การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 7 บนภูเขา
บทที่ 7 บนภูเขา
บทที่ 7 บนภูเขา
หลังจากที่ถังซวงมาถึงบ้านของแม่ม่ายหลิว เธอเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างห้องนอนอย่างเงียบ ๆ และได้ยินเสียงที่อธิบายไม่ได้ทันที ไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่าคนสองคนในบ้านกำลังทำอะไร เดิมทีเธอวางแผนที่จะเปิดหน้าต่างเพื่อดูให้แน่ชัด แต่คนสองคนที่อยู่ข้างในกลับทำธุระเสร็จอย่างรวดเร็วและกำลังนั่งคุยกัน
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ถังซวงแน่ใจว่าชายที่อยู่ข้างในคือถังเจี้ยนกั๋ว
“เจี้ยนกั๋ว ฉันได้ยินมาว่าเฮ่อหลานกลับมาแล้ว งั้นคุณก็มาที่นี่ได้บ่อย ๆ ไม่ได้แล้วสิ”
ถังเจี้ยนกั๋วตะคอกอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ฮึ่ม…แม้ว่าเฮ่อหลานกลับมาแล้ว แล้วไงล่ะ ฉันจะมาเมื่อไรก็ได้ที่ฉันต้องการ นางนั่นจะทำอะไรได้”
“ฮิฮิ…ใช่แล้ว ทั้งเฮ่อหลานและเด็กพวกนั้น พออยู่ต่อหน้าคุณ พวกเขาก็หัวหดกันหมด คุณจะทำอะไรก็ได้อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ แต่เจี้ยนกั๋ว คุณก็เห็นว่าช่วงนี้ผิวหน้าฉันค่อนข้างหยาบแห้ง คราวหน้าถ้าคุณเข้าเมือง อย่าลืมซื้อครีมให้ฉันด้วยนะ”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ได้สิ ฉันจะซื้อมาให้เธอ”
“เจี้ยนกั๋วดีที่สุดเลยค่ะ”
แม่ม่ายหลิวโผเข้าสู่อ้อมแขนของถังเจี้ยนกั๋วด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม และทั้งสองอยู่แบบสักพักก่อนจะแยกกัน
“หลิวเอ๋อร์ ฉันกลับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาหาเธอใหม่”
ถังเจี้ยนกั๋วสวมเสื้อผ้าและจากไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ถังซวงยังไม่กลับไป เธอจะไปพบกับแม่ม่ายหลิว ผู้หญิงคนนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ถังเจี้ยนกั๋วกับเฮ่อหลานหย่าร้างกัน แต่ก่อนที่เธอจะปรากฏตัว แม่ม่ายหลิวก็แต่งตัวออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ถังซวงไม่ได้ก้าวออกไปหาเธอในทันที แต่เดินตามแม่ม่ายหลิวไปอย่างเงียบ ๆ พลางสงสัยว่าแม่ม่ายหลิวกำลังจะทำอะไร
หลังจากเดินไปได้สักพัก เธอก็เห็นแม่ม่ายหลิวมาที่บ้านของคนไร้ยางอายในหมู่บ้าน
“เปิดประตู!”
เอ้อไหลจื่อเปิดประตูและเมื่อเห็นแม่ม่ายหลิว เขารีบดึงเธอเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย จากนั้นปิดประตูอย่างระมัดระวังทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ถังซวงเลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้และเดินเข้าไปใกล้ ๆ บ้านของเอ้อไหลจื่ออย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสียงของแม่ม่ายหลิวและเอ้อไหลจื่อก็ดังออกมาจากข้างใน
“คนผีบ้า ทำไมช่วงนี้คุณไม่มาหาฉันเลย”
เอ้อไหลจื่อกอดแม่ม่ายหลิว และพูดว่า “ถังเจี้ยนกั๋วมาหาคุณไม่ใช่เหรอ ผมเลยไม่ไปไง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสองคนพบหน้ากัน ต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ”
“ฮึ่ม…ในสายตาของคุณก็มีแต่เงินนั่นแหละ คุณไม่สนใจฉันเลย” แม่ม่ายหลิวมองเอ้อไหลจื่ออย่างตำหนิแล้วพูดว่า “ฉันตั้งท้องลูกคุณ แต่คุณก็ยังโลเลอยู่แบบนี้เนี่ยนะ”
โอ้…
แม่ม่ายหลิวคนนี้ท้องอยู่ ถึงว่าสิท้องนูนแบบนั้น ผู้หญิงคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ เธอรู้ว่าตนเองท้อง แต่ยังทำเรื่องแบบนั้นกับถังเจี้ยนกั๋ว ถังซวงอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้เธอจริง ๆ
เอ้อไหลจื่อโอบไหล่แม่ม่ายหลิว แล้วพูดว่า “เอาน่า ผมรู้ว่าคุณเจ็บ แต่มันก็เพื่ออนาคตของเราด้วย เมื่อไหร่ที่ถังเจี้ยนกั๋วตัดขาดกับครอบครัวของเขา เราจะมีเงินไว้เลี้ยงลูก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายเหรอ?”
ในตอนท้าย เอ้อไหลจื่อถามว่า “คุณบอกถังเจี้ยนกั๋วเกี่ยวกับการตั้งท้องของคุณหรือยัง”
“ยังไม่ได้บอกเลย”
แม่ม่ายหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันว่าจะรออีกสองสามวัน ไม่งั้นถังเจี้ยนกั๋วจะสงสัยเอา ถ้าบอกไปก่อนแล้วเกิดว่าไม่ตรงกับวันที่ถังเจี้ยนกั๋วมาหาฉันคงแย่แน่ แต่ช่วงนี้เขามาที่นี่ทุกวัน ถ้าฉันบอกว่าฉันท้อง เขาต้องเชื่อแน่นอน”
“ดีแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
แต่หญิงม่ายหลิวก็ยังมีเรื่องสงสัย
“แต่ถังเจี้ยนกั๋วมีลูกแล้ว ถึงฉันบอกว่าฉันท้อง ถ้าเขาไม่ใส่ใจล่ะ?”
เอ้อไหลจื่อเหลือบมองไปที่แม่ม่ายหลิว และพูดว่า “มันไม่ง่ายก็จริง แต่ตราบใดที่คุณบอกเขาไปว่าคุณท้องเด็กผู้ชาย ถังเจี้ยนกั๋วจะดูแลอย่างดีแน่นอน”
“ฉันจะรับประกันได้อย่างไรว่านี่เป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง”
“อา…หลิวเอ๋อร์ของผม คุณแค่ต้องโน้มน้าวถังเจี้ยนกั๋วว่าคุณกำลังอุ้มท้องเด็กผู้ชาย และเขาจะให้อะไรคุณอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลา”
แม่ม่ายหลิวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และเธอก็เห็นด้วยกับเขา
“อื้ม แต่ก็นะ เฮ้อ…น่าเสียดายที่เป็นถังเจี้ยนกั๋ว คงจะดีมากถ้าฉันสามารถสานสัมพันธ์กับคนอื่นที่มีฐานะครอบครัวดีกว่านี้ได้”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของแม่ม่ายหลิว เอ้อไหลจื่อก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน “ช่างเถอะ มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรตอนนี้หรอก แม้ถังเจี้ยนกั๋วจะมีเงินไม่มาก แต่เขายินดีที่จะให้เงินคุณอย่างแน่นอน นั่นแหละสำคัญที่สุด”
“นั่นสิ มันคือทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้”
หลังจากทั้งสองพูดจบ เอ้อไหลจื่อก็เริ่มขยับมืออย่างไม่ปกติ “หลิวเอ๋อร์ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้ว คุณเป็นยังไงบ้าง…”
ในไม่ช้า เสียงที่ไม่เหมาะสมก็ดังมาจากในบ้าน
หลังจากได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ถังซวงก็กลับบ้านไปอย่างพอใจ
แต่เธอเห็นว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงตรงไปที่ภูเขาหลังหมู่บ้าน ในยุคนี้ทุกครัวเรือนไม่ได้ร่ำรวยอะไร อาหารการกินก็มีไม่มาก นับประสาอะไรกับเนื้อสัตว์ พวกเขากินมันได้แค่สองสามครั้งต่อครั้งเดือน แต่ถังซวงเป็นพวกกินเนื้อ เธอจึงอยากไปที่ภูเขาหลังหมู่บ้านเพื่อเสี่ยงโชค
แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างในพื้นที่มิติของเธอ แต่มันก็ไม่มีเนื้อสดเลย มีแต่พวกเนื้อกระป๋องที่ไม่มีรสชาติ เมื่อนึกถึงไก่ที่เธอกินในตอนเช้า ถังซวงจึงตัดสินใจ
เมื่อเธอมาถึงภูเขาหลังหมู่บ้าน ถังซวงหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่มองไปที่ต้นไม้เขียวขจีทั่วภูเขา ทุกสิ่งที่นี่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย
เยี่ยมมาก ๆ เธอดีใจที่เธอมาที่นี่
“ว้าว…นี่คือฮั่วเซียง*[1]”
“หือ…มีกลิ่นอวี้จู๋ด้วย*[2]”
เมื่อเห็นสมุนไพรจีนที่คุ้นเคย นัยน์ตาของถังซวงเป็นประกายด้วยความคิดถึง เธอเป็นหมอยาจีนในยุควันสิ้นโลก หลังจากวันสิ้นโลก ทุกสิ่งที่เธอเรียนรู้มาก็ไร้ประโยชน์ การพัฒนาทักษะของตนเองอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้ในวันสิ้นโลกแบบนั้นได้
ถังซวงส่ายหัวหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เลือกเก็บสมุนไพรที่เธอเจออย่างมีความสุข
แต่เธอก็ไม่ลืมจุดประสงค์ของเธอ เธอขึ้นภูเขามาเพื่อหาเนื้อกิน ดังนั้นเธอจึงเดินหน้าต่อไป
“เร็วเข้า มันต้องอยู่ข้างหน้าแน่ ไล่ตามไปกันเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ ชายร่างสูงสองคนก็วิ่งไปทางถังซวง และหยุดทันทีเมื่อเห็นเด็กสาว พลางมองไปที่ถังซวง เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวและร่างกายที่ซูบผอม ทั้งยังสวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะ เขาเดาได้ทันทีว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นี่น่าจะเป็นเด็กสาวชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียง
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กสาว ทั้งสองคนไม่ได้สนใจเธอมากนัก และถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นี่…เธอเห็นเด็กที่บาดเจ็บกำลังมาทางนี้หรือเปล่า”
ทั้งสองพูดราวกับว่าเป็นเกียรติของเธอที่พวกเขาถามคำถาม
“ไม่”
ถังซวงพูดโดยไม่ต้องคิด เธอไม่เห็นใครเลย แต่เธอได้กลิ่นเลือดจาง ๆ ดังนั้นเด็กที่ทั้งสองกำลังตามหาจะต้องอยู่ใกล้ ๆ แน่ แต่ถังซวงไม่ชอบท่าทีเหยียดหยามของสองคนนี้ ดังนั้นจึงพูดไปว่าเธอไม่เห็น ซึ่งนั้นก็เป็นความจริงเพราะเธอไม่เห็นจริง ๆ
หลังจากพูดแบบนี้ ถังซวงก็ไม่สนใจทั้งสองคนและเดินหน้าต่อไป
เดิมทีคนสองคนนั้นวางแผนที่จะติดตามต่อไป แต่เมื่อเห็นท่าทีของถังซวง พวกเขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา โดยทั่วไปเด็กสาวในหมู่บ้านจะต้องหวาดกลัวเมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรือไง แต่เด็กคนนี้ไม่เห็นเขาทั้งสองอยู่ในสายตาเลย สายตาเธอเย็นชาและเยือกเย็นมาก ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ
“หยุดก่อน เธอชื่ออะไร มาจากไหน และขึ้นมาบนภูเขาเมื่อไหร่”
เมื่อเห็นชายสองคนเดินเข้ามาอย่างแข็งกร้าว ถังซวงขมวดคิ้ว “ฉันเพิ่งบอกว่าฉันไม่เห็นไม่ใช่เหรอ? ถ้าต้องการตามหาใครสักคนก็ไปหาด้วยตัวเองสิ ฉันต้องขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจับไก่ฟ้ากับกระต่าย”
“เธอไม่เห็นจริง ๆ เหรอ?”
หนึ่งในนั้นเชิดหน้าและมองไปที่ถังซวงด้วยความไม่เชื่อ
“คุณไม่เข้าใจภาษามนุษย์หรือไง ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่เห็น ก็แสดงว่าฉันไม่เห็น”
“พี่รอง สาวน้อยคนนี้โกหกแน่ จับเธอไว้ก่อนเถอะ”
ชายที่ถูกเรียกว่าพี่รองพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ เด็กคนนี้ต้องโกหกแน่ เพราะงั้นจับเธอไว้ก่อนดีกว่า”
“นี่…แบบนี้มันหาเรื่องกันชัด ๆ”
เดิมทีถังซวงเป็นคนเย็นชา เธอไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ทั้งสองคนยืนกรานที่จะสร้างปัญหาให้กับเธอ
“มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เราจับเธอก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของถังซวง ชายทั้งสองรู้สึกว่านี่ไม่ใช่พฤติกรรมของหญิงสาวในหมู่บ้านทั่วไป พวกเขาอยากจะฆ่ามากกว่าจะปล่อยถังซวงไป
เมื่อเห็นคนทั้งสองพุ่งเข้ามาหา ถังซวงก็สะสมพละกำลังอย่างลับ ๆ และวางแผนที่จะต่อสู้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเธอจะยังไม่ฟื้นคืนทักษะปัจจุบันอย่างเต็มที่ แต่เธอก็ไม่มีปัญหาในการจัดการกับสองคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า
ก่อนที่ถังซวงจะทันได้เคลื่อนไหว เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ “คนที่พวกแกตามหาคือฉัน อย่าไร้ยางอายถึงขนาดเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งเกี่ยว”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะผิวปาก
แม้ว่าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แถมเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่ง แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างาม ประกอบกับบุคลิกที่ดูสูงส่งทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้ในแวบแรก งดงามราวกับจันทราที่ส่องแสงในยามค่ำคืน…
[1] ฮั่วเซียง(藿香) หรือต้นพิมเสน เป็นสมุนไพร มีรสเผ็ด อุ่น เข้าสู่เส้นลมปราณปอด ม้ามและกระเพาะอาหาร น้ำมันหอมระเหยช่วยขับของเสีย ขับความชื้น ปรับสมดุลม้ามและกระเพาะอาหาร ช่วยขับพิษร้อนชื้นทางรูขุมขน สามารถรักษาไข้หวัดจากความร้อนชื้น แก้ปวดศีรษะ อาการจุกเสียดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน
[2] อวี้จู๋(玉竹) หรือ เง็กเต็ก เป็นสมุนไพรบำรุงปอดและกระเพาะ ลดความร้อน เพิ่มความชุ่มชื้น แก้ไอ