การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 78 ต่อสู้(รีไรท์)
บทที่ 78 ต่อสู้(รีไรท์)
บทที่ 78 ต่อสู้(รีไรท์)
ถังซวงรีบวิ่งไปและสัมผัสชีพจรของจวงเหวินเหอด้วยมือของเธอเอง เมื่อสัมผัสได้ว่าชีพจรไม่เคลื่อนไหว น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาทันที “อาจารย์…”
“ผู้เฒ่า…” เฉินกวงหยางรีบวิ่งไปเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อวันนี้มาถึง เขาก็ยังอดกลั้นไม่ได้ “ผู้เฒ่า… ผู้เฒ่าทิ้งผมไปทำไม ตื่นเถอะครับ ตื่นขึ้นมาเถอะ”
“เหล่าจวง…”
เฮ่อหลานและถังเซวี่ยก็มีใบหน้าที่โศกเศร้าเช่นกัน หลังจากใช้เวลาร่วมกันมา พวกเขาถือว่าจวงเหวินเหอเป็นเหมือนคนในครอบครัวมานานแล้ว แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสคนนี้จากไปแล้ว ย่อมต้องรู้สึกเศร้าเป็นธรรมดา
ส่วนโม่เจ๋อหยวนเองก็ปกปิดความเศ้าโศกไว้ไม่ได้ และดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เปียกชื้น
ส่วนคนที่ตกใจที่สุดน่าจะเป็นจิงเจ้อหรง เมื่อกี้ทุกคนยังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลย ทำไม… ทำไมมันถึงกะทันหันแบบนี้
เขารู้สึกสูญเสียและโศกเศร้า หากแต่ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงความรู้สึก เขาค่อย ๆ เดินไปที่เฮ่อหลาน “คุณเฮ่อครับ เหล่าจวง… จริง ๆ แล้วเขา…” นี่เป็นความจริงที่เขาไม่อยากจะเชื่อ หลังจากพบว่าจวงเหวินเหออยู่ที่นี่ เขาก็รีบมาหา แต่…
เฮ่อหลานพยักหน้าอย่างเศร้าโศก
“ร่างกายของผู้เฒ่าจวงไร้สิ้นเรี่ยวแรงมาสักพักแล้วค่ะ ฉันคิดว่า… คิดว่าเขาคงจะอยู่ได้อีกสักพักหนึ่ง แต่ฉันไม่คิดเลยว่า…” ในตอนท้าย เฮ่อหลานไม่สามารถพูดต่อได้ และร้องไห้ออกมา
จิงเจ้อหรงได้ยินอย่างนั้นก็เศร้าใจเช่นกัน เขาคิดว่าหลังจากพบผู้เฒ่าจวงแล้ว พวกเขาคงจะได้เจอกันบ่อย ๆ ในอนาคต ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
ไม่แปลกใจเลย…
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เฒ่าจวง ผู้ซึ่งไม่เคยขออะไรจากเขามาก่อนจะบอกให้เขาดูแลถังซวง ปรากฏว่าผู้เฒ่ากำลังพูดถึงงานศพตัวเองอยู่อย่างนั้นหรือ?
การจากไปของจวงเหวินเหอ ได้สร้างความมืดมนปกคลุมอารมณ์ของถังซวง และคนอื่น ๆ
หลี่จงอี้ ในฐานะปู่ของถังซวง ตอนนี้อาจารย์ของถังซวงได้จากไปแล้ว เขาจึงมาช่วยด้วย
แม้ว่าทุกคนจะเศร้ามาก แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้น ในบรรดาพวกเขา จิงเจ้อหรงและเฮ่อหลานมีส่วนร่วมมากที่สุด ทั้งสองคนยุ่งมาก เพราะต้องจัดการเรื่องของจวงเหวินเหออย่างถูกต้อง
เฉินกวงหยาง ชายผู้มีใบหน้าเจ้าเนื้อและท่าทางอันธพาล กลับร้องไห้เหมือนเด็กที่งานศพอันเรียบง่ายของจวงเหวินเหอ
เมื่อมองไปที่รูปถ่ายของจวงเหวินเหอบนหลุมฝังศพ ถังซวงก็ร้องไห้อย่างเงียบ ๆ
ในท้ายที่สุด เฉินกวงหยางก็ยกมือเช็ดน้ำตา เขามองไปที่ถังซวงและพูดว่า “น้องถังซวง ผู้เฒ่าจากไปอย่างสงบแล้ว อันที่จริงวันนี้… เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด ทุกคืนก่อนหน้านี้ เขาจะพูดถึงเธออยู่เสมอ แล้วบอกตลอดว่าเขาโชคดีที่มีเธอเป็นลูกศิษย์ เพราะงั้นอย่าเศร้าไปเลยนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “อันที่จริง ฉันต่างหากที่เป็นคนโชคดี ได้พบกับอาจารย์ที่ดีอย่างอาจารย์”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินกวงหยางก็มองดูรูปของจวงเหวินเหอ “ผู้เฒ่า… ผู้เฒ่าได้ยินไหมครับ น้องถังซวงบอกว่าเธอเป็นคนที่โชคดีที่สุด ไม่ต้องห่วงนะครับ ในอนาคตพวกเราจะต้องสบายดีแน่ จะไม่ทำให้คุณกังวลแน่นอนครับ”
หลังจากพิธีสิ้นสุดลง ถังซวงมองจวงเหวินเหอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินตามฝูงชนกลับไป…
“คุณหลี่ คุณจิง คุณป้าเฮ่อ พวกคุณวุ่นมาสองสามวันแล้ว และผมซาบซึ้งจริง ๆ ครับ” ช่วงนี้เฉินกวงหยางยังอยู่ในอาการงุนงง ดังนั้นหลี่จงอี้ จิงเจ้อหรง และเฮ่อหลาน จึงจัดการทุกอย่างให้ ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ
หลี่จงอี้โบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น “เสี่ยวเฉินอย่าพูดอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว”
เมื่อเฮ่อหลานเห็นเฉินกวงหยางพูดแบบนี้ก็พูดขึ้นว่า “ใช่แล้วเสี่ยวเฉิน เธอเองก็กำลังโศกเศร้าอยู่ แต่อย่าเศร้าเกินไปเลยนะ ฉันเชื่อว่าผู้เฒ่าจวงต้องอยากให้เธอมีชีวิตที่ดีแน่” ในตอนแรก เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนหยาบคาย แต่หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกับเขา เธอก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้อารมณ์อ่อนไหวมาก และเธอก็กลัวว่าเขาจะอารมณ์จมดิ่งลงไปกว่าเดิม
จิงเจ้อหรงยังกล่าวอีกว่า “เหล่าจวงก็เป็นพี่ของฉันเช่นกัน ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องสุภาพมากขนาดนั้นหรอก”
“ครับ ผมจะไม่พูดพิธีรีตองหรือสุภาพเกินไปครับ ในอนาคตถ้ามีอะไรก็เรียกใช้ผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
“ดีแล้ว”
หลายคนตอบกลับ
หลังจากนั้น เฉินกวงหยางมองไปที่ถังซวง และถามว่า “น้องถังซวง ในอนาคตเธอจะยังอยู่ในตำบลต่อไหม?”
ถังซวงพยักหน้า “อื้ม เสี่ยวเซวี่ยกับฉันจะเริ่มเรียนเร็ว ๆ นี้แล้ว ดังนั้นการอยู่ในตำบลจึงสะดวกกว่า”
“อย่างนั้นก็ดีสิ เราจะได้เจอกันง่ายขึ้น”
หลังจากนั้นเฉินกวงหยางก็บอกลาทุกคนและกลับไปก่อน
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จิงเจ้อหรงอยู่ที่นี่มาตลอด แต่วันนี้เขาต้องกลับไปที่เมืองเวิงซานก่อน “คุณหลี่ คุณเฮ่อ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้เลย”
“ได้ค่ะ ขับรถระวังด้วยนะคะ”
หลังจากที่เริ่มสนิทกันมากขึ้น เฮ่อหลานก็ไม่ได้สงวนท่าทีเมื่อเผชิญหน้ากับจิงเจ้อหรงอีกต่อไป เธอโบกมือเพื่อบอกลาเขา
หลี่จงอี้ก็โบกมือบอกลาจิงเจ้อหรงเช่นกัน
ส่วนถังเซวี่ย ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนเองก็ตามมาและโบกมือลาเขา หลังจากออกไป พวกเขาทั้งหมดก็กลับบ้านด้วยกัน
เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของลูกสาวคนโต เฮ่อหลานก็รีบพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ ทำไมลูกไม่ไปพักผ่อนก่อนล่ะ แม่คิดว่าช่วงนี้ลูกดูพักผ่อนไม่เพียงพอเท่าไหร่นะ”
โม่เจ๋อหยวนเห็นด้วย “ใช่ เธอไปพักผ่อนเถอะ รอยคล้ำใต้ตาโผล่ออกมาแล้ว”
ถังซวงเหนื่อยมากจริง ๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตใจด้วย ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าและเข้าไปนอนในห้องของเธอ
ถังเซวี่ยมองไปที่แผ่นหลังของพี่สาวแล้วถอนหายใจ จากนั้นตัดสินใจว่าจะทำให้พี่สาวของเธอมีอารามณ์ดีให้ได้
ส่วนหลี่จงอี้มองไปที่โม่เจ๋อหยวนและพูดว่า “เสี่ยวโม่ เรากลับกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ครับ”
วันรุ่งขึ้น โม่เจ๋อหยวนได้ซื้ออาหารเช้าทุกชนิดมาแต่เช้าตรู่ ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูมา เขาก็พบว่าถังซวงตื่นแล้ว “ซวงเอ๋อร์ ทำไมเธอตื่นเช้าจัง?”
“ฉันตื่นแต่เช้าเพราะจะไปออกกำลังกายน่ะ”
ถังซวงออกกำลังกายมาระยะหนึ่งแล้ว และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
เมื่อเห็นถังซวงฝึกชกมวย โม่เจ๋อหยวนก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทำไมเธอไม่ลองฝึกกับฉันสักหน่อยล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่รู้สึกว่าการมีคนให้ต่อสู้ด้วยคงจะดีไม่น้อย
หลังจากที่โม่เจ๋อหยวนอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว เขาก็ฝึกต่อสู้กับถังซวง ในตอนแรกการเคลื่อนไหวของเขายังไม่รุนแรงมากนัก แต่หลังจากได้เห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของถังซวงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้อีก
“พี่โม่ ระวังตัวด้วย”
ถังซวงใช้ประโยชน์จากช่องว่าง ก้าวไปข้างหน้าและอ้อมไปที่ด้านหลังของโม่เจ๋อหยวน
แต่ความเร็วในปฏิกิริยาตอบสนองของโม่เจ๋อหยวนก็เร็วมากเช่นกัน หลังจากหลบเลี่ยงไปด้านข้าง เขาก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยมือขวาโดยเล็งไปที่ไหล่ของถังซวง
ความเร็วของทั้งสองเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และการเคลื่อนไหวก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน ทักษะของพวกเขาก็เท่ากัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ชั่วขณะ
ด้านเฮ่อหลานที่คิดว่าทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ที่สนามหญ้า แต่เมื่อเธอออกมาและเห็นทั้งสองกำลังชกมวย เธอก็ถามทันทีว่า “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวโม่ กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
ทั้งสองที่กำลังจดจ่อกับอีกฝ่าย ไม่วอกแวกกับคำพูดเหล่านี้
แต่ถึงกระนั้น ถังซวงก็พบจุดอ่อนของโม่เจ๋อหยวน เธอหลบไปทางด้านขวาของอีกฝ่าย และเตะเขาอย่างรวดเร็ว
“ฉันแพ้แล้ว”
โม่เจ๋อหยวนยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเรียบง่าย
“เก่งไม่เบาเลยนะ”
หากไม่ใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานของเธอในวันสิ้นโลก ถังซวงคงไม่อาจชนะได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะของโม่เจ๋อหยวนนั้นดีมาก
เมื่อเห็นถังซวงออกกำลังกายและผ่อนคลายขึ้น โม่เจ๋อหยวนก็อดยิ้มไม่ได้ จากนั้นจึงพูดถึงความก้าวหน้าที่เขาทำในช่วงเวลานี้ “ซวงเอ๋อร์ ฉันได้วาดพิมพ์เขียวทั้งหมดเสร็จแล้ว เธออยากไปที่โรงงานเครื่องจักรกับฉันไหม?”