การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 35 การล่าคิจิน
ตอนที่ 35 การล่าคิจิน
ดูเหมือนจะมีคนไปเจอกับคิจิน 2 เขาที่อยู่ในป่าทีทิสเข้า…
แล้วข่าวลือดังกล่าวมันก็ได้แพร่สะพัดไปตามท้องถนนของเมืองอิชกะไม่นานนัก หลังเรื่องที่ผมกลายเป็นอัศวินมังกร
ก็อย่างที่บอกไม่ก่อนหน้านี้แหละ พวกคิจินเป็นศัตรูกับมนุษย์อย่างเรา แถมเขาที่งอกออกมานั่นก็ของหายากสุดๆ ยิ่งเป็นคิจินสองเขาก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะมันสามารถทำให้คนหลายร้อยตาเป็นประกายได้ในทันที
ซึ่งผมก็หนึ่งในนั้นแหละ
แต่เหตุผลของผมที่แสดงอาการกับเรื่องนี้ด้วยไม่เหมือนคนอื่นนะ
「น่าจะเป็นเด็กคนนั้นแน่ๆ …」
ผมนึกถึงใบหน้าของคิจินสาวที่เจอตอนอยู่ถ้ำราชาแมลงวัน
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอเธอ ซึ่งก็น่าแปลกดีขนาดผมเข้าป่านั่นไปตั้งหลายรอบแท้ๆ
แต่ก็บ่นอะไรไม่ได้เพราะปีทีทิสเป็นป่าที่ใหญ่ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวขอคิจินก็กำลังมาโผล่เอาป่านนี้ บางทีเธออาจจะอาศัยอยู่ในที่ที่มีบาเรียป้องกันหรืออะไรทำนองนั้น
ก็คงจะพูดได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ละมั้งที่ผมไปเจอเธอที่ถ้ำราชาแมลงวัน
ถึงทางผมจะคิดว่าก็คงไม่มีทางได้พบเธออีกแน่ แต่พอได้ยินข่าวแบบนี้ก็น่าตกใจแฮะ
「ถ้างั้น…เราจะทำยังไงดีล่ะ? 」
ผมก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปช่วยอะไรเธอด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคิจินก็เป็นศัตรูกับมนุษย์หากผมเข้าไปช่วยเธอตรงๆ ชื่อเสียงของแคลนที่ผมสร้างมาก็คงเป็นศูนย์
พอคำนวณดูแล้วการช่วยเธอคนนั้นมีแต่ผลเสียมากกว่าผลดีที่ได้
แต่ว่า…
เห้อ ช่วยไม่ได้แฮะ
พอได้เห็นคนที่ผมพยายามช่วยชีวิตมาต้องมาพบกับโชคร้ายในตอนจบนี่…จะว่ายังไงดีล่ะ…รู้สึกไม่สบายใจตัวเองเลยวุ้ย
ความรู้สึกมันเหมือนผมไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่งจากรังก็อบลินมาได้ แต่เธอดันมาถูกพวกโจรฆ่าตายที่หมู่บ้านหลังจากนั้นไม่นาน พอรู้แบบไหนใครมันจะไปยินดีด้วยได้ฟะ
พอเราจะช่วยใครสักคน เราก็อยากให้เขามีความสุขในตอนท้ายใช่ไหมล่ะ ผมว่าวิธีคิดของผมก็ไม่ได้แปลกอะไรนะหรือย่างน้อยที่สุดผมก็ไม่อยากให้เขาพบกับจุดจบที่น่าเศร้า
ก็เพราะแบบนั้นแหละ…
「สุดท้ายก็ติดตรงที่ความดีในส่วนลึกของเราสิน้อ」
พอนึกถึงความรู้สึกที่แสนพึงพอใจเมื่อได้ช่วยเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนั้น ผมก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ตนจะเดินไป
ส่วนชื่อเสียงแคลนของผม…เอาเป็นว่า….ผมไปช่วยเด็กคนนั้นไว้ ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วย แต่ผมก็ให้เหตุผลไปว่าอยากครอบครองคิจินตนนั้นไว้เองแล้วกัน
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับพวกนักผจญภัยที่บางครั้งก็ต้องแย่งชิงไอเทมระดับสูง จนลามไปถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือ
เอาเถอะ ถึงมันจะทำให้ชื่อเสียงของผมแย่ลงไปบ้าง แต่เดี๋ยวมันก็คงดีขึ้นเองแหละ แถมความตั้งใจแรกของผมก็คือสร้างแคลนขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของกิลด์ดังนั้นผมก็ไม่ได้ยึดติดอะไรนักหรอก
ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไปเรื่อย -ก๊อก ก๊อก ก๊อก- เสียงประตูห้องของผมถูกเคาะสามครั้ง
แล้วก็เป็นเจ้าของโรงแรมยืนอยู่ที่หน้าห้อง เพื่อบอกว่ามีแขกที่ต้องการพบผม
พอผมได้ยินชื่อของแขกที่ว่า ก็ต้องขมวดคิ้วออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะมันเป็นชื่อที่ผมคาดไม่ถึง
◆◆◆
「ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ไม่สิอาจจะไม่นานขนาดนั้นก็ได้ ขออภัยท่านโซระที่ผมขอมาพบกะทันหันแบบนี้นะครับ」
คนที่โค้งคำนับผมเกินเบอร์ไปมากคนนี้ก็คือฟีโอดอร์ พ่อค้าทาสผู้อ้วนฉุ
เขาเป็นสมาชิกของสหภาพที่ทำหน้าที่เป็นพยานให้กับผมตอนดวลกับราส
หลังจากผมเอาชนะราสได้แล้ว ลูนามาเรียก็กลายเป็นทาสของผมแต่ผมก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกับเขาหลังเรื่องนั้นเลย สำหรับพ่อค้าทาสแสนเจ้าเล่ห์คนนี้ไม่น่าจะมาหาผมโดยไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
และถึงผมจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าเป็นพิเศษ แต่ดวงตาเรียวเล็กของฟีโอดอร์กลับหรี่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับกำลังจะยิ้ม
「อันที่จริง ผมมีคำขออยากจะให้ท่านโซระ-ไม่สิแคลนดาบควันโลหิตทำครับ」
「สหภาพที่แสนยิ่งใหญ่มีคำขอมายังแคลนที่ตั้งขึ้นมาใหม่งั้นเหรอ? 」
อันที่จริงก็มีแคลนอยู่ตามท้องถนนตั้งเยอะ แล้วทำไมต้องมาเลือกแคลนของผมด้วยล่ะ พอผมถามเขาไปแบบนั้น เขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะ “โค่โค่โค่” อันแปลกประหลาด
「ก็จริงว่าแคลนของท่านเพิ่งก่อตั้งมาไม่ได้นานนี้ แต่ชื่อเสียงแคลนของท่านก็ดังไปทั่วเมืองอิชกะแล้วไม่ใช่หรือ หัวหน้าแคลนผู้ใช้ดาบทมิฬซึ่งเป็นอัศวินมังกรและมีเอลฟ์กับมนุษย์สัตว์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งปราบกริฟฟอนเพื่อแก้แค้นให้กับลูกชายและหลานของหญิงชรา ชำระล้างพวกเหล่าแบนชีที่ร้องไห้รบกวนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เผยตัวตนของสกิลล่าที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์อยู่ที่ทะเลสาบโทยะ ช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่ถูกจับไปด้วยอาชญากรรมที่ตนไม่ได้ก่อ แถมยังสังหารมนุษย์หมาป่าคลั่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อาศัยบริเวณหุบเขามาเป็นเวลานาน」
「…ข้อมูลแน่นจังนะ」
「ข้อมูลก็เปรียบดังอาวุธ ผมจึงไม่มีทางปล่อยมันให้หลุดรอดไปได้หรอกครับ นับประสาอะไรกับแค่ข้อมูลของท่านผู้ที่สามารถจัดการกับนักผจญภัยระดับ 6 ได้ทั้งที่เลเวลแค่ 1 ผมย่อมไม่มีทางพลาดแม้แต่มิลเดียว」
พอพูดจบเขาก็หัวเราะแปลกๆ ออกมาอีกครั้ง
แต่ไม่นานนักเขาก็หยุดหัวเราะและจ้องมาที่ผมอย่างจริงจังราวกับไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว
「ท่านก็คงจะได้ยินมาบ้างแล้วสินะครับท่านโซระ ถึงเรื่องที่มีคิจินโผล่มาในป่าทีทิส」
「ก็ได้ยินหรอก แต่จากที่ฟังมันยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดเลยนี่…」
「นั่นเป็นเรื่องจริงครับ ทางสหภาพของเราก็มีการพบเห็นคิจินนั่นถึงสามครั้งแล้ว」
「ถ้างั้นก็หมายความว่า-」
「อย่างที่ท่านคิดครับ เรามีข้อมูลนี้มาก่อนที่จะเกิดข่าวลือขึ้นเสียอีก จะให้พูดก็คือเราได้มันมาตั้งแต่วันที่ท่านกับท่านราสดวลกันครับ ในวันนั้นมีนักผจญภัยที่หลงทางในป่าได้พบกับหญิงสาวที่เป็นคิจินเข้า พอเขาออกมาจากป่าได้ก็นำข้อมูลนั้นมาขายให้กับทางสหภาพของเราครับ」
พอฟังแล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
จะว่าไปวันที่ฟีโอดอร์ต้องมาเป็นพยานการดวลให้กับผม เขาก็บอกว่ามีเรื่องด่วนเลยทำให้มาสายนี่นะ
ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นข้อมูลของคิจินที่ว่านี่แหละมั้ง
ถ้าพวกเขาเริ่มสืบตั้งแต่ตอนนั้น บางทีพวกเขาก็น่าจะได้ข้อมูลมาเยอะแล้ว คงไม่ต้องถามแล้วมั้งว่าพวกเขาจะรู้ที่อยู่ของเธอหรือยัง
จากนั้นฟีโอดอร์ก็พูดต่อราวกับอ่านความในใจผมได้
「จากการพบเห็นเธอสามครั้งและตรวจสอบเส้นทางที่เธอใช้ ก็ทำให้พวกเราพอจะทราบตำแหน่งคร่าวๆ ที่เธออยู่แล้วครับ แต่เนื่องจากมันอยู่ภายในส่วนลึกของป่า พวกสัตว์อสูรคงไปปล่อยให้พวกเราเข้าไปง่ายๆ ผลก็คือทีมสำรวจที่เราส่งเข้าไปถึงสองครั้งนั้นกลายเป็นอาหารของพวกมันไปหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงอยากจะยืมมือของท่านในฐานะอัศวินมังกรเข้ามาช่วยในครั้งนี้ครับ」
「หืม หรือก็คือถ้าเดินทางจากบนฟ้าแทนได้ ก็จะสามารถเลี่ยงการต่อสู้กับพวกสัตว์อสูรได้และตรงไปยังที่อยู่ของคิจินเลยสินะ」
「ก็ดั่งที่ท่านว่า แน่นอนว่าทางเราก็มีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อรอท่านอยู่ หากท่านต้องการผมยังสามารถมอบทาสคนใหม่ให้ท่านฟรีๆ เลยก็ได้ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ผมก็ได้ทาสที่น่าสนใจมาครองไว้ด้วย」
「เรื่องนั้นก็ดูน่าสนใจอยู่นะ แต่ว่าผมขอคำถามสักหนึ่งข้อ คุณต้องการให้ผมพากองกำลังของทางสหภาพไปส่งตรงจุดหมายเท่านั้นสินะ? 」
ก็คำถามง่ายๆ คือผมมีหน้าที่ต้องไปส่งหรือผมต้องลงไปสู้ด้วย
ทางฟีโอดอร์ก็ทำการยืนยันตามที่ตนพูดก่อนหน้านี้
「เรื่องนั้นทางเราจะให้มืออาชีพในการล่าคิจินจัดการครับ แผนของเราคือการจับเธอทั้งเป็นเพื่อรักษามูลค่าในตัวเธอเอาไว้ หากเธอตายขึ้นมามูลค่าของเธอจะหายไปกว่าครึ่งเลยนี่นา ดังนั้นผมคงจะไม่รบกวนท่านในเรื่องนี้」
「จำเป็นต้องจับเป็นงั้นเหรอ อ๊ะขอโทษด้วยนะ ผมถามไม่เข้าเรื่องไปแล้วสิ」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างที่ท่านทราบว่าเขาของพวกคิจินนั้นเป็นวัสดุทำอุปกรณ์เวทมนตร์ที่หายากและมูลค่าของมันจะแตกต่างกันไปมากหากเก็บกับคิจินที่ตายแล้วกับคิจินที่มีชีวิตอยู่ หากจะให้ประเมินก็ประมาณว่าหากตายแล้วจะได้แค่ 30 แต่หากมีชีวิตอยู่จะได้ที่ 200 ครับ แต่ถ้าจะให้พูด ถึงจะได้แค่ 30 ก็ยังคุ้มค่ามากแล้วครับ 」
「โฮโฮ่..อย่างนี้นี่เอง」
「ครับ เพราะแบบนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องตั้งทีมสำหรับการจับเป็นขึ้นมา ถึงปกติแล้วพวกคิจินจะตายหากเสียเขาไป แต่เราก็สามารถยืดอายุขัยของพวกมันได้ด้วยเวทมนตร์และยารักษาระดับสูง ด้วยวิธีการที่ว่ามาพวกเราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวเขาที่งอกออกมาใหม่ได้ครับ」
「สรุปก็คือหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี คิจินตนนั้นก็จะกลายเป็นห่านทองคำให้กับสหภาพสินะ」
「 ดั่งที่ท่านกล่าว ถึงแม้มูลค่าของเขาที่งอกออกมาใหม่หลังจากนั้นจะลดลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ตามที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ถึงจะมีมูลค่ามานาไม่ถึง 200 จะเหลือแค่ 5 หรือ 4 พวกชนชั้นสูงเขาก็ไม่เกี่ยงกันหรอกครับเพราะเขาของคิจินใช่ว่าจะหาได้ง่ายเสียที่ไหน เงินที่พวกเขาจะทุ่มมาในการซื้อมันไปก็ย่อมสูงตาม ดังนั้นแผนหลักของทางเราก็คือการจับเธอมาทั้งเป็นให้ได้ครับ」
「ผมเข้าใจแล้ว เพราะถ้าหากให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้กับคิจินมาร่วมทีมด้วยก็มีแต่จะขัดกันเปล่าๆ ก็เลยให้ผมจัดการเรื่องการขนส่งพอ」
「จากที่กล่าวมาทั้งหมดท่านจะรับภารกิจนี้ไว้หรือเปล่าครับ? 」
ของมันแน่อยู่แล้ว แถมผมก็ไม่กล้าปฏิเสธภารกิจที่ทางสหภาพมอบให้ด้วย
ผมที่กำลังเริ่มต่อสู้กับกิลด์นั้นไม่ต้องการจะรับมือกับสหภาพพร้อมกันไปด้วยในเวลานี้
ถ้าแค่การไปส่งพวกเขาเฉยๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ
แถมภายในส่วนลึกของป่าทีทิสที่มีพวกสัตว์อสูรวิ่งวุ่นเต็มไปหมดจะเกิดอะไรขึ้นบ้างใครเล่าจะรู้
ทางผมก็ได้แค่ภาวนาให้พวกนักล่าคิจินไม่ไปเจอตอเข้าก็แล้วกัน
——–
Note 1 : เดาว่าคงไม่พ้นโดนจับเข้าฮาเร็ม
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code