซื้อบ้าน(รีไรท์)
เมื่อได้ยินแบบนี้ โม่เจ๋อหยวนมองไปที่ถังซวงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ฉันเอามาให้แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องหาแล้วล่ะ ช่วงนี้ฉันก็คงมาที่นี่อยู่บ่อย ๆ ถ้าเธอไม่เข้าใจอะไรก็ถามฉันได้เลยนะ”
แต่เมื่อคิดถึงความสามารถของถังซวง เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “แต่ฉันเดาว่าเธอคงเข้าใจทั้งหมดเองได้แน่ คงไม่ต้องการฉันหรอก”
“ฉันไม่ได้รู้ทุกอย่างซะหน่อย ถ้าฉันไม่รู้จริง ๆ จะถามพี่นะ”
ถังเซวี่ยก็ร่วมวงด้วย “ใช่ พี่ชายโม่ เราจะถามพี่แน่นอนถ้าเราไม่เข้าใจ”
ด้วยเพิ่งได้หนังสือเรียนสำหรับชั้นมัธยมต้นมา พวกเธอจึงใช้เวลาช่วงบ่ายในการอ่านหนังสือ
หลังจากหลี่จงอี้มาถึงในตอนเย็น ทุกคนก็ทานอาหารเย็นพร้อมกัน จากนั้นหลี่จงอี้และโม่เจ๋อหยวนก็กลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น สามคนแม่ลูกได้ตรงไปในตำบล
หลังจากตรวจสอบที่อยู่แล้ว เฮ่อหลานก็มองไปที่บ้านพักตรงหน้าแล้วพูดว่า “นี่คือที่ที่อาจารย์ซูพักอยู่”
เมื่อเห็นว่าที่อยู่ถูกต้อง ถังซวงจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แม่คะ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
เมื่อพวกเธอมาถึงประตู เฮ่อหลานก็เคาะอย่างประหม่า
คนที่มาเปิดประตูเป็นผู้หญิงที่สง่างามราวห้าสิบปี เธอมองไปที่เฮ่อหลานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดว่า “เธอมาแล้ว” จากนั้นเธอก็มองไปที่ถังซวงกับถังเซวี่ยอย่างสงสัยและถาม “นี่คือลูกสาวทั้งสองคนของเธอใช่ไหม?”
เฮ่อหลานรีบพูดตอบ “ใช่ค่ะ นี่คือลูกสาวคนโตของฉัน ถังซวง และนั่นคือถังเซวี่ยลูกสาวคนเล็กค่ะ วันนี้พวกเธอมากับฉันด้วยน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเหนียนอวิ๋นยิ้มให้ถังซวงกับถังเซวี่ยอย่างใจดีและพูดว่า “เข้ามานั่งก่อนสิ”
หลังจากเข้ามาในห้อง เฮ่อหลานที่เครียดอยู่ก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย เธอเริ่มพิธีการรับศิษย์ที่เตรียมไว้และพูดว่า “อาจารย์ซูคะ ขอบคุณที่ให้สนใจในตัวฉันนะคะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งฉันจะได้เป็นศิษย์ของคุณ”
ซูเหนียนอวิ๋นยอมรับเฮ่อหลานทันที จากนั้นขอให้เฮ่อหลานรินชา
“ทำไมเธอยังเรียกว่าอาจารย์ซูอยู่ล่ะ ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่หรอกหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อหลานก็รินชาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็พูดว่า “อาจารย์คะ ได้โปรดดื่มชาค่ะ”
“อื้ม… ดี…”
ซูเหนียนอวิ๋นจิบชาและพิธีรับศิษย์เสร็จสิ้น “เฮ่อหลาน เธอจะเป็นลูกศิษย์ของซูเหนียนอวิ๋นจากนี้ไป และเธอมีศิษย์พี่ชื่อเกอชิงเหม่ย ซึ่งแก่กว่าเธอไม่กี่ปี เอาล่ะ เดี๋ยวฉันแนะนำเธอให้นะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะอาจารย์”
เมื่อเห็นว่าเฮ่อหลานยังไม่ลุกขึ้น ซูเหนียนอวิ๋นจึงรีบพูดว่า “ลุกขึ้นได้แล้ว ในอนาคตเธอไม่ต้องเกรงใจเมื่อเห็นฉันแล้วนะ ฉันไม่ใช่เสือกินคนเสียหน่อย”
“ค่ะ ๆ”
เมื่อเห็นความเป็นกันเองของซูเหนียนอวิ๋น เฮ่อหลานก็ยิ้มออกมา
แต่ซูเหนียนอวิ๋นรู้สึกว่าการเรียกชื่อเต็มของอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยสนิทกันเกินไป ดังนั้นเธอจึงพูดตรง ๆ ว่า “ต่อจากนี้ไปฉันจะเรียกเธอว่าอาหลานนะ”
“ได้ค่ะอาจารย์”
เมื่อเห็นเฮ่อหลานค่อย ๆ ผ่อนคลาย ซูเหนียนอวิ๋นมองไปที่ถังซวงกับถังเสวี่ยและพูดว่า “พวกเธอเป็นลูกสาวของอาหลาน ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ถือเป็นศิษย์ของฉันด้วย มาสิ นี่สำหรับซวงเอ๋อร์ และนี่คือสำหรับเสี่ยวเซวี่ยนะ” ในระหว่างนี้ ซูเหนียนอวิ๋นได้หยิบกระเป๋าออกมาสองใบ และยื่นใบหนึ่งให้ถังซวง และอีกใบให้ถังเซวี่ย
เธอชื่นชอบเฮ่อหลานมาก และได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเฮ่อหลานมีลูกสาวสองคน และได้เตรียมของขวัญสำหรับทั้งสองไว้แล้ว
ทั้งสองไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญจากการรับศิษย์ของแม่ตนเช่นนี้
ถังเซวี่ยมองไปที่พี่สาวของเธออย่างไม่แน่ใจ
ส่วนถังซวงก็รับไว้อย่างไม่ลังเล “ขอบคุณค่ะ คุณยายซู”
เมื่อเห็นว่าพี่สาวของเธอยอมรับ ถังเซวี่ยก็ไม่ลังเลและขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั่งคุยกัน ซูเหนียนอวิ๋นก็พูดกำหนดการของเธอว่า “อาหลาน ฉันจะอยู่ที่นี่สักพัก ในช่วงนี้เธอก็มาที่นี่ทุกวันนะ และฉันจะสอนการปักผ้าให้เธอ แต่ฉันยังคงต้องกลับไปที่เมืองซู เมื่อถึงเวลานั้น เธอกับซวงเอ๋อร์และเสี่ยวเซวี่ยจะไปกับฉันไหม?”
เฮ่อหลานไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอมองไปที่ถังซวงโดยไม่รู้ตัว เพราะในช่วงเวลานี้ ถังซวงดูเหมือนจะเป็นคนที่สามารถตัดสินใจได้ดีที่สุด
ซูเหนียนอวิ๋นไม่คาดคิดว่าเฮ่อหลานจะไม่พูดอะไร แต่มองไปที่ถังซวงเท่านั้น เธอเข้าใจทันทีว่าถังซวงเป็นคนที่ตัดสินใจทุกเรื่องในครอบครัว แม้ว่าเธอจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามเพิ่มเติม และยังมองไปที่ถังซวงเช่นกัน
“คุณยายซูคะ หนูไม่ค่อยรู้เรื่องการปักผ้าค่ะ แต่อยากถามว่า ถ้าสอนแม่แล้ว หลังจากนั้นแม่ฝึกอย่างหนักด้วยตัวเองต่อได้ไหมคะ?”
ซูเหนียนอวิ๋นพยักหน้าเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเด็กสาว จากนั้นส่ายหัวอีกครั้ง
“การปักผ้าก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ด้วย พรสวรรค์ของอาหลานนั้นดีมาก แต่ฉันเข้าใจความหมายของเธอ ตราบใดที่เธอเรียนรู้การปัก เธอต้องฝึกฝนมันให้เชี่ยวชาญและใช้มันทุกวัน ส่วนจะปักลายแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้ปักเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงจึงแนะนำว่า “คุณยายซูคะ งั้นช่วงนี้ให้แม่เรียนกับคุณยายซูก่อน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากรู้พัฒนาการของแม่ดีไหมคะ?”
“ตกลงจ้ะ”
ซูเหนียนอวิ๋นเห็นด้วยทันที
แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับเมล็ดพันธุ์อย่างดีเมื่อมาที่นี่ในครั้งนี้ ทำให้เธอมีความคิดที่จะรับเด็กฝึกหรือลูกศิษย์อยู่พักหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าซูเหนียนอวิ๋นเห็นด้วย เฮ่อหลานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลูกสาวสองคนเพิ่งแก้ปัญหาเรื่องเรียนของแม่ได้ และเฮ่อหลานเองก็ไม่เคยคิดจะพาพวกเขาไปที่อื่นเลย ดังนั้นช่วงนี้เธอต้องพยายามให้มาก เพื่อดูว่าตัวเธอจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้หรือไม่
เฮ่อหลานและลูกสาวอยู่ที่นี่ต่อพักหนึ่ง จากนั้นก็ลาอาจารย์และจากไป
ซูเหนียนอวิ๋นกำหนดเวลาเรียนสำหรับเฮ่อหลานไว้ และขอให้เธอมาที่นี่เพื่อเรียนทุกวัน “เธอจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ”
“ค่ะอาจารย์ ฉันจะให้มาตรงเวลาค่ะ”
หลังจากที่ทั้งสามแม่ลูกออกจากไป พวกเธอก็ตรงไปที่ร้านอาหารของรัฐในตำบล นี่เป็นข้อตกลงระหว่างพวกเธอกับหลี่จงอี้และโม่เจ๋อหยวน ว่าอาหารกลางวันของวันนี้จะตกลงกินกันที่นี่
“ป้าหลาน ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย มาแล้วหรือ”
เมื่อเห็นว่าโม่เจ๋อหยวนอยู่คนเดียว ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่โม่ คุณปู่อยู่ไหนหรือ?”
“คุณปู่หลี่สั่งอาหารรออยู่ข้างในแล้วน่ะ เข้าไปข้างในกันเร็ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน
เมื่อหลี่จงอี้เห็นพวกเขา เขาก็โบกมืออย่างรวดเร็ว “ทางนี้ ๆ”
อาหารในร้านอาหารของรัฐวันนี้ค่อนข้างดี มีเนื้อผัดกระเทียม ปลาตุ๋นน้ำแดง ไก่ย่างผัดเกาลัด และกะหล่ำปลีผัด หลี่จงอี้สั่งอาหารอย่างละหนึ่งจาน และสุดท้ายก็คือซุปสาหร่ายกุ้งชามใหญ่ หลังจากกินเสร็จ ทั้งหมดก็รีบเดินทางไปที่โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของตำบล
“ลุงหลี่ ทางนี้ครับ”
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นหลี่จงอี้ เขาก็รีบทักทายชายชราทันที
“เสี่ยวจุน ขอโทษที่ให้รอนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางจุนก็โบกมืออย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่หรอกครับ ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ลุงหลี่ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยไหมครับ” ขณะที่พูด เขาก็มองเฮ่อหลานและคนอื่น ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา
“เสี่ยวจุน เดิมทีเราต้องการเช่าบ้าน แต่หลังจากคิดดูแล้ว มันดีกว่าที่จะซื้อเลยน่ะ มีบ้านที่ประกาศขายใกล้ ๆ ที่นี่บ้างไหม?”
เมื่อหยางจุนได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
“ลุงหลี่ครับ มีครอบครัวหนึ่งอยากขายบ้านมาก ๆ อืม… เราจะไปบ้านให้เช่าหรือขายก่อนดีครับ?”