การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 1 วันแห่งการตัดสิน
ตอนที่ 1 วันแห่งการตัดสิน
แคร็ก! แคร็ก! เสียงของดาบไม้ที่กระเด็นร่วงลงสู่พื้นได้ดังก้องกังวานขึ้น
ผมจ้องมองไปยังความว่างเปล่าที่อยู่ในมือของตัวเอง
“พอแค่นี้!” เสียงผู้ตัดสินดังออกมาอยู่ไม่ไกล
การต่อสู้ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องเอาชนะให้ได้
แต่สุดท้ายผมกลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ดาบไม้ได้กระเด็นไปจากมือของผม
ผู้ที่อายุครบ 13 ปี จำเป็นต้องเขารับพิธีทดสอบการบรรลุนิติภาวะของศิษย์สำนักมายาดาบเดียว
คู่ต่อสู้ของในครั้งนี้คือนักรบเขี้ยวมังกร มันเป็นนักรบโครงกระดูกที่สร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์
แน่นอนว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ ในความเป็นจริงแล้วการจะต่อสู้กับมันด้วยทหารธรรมดาของจักรวรรดิหรือนักผจญภัยเพียงคนเดียวนั้นเป็นไปได้ยากมาก อาจจะกล่าวได้ว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มีไว้เพื่อทดสอบคนหนุ่มสาววัยนี้เลย
แต่ในที่นี้กลับไม่มีใครสงสัยในเรื่องที่ตนจะต้องมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้เลย
สำหรับเหล่าลูกศิษย์ของสำนักดาบเดียวมายาแล้ว คู่ต่อสู้ระดับนี้ถือเป็นเรื่องปกติเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้พูดแล้วเจ็ดคนก่อนหน้านี้ที่เข้ารับการทดสอบก่อนผมก็สามารถเอาชนะมันได้ทั้งสิ้น
จะมีก็เพียงคนเดียวเท่านั้นที่พ่ายแพ้
ความพยายามที่สั่งสมมาปีแล้วปีเล่าก็เพื่อวันนี้วันเดียว ความพยายามทั้งหมดที่ผมทำมาตั้งแต่เกิดนั้นช่างไร้ค่า
เมื่อผมก้มหน้าลงโดยไม่พูดคำใดๆ ออกมา เสียงพ่อของผมก็ดังขึ้นมาจากด้านบน
น้ำเสียงที่ทุ้ม เย็นชา และแห้งกรัง
「–โซระ」
「ค-ครับ ท่านพ่อ!」
「ตระกูลมิตสึรุกิของเรานั้นเป็นตระกูลนักรบที่มีมาแต่สมัยโบราณซึ่งก่อตั้งโดยนักบุญดาบผู้ผนึกเทพปีศาจเอาไว้เมื่อ 300 ปีที่แล้ว และผู้ก่อตั้งเคล็ดวิชาดาบเดียวมายาที่เป็นบรรพบุรุษของเราสร้างมันขึ้นมาไว้เพื่อทำลายล้างความชั่วร้าย คมดาบที่มีไว้ปกป้องมวลมนุษย์จากเหล่าสัตว์ในตำนาน อย่างพวก มังกร เคียวจิน หรือ เทพอสูรที่แสนอันตรายราวกับภัยธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ตระกูลของเราจึงได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้พิทักษ์ที่เฝ้าระวังประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ เจ้าทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหม」
「ผะ-ผมทราบดีครับ!」
「คนที่เกิดในตระกูลมิตสึรุกินั้นทุกคนต่างมีหน้าที่ในการสืบทอดเคล็ดวิชาดาบของผู้ก่อตั้งตระกูล จากนั้นจึงส่งเคล็ดวิชาดังกล่าวให้กับคนรุ่นต่อไป ผู้ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของตระกูลเราสองข้อนี้ได้ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกตนเองว่ามิตสึรุกิ」
「ทะ-ท่านพ่อ…」
「ผู้ที่ไม่ผ่านพิธีทดสอบนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เรียนเคล็ดวิชาดาบเดียวมายา และผู้ที่ไม่สามารถเชี่ยวชาญในวิชานี้ได้ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อมิตสึรุกิ จากนี้ไปข้าจะขอขับไล่เจ้า โดยที่เจ้าจะไม่สามารถใช้ชื่อของตระกูลมิตสึรุกิได้อีกต่อไป รีบเก็บข้าวของของเจ้าให้เสร็จในวันนี้เสียแล้วรีบออกไปจากเกาะภายในวันพรุ่งนี้ ที่แห่งนี้ไม่ต้องการผู้ที่อ่อนแอ」
เขาได้ทำการเนรเทศลูกชายแท้ๆ ขอตน โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยซึ่งสัมผัสได้จากน้ำเสียง
เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความลังเลใจในตัวพ่อของเขาเลย มิตสึรุกิ ชิกิบุ นักบุญดาบรุ่นที่17 เขาชายตามองมาทางนี้ด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังมองก้อนกรวดที่พื้น
สำหรับพ่อผู้อุทิศชีวิตทั้งหมดของตนให้กับดาบ ชายผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ในด้านดาบก็เป็นได้เพียงเศษฝุ่นธุลี ถึงชายคนนั้นจะเป็นลูกในไส้ของเขาก็ตาม
…เรารู้เรื่องนี้แต่แรกอยู่แล้ว
เขามองมาที่เราแบบนี้ตลอดตั้งแต่ที่จำความได้ ไม่ว่าตอนนั้นจะยังเด็กแค่ไหนก็เข้าใจสายตานี้ได้ไม่ยาก
ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้พ่อของผมจดจำผมได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไร้ค่า
ไม่ว่าจะพยายามพูดอะไรออกไปในที่แห่งนี้ ความคิดเห็นของเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ คร่ำครวญ หรืออ้อนวอนขอความเมตตา
แต่ก็ใช่จะมีเพียงพ่อของผมเท่านั้นที่ส่งสายตาเช่นนั้นมา สายตาจำนวนมากที่จ้องมาหาผม ทั้งทางซ้ายและขวาก็มีแต่เพียงความเย็นชา
ทั้งเย้ยหยัน ดูถูก สมเพช ไม่แยแส…
เหมือนที่พ่อของผมได้กล่าวไปเมื่อครู่ คำสาปของเทพปีศาจที่ถูกนักบุญดาบผนึกเอาไว้นั้นยังคงรุกล้ำเข้ามาบนโลกนี้ผ่านประตูปีศาจจนถึงปัจจุบัน
เหล่าปีศาจและสัตว์อสูรที่มีระดับเกินกว่ามอนสเตอร์ในทวีปหลักกำลังวิ่งพลานอยู่เต็มเกาะแห่งนี้ โดยผลก็มาจากประตูปีศาจดังกล่าว
ผู้คนต่างเรียกเกาะแห่งนี้ว่าเกาะอสูรยักษ์ (โอนิกาชิมะ)
สำหรับผู้ที่เติบโตมาในที่แห่งนี้ ความอ่อนแอนั้นคือบาป
ผู้ที่อ่อนแอสมควรจะออกจากเกาะแห่งนี้ไปโดยทันที นั่นคือความเห็นที่พ้องต้องกันของผู้อาศัยอยู่บนเกาะนี้
ผมวิ่งหนีออกจากโรงฝึก ก่อนจะกลับไปเก็บสัมภาระที่มีทั้งน้ำตา
และในเช้าวันต่อมา ผมก็เตรียมตัวจะออกจากเกาะในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นมาจากทิศตะวันออก หรือจะให้พูดตามตรงก็คือถูกไล่ออกจากบ้านนั่นแหละ
「จากนี้ไปห้องนี้เป็นของฉันแล้วนะ แล้วก็รีบๆ ไสหัวออกไปได้แล้ว อ้อ จริงสิแบบนี้ก็หมายความว่าฉันเป็นผู้สืบทอดคนถัดไปของตระกูลมิตสึรุกินับตั้งแต่วันนี้แล้วสินะ ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามคำสั่งของท่านพ่อ」
ชายหนุ่มที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันก็คือน้องชายของผมมิตสึรุกิ รากุนะ
แต่ถึงจะบอกว่าเป็นน้องชาย สีผมของผมนั้นก็เป็นสีดำ ส่วนเขาเป็นสีบลอนด์ ความแตกต่างนี้ทำให้ทราบได้อย่างชัดเจนว่าพวกเราคือพี่น้องต่างมารดา
ตัวเขาก็มีอายุ 13 ปีเช่นเดียวกับผม แถมยังเกิดในวันเดียวกันกับผมอีกด้วย
ตัวเขานั้นมีพรสวรรค์ด้านดาบที่มากกว่าผมอย่างแน่นอน ร่างกายของเขาก็สมบูรณ์แบบกว่าผมด้วย มันสมองก็เช่นกัน
แม่ของรากุนะนั้นเป็นลูกสาวของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิ ดังนั้นเขาจึงอยู่ในจุดสูงสุดของทั้งสองสายเลือด แต่เนื่องจากเขาไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากภรรยาตามกฎหมายจึงทำให้ ตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลมิตสึรุกิตกเป็นของผมแทน
ผมรู้ตัวอยู่แล้วว่ารากุนะไม่ได้ชอบผมเลยสักนิด และเขาก็ไม่เคยพยายามซ่อนมันไว้ด้วย
กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังใช้ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องมองผมมาด้วยสายตาที่ดูถูก
「ในที่สุดฉันก็จะได้หลุดพ้นจากความอับอายที่ต้องมาถูกเรียกว่าน้องชายของคนไร้ความสามารถ โซระแกเป็นลูกของท่านพ่อก็จริง แต่กระทั่งอาภรณ์วิญญาณก็ยังใช้ไม่ได้ แกนี่มันความอับอายของตระกูลมิตสึรุกิจริงๆ อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วง ฉันจะทำหน้าที่ของผู้สืบทอดตระกูลเป็นอย่างดีเลย อายากะคู่หมั้นของแกก็ด้วย ฉันจะดูแลเธอให้เอง」
「รากุนะ นี่นาย…!!」
「ฮ่าๆ ทำท่าเหมือนอยากจะต่อยฉันเลยนะ เอาสิ ถ้าทำได้ก็ลองดู แต่ในสถานการณ์แบบนี้ทางฉันก็มีสิทธิ์ป้องกันตัวเองใช่ไหมล่ะ? คิดจริงๆ เหรอว่าจะเอาชนะฉันได้ เพราะขนาดนักรบเขี้ยวมังกรแกยังทำอะไรมันไม่ได้ด้วยซ้ำ [เสริมพลังอาภรณ์วิญญาณ] !」
ขณะที่เขาตะโกนออกมา ก็ได้มีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของรากุนะ มันเป็นดาบสองมือสีเหลืองทองอร่ามที่สวยงาม
นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่ผมได้เห็นประกายแสงนี้ สิ่งนี้มันเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความแตกต่างระหว่างเราทั้งคู่ในทุกๆ ครั้งที่ผมเห็นมัน
ถ้าจะถามว่าทำไม ก็เพราะการมีอยู่ของดาบเล่มนั้น มันก็เหมือนการที่ผมต้องเผชิญหน้ากับรากุนะถึงสองคน
ภายในจิตใจของมนุษย์เรานั้น จะมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่งอาศัยอยู่ภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณเราทุกคน สิ่งนั้นเราเรียกมันว่า อนิม่า
ความลับของดาบเดียวมายานั้นก็คือการที่เราตระหนักได้ถึงอนิม่านั้นแล้วทำการควบคุมมัน ซึ่งเราเรียกมันว่า อาภรณ์วิญญาณ และรากุนะที่อายุเพียง 13 ปีก็เชี่ยวชาญในวิชาดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงตัวเขา อายากะที่เป็นคู่หมั้นของผม และลูกศิษย์ของสำนักรุ่นเดียวกับผมก็เรียนรู้การใช้อาภรณ์วิญญาณกันได้หมดแล้ว
นี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากมากของประวัติศาสตร์เคล็ดวิชามายาดาบเดียว
พรสวรรค์ที่สามารถเรียกมันว่าพรสวรรค์ได้อย่างแท้จริง พวกเขาต่างฝึกฝนและขัดเกลาซึ่งกันและกัน ก่อนจะเติบโตมาด้วยกันทั้งหมด
จนถูกผู้คนเรียกกันว่า “เหล่ายุคทองคำ”
แต่ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังมิอาจบรรลุในศาสตร์ของอาภรวิญญาณได้
「หือ รู้สึกเหมือนขาของแกจะสั่นๆ นะรู้ตัวหรือเปล่า แล้วทำไมแกถึงไม่ชักดาบของแกออกมาบ้างละ ฮ่าๆๆ เอาเถอะขืนทำอะไรมากกว่านี้เดี๋ยวมันจะเป็นการรังแกคนอ่อนแอเอาเสียเปล่า วิชาดาบเดียวมายาของตระกูลเรามีไว้เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอด้วยสิ ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลคนต่อไป ฉันก็คงจำเป็นต้องใจดีกับพวกอ่อนแอด้วยสิ งั้นฉันจะมอบสิ่งนี้ให้แกด้วยก็แล้วกัน」
จากนั้นรากุนะก็โยนเหรียญทองสามเหรียญลงที่พื้น
จำนวนเงินดังกล่าวมันมากพอที่จะทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายไปอีกสามเดือน
「ถึงฉันจะบอกให้แกหยิบมันขึ้นมาได้ แต่แกก็คงจะพอเหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ หรือแค่ไม่อยากทำตัวเหมือนขอทานต่อหน้าฉันกันล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงอีกเดี๋ยวฉันก็ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยเก็บมันขึ้นมาก็ได้นะ ท่านพี่ของฉันฮ่าๆๆๆ!」
เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวออกจากที่นี่ไป
ผมทำได้แค่เพียงกำหมัดแน่นแล้วจ้องมองเขาเดินจากไป ปากและเท้าของผมไม่สามารถขยับไปไหนได้ราวกับมันถูกแช่แข็งเอาไว้
จนกระทั่งร่างของรากุนะลับหายไป
เมื่อสังเกตแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ผมก็ก้มไปมองที่พื้น
เหรียญทองสามเหรียญที่เขาทิ้งเอาไว้ยังคงอยู่ตรงนั้นส่องเป็นประกายออกมาจากการสะท้อนของแสงแดดในยามเช้าที่ขึ้นมาจากทิศตะวันออก
—
Note 1 : งอกของใหม่ และอาจจะมีอื่นๆตามมา ตามความขยัน
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code