การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 40 หมู่บ้านคิจิน
ตอนที่ 40 หมู่บ้านคิจิน
ช่างง่ายดายเหลือเกินในการตามสัตว์อสูรตนนี้ที่หนีไปทางทิศเหนือ
สังเกตได้จากรอยเลือดที่ทิ้งไว้ระหว่างทางของมันก็เพียงพอให้ผมตามมันได้แล้ว
ผมวิ่งตามรอยเลือดของมันในขณะรู้สึกขอบคุณเพอรี่ที่ตัดขาเจ้าบาซิลิสก์ให้ผมสามารถตามล่ามันได้
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าวิ่งมานานขนาดไหนแล้ว
แต่ผมดันมาถึงในสถานที่แปลกๆซะงั้น
มันเป็นหมู่บ้าน
มีบ้านไม้เรียงรายอยู่ในผืนมาที่ถูกถางเป็นวงกลม มันไม่ใช่หลุมหรือกระท่อมที่สร้างขึ้นมาพักชั่วคราว แต่ทุกหลังถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี
เพราะบ้านแต่ละหลังต่างก็มีรั้วดินถูกสร้างล้อมเอาไว้ นอกจากนี้ประตูบ้านของพวกเขาก็ทำมาจากไม้ ชวนให้นึกถึงหมู่บ้านของเอลฟ์เพราะพวกเขาก็อาศัยอยู่ภายในป่าที่ร่องรอยวิถีการใช้ชีวิตคล้ายกับมนุษย์
พวกเขาใช้ไม้แทนหินในการสร้างบ้าน มันชวนให้ผมนึกถึงสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันออกที่มีต้นกำเนิดมาจากเกาะอสูรยักษ์
จำนวนของบ้านภายในนี้มีอยู่ 20 หลังถ้าคำนวณว่าอาศัยอยู่กันหลังละ 5 คน ประชากรในหมู่บ้านนี้ก็น่าจะราวๆ 100 ได้
ถ้าในส่วนลึกของป่าที่มีพวกสัตว์อสูรวิ่งวุ่นไปมาแบบนี้ หากมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ถึงร้อยคน มันก็น่าจะมีข่าวมาถึงหูผมบ้างสิ
แต่ผมกลับไม่เคยได้ยินเรื่องของหมู่บ้านนี้มาก่อนเลย
งั้นก็หมายความว่า..
「เป็นหมู่บ้านของพวกคิจินสินะ?」
ผมว่าผมเดาถูกนะ
เพราะตอนที่ผมอยู่บนหลังของไวเวิร์นผมไม่รู้สึกตัวถึงการมีอยู่ของหมู่บ้านนี้เลยทั้งที่มันควรจะสังเกตเห็นได้ง่ายแท้ๆ
และการที่ผมไม่รู้สึกตัว ก็น่าจะเป็นเพราะการปกปิดการรับรู้ของผมไว้ด้วยศาสตร์บางอย่างที่ป้องกันไม่ให้คนนอกรู้ถึงตัวตนของหมู่บ้านนี้
ที่แห่งนี้คือหมู่บ้านลับแลที่ซ่อนตัวจากผู้คนภายนอกไว้ด้วยบาเรียบางอย่าง นั่คือสิ่งที่ผมพอจะเดาได้จากการสังเกต
「 แต่ว่า แล้วทำไมกันล่ะ…」
ทำไมผมถึงผ่านบาเรียมาถึงหมู่บ้านนี้ได้กัน ที่ผมทำก็แค่ตามรอยเลือดเจ้านั่นมา อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นมันเข้ามาบุกหมู่บ้านนี้ ก็เลยทำให้บรรยากาศตอนนี้มันเงียบเป็นป่าช้าน่ะ?
พวกชาวบ้านอพยพหนีกันไปหมดแล้วสินะ?
แต่ถ้าคิดถึงความว่องไวของเจ้าบาซิลิสก์ที่จัดการกับเคียวแห่งยมทูตแล้ว ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าชาวบ้านกว่าร้อยคนจะหนีรอดกันไปได้สักกี่คน คิดแล้วก็แปลกดี ถ้าเป็นงั้นจริงผมก็น่าจะเจอศพสัก2-3ศพอยู่แถวนี้บ้างสิ
นอกจากนั้นผมยังไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้ของพวกเขาเลย รั้วกันก็ไม่มี ลูกศรจากการโจมตีระยะไกลก็ไม่เจอ
ทำไมพอผมตามรอยเจ้านั่นมาถึงหมู่บ้านนี้ต้องมาเจอเรื่องชวนปวดหัวอีกได้นะ
ถึงจะบอกว่าชาวบ้านหนีไปกันหมด แต่ประตูบ้านกลับปิดสนิททุกหลัง แทนที่จะบอกว่าผู้คนปิดมันก่อนจะหนีไป ต้องบอกว่ามันไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นแต่แรกแล้วจะง่ายกว่าอีก
หน้าต่างก็ปิดทุกบานด้วย ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย จะผักที่ตากเอาไว้ตามเฉลียง อุปกรณ์ทำไร่ที่วางไว้ข้างบ้าน หรือต้นไม่ที่ปลูกเอาไว้ในกระถาง ผมไม่เห็นอะไรแบบนั้นเลย
ขณะที่ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้านลึกขึ้น ผมก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าผมผ่านบาเรียเข้ามาได้ยังไง
…บริเวณนี้ก็โดนฟุไคกลืนกินไปแล้ว
ต้นไม้ค่อยๆผุพัง หญ้ากำลังจะตาย ดินก็เริ่มเน่า มีเสียงเหมือนน้ำเดือดดังออกมาจากโคลนซึ่งส่งกลิ่นของพิษร้ายออกมา
พืชผักบริเวณใกล้เคียงก็กลายเป็นสีม่วงคล้ายกับของใกล้เน่า มีกลิ่นเปรี้ยวแปลกๆล่องลอยอยู่ในอากาศ ใบไม้ที่หลุดร่วงออกมาจากลมที่โบกพัดก็กลายเป็นสีดำเมื่อสัมผัสกับพื้นดินราวกับถูกกองไฟแผดเผา
มันเป็นภาพของป่าที่ถูกฟุไคกลืนกิน
ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ควรจะเป็นสัญญาณของหมู่บ้านแห่งนี้ก็เริ่มถูกฟุไคกัดกินไปแล้วบริเวณส่วนข้างล่างของลำต้น
รากของมันเริ่มเน่า ลำต้นเริ่มมีรอยแตกร้าวอีกไม่กี่วันข้างหน้าฟุไคก็คงจะกลืนกินมันจนทำให้มันหักลงมาจากน้ำหนักของตัวมันเอง
จากนั้นผมก็เห็นว่าต้นไม้ขนาดใหญ่นี้มันมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ทิศ ไม่ว่าจะทางทิศ ใต้ เหนือ ตะวันตก เป็นไปได้ว่าต้นไม้พวกนี้แหละที่เป็นจุดเชื่อมต่อกันของบาเรียที่ทำหน้าที่ในการป้องกันหมู่บ้าน
เนื่องจากพวกมันถูกฟุไคกลืนกินไป จึงทำให้บาเรียเกิดความไม่เสถียรขึ้นจนผมเข้ามาได้ ถึงมันจะเป็นการเดาจากสิ่งที่เห็น แต่ผมคิดว่าความจริงก็ไม่น่าจะต่าง
แน่นอนว่าพวกสัตว์อสูรที่เห็นว่าบาเรียถูกทำลายลงไปก็คงไม่รอช้าที่จะเข้ามาลิ้งลองรสชาติของพวกคิจิน เจ้าบาซิลิสก์นี่ก็ไม่น่าจะต่างกัน บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าบาซิลิสก์ไม่สนใจผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของเคียวแห่งยมทูตก็เป็นได้
แต่พอลองมองย้อนกลับไป สมาชิกของเคียวยมทูตถึงจะถูกโจมตี ตีพวกเขาก็ไม่ได้ถูกกินเลยสักคน
สำหรับพวกมัน มนุษย์อย่างเราอาจจะเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่ถือว่าเป็นอาหารของพวกมันด้วยซ้ำ
นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่ถูกกิน
และมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงเอาแต่จ้องมองผมโดยที่ยังไม่ทำอะไรเลย
ผมมองไปที่ราชางูบาซิลิสก์ที่เกาะอยู่บนลำต้นของต้นไม้ยักษ์และยกมุมปากของตัวเองขึ้น
◆◆◆
ถ้าจะให้ผมอธิบายว่าบาซิลิสก์มันรูปร่างเป็นยังไง ก็ต้องบอกว่ามันเหมือนกิ้งก่าที่มี 8 ขา
แทนที่จะเรียกมันว่าราชาแห่งงู น่าจะเรียกมันว่าราชาแห่งกิ้งก่าด้วยซ้ำนะ
เกล็ดของมันเป็นสีม่วงเข้มที่ปกคลุมไปด้วยพิษ ลำตัวของมันยาวประมาณ 6 เมตร ถ้ารวมกับหางที่ดูจะแข็งแกร่งของมันไปด้วยก็ราวๆ 10 เมตรได้
ขอบคุณเพอรี่หัวหน้าของเคียวแห่งยมทูตจริงๆที่ช่วยตัดไป3จาก8 แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ดูเหมือนมันจะไม่ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการเคลื่อนไหวของมันเลยแฮะ
ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือมันกำลังใช้ขาทั้ง 4 ของมันเกาะต้นไม้เอาไว้อยู่ โดยที่ขาอีกข้างของมันนั้นกำลังจับเด็กสาวคิจินเอาไว้อยู่
ผมจำเขาคู่นั้นของเธอได้ เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ผมเคยช่วยไว้จริงๆด้วย
แต่สีผิวของเธอดูจะซีดๆไปนะ เหมือนเธอจะไม่ได้สติด้วย ร่างกายก็ดูอ่อนแรงราวกับคนตายไปแล้ว
ถึงภายนอกจะไม่ได้มีบาดแผลอะไร แต่ด้วยพิษของบาซิลิสก์ที่สามารถทำให้ผืนดินเน่าเปื่อยได้ แค่การเข้าไปใกล้มันก็น่าจะสร้างผลกระทบกับร่างกายได้มากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าโดนพิษนั่นเข้าไปโดยตรงก็คงจะตายแบบไม่ต้องสืบ
「….เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ」
เอาเถอะ เธอจะเป็นหรือตายก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้แค่ฆ่าบาซิลิสก์นั่นให้ได้ก่อนก็พอ
ผมสลับโหมดเข้าสู่สถานะพร้อมรบในลมหายใจเดียว ก่อนจะเคลือบคิไว้ทั่วร่างของตัวเอง
ผมเปิดใช้อาภรณ์วิญญาณ แล้วก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้านั่นมันจะสนใจผมหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมได้ทำการพุ่งเข้าไปโจมตีมันทันที กับในจังหวะที่มันกำลังจะอ้าปากกว้างเพื่อกินเด็กคนนั้น
——–
Note 1 : จะได้สู้สักที
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code