การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 49 ช่วยเหลือหมู่บ้านเมลเท
ตอนที่ 49 ช่วยเหลือหมู่บ้านเมลเท
นี่ก็สามวันผ่านมาแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมาที่หมู่บ้านเมลเท สถานการณ์ของหมู่บ้านในตอนนี้ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
ผลจากต้นจิไรอาโอคุสก็ช่วยรักษาโรคของพวกชาวบ้านได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาใหญ่ก็น่าจะอยู่ตรงที่ชาวบ้านไม่สบายใจเพราะพวกเขายังไม่รู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดขึ้นและกังวล
พอพวกเขาเริ่มมีอาการป่วยด้านจิตใจแทน ผมก็เลยบอกให้พวกเขาเข้าใจไปว่าสิ่งที่โจมตีหมู่บ้านมันไม่ใช่โรคลึกลับอะไร มันก็แค่พิษที่ปนมากับน้ำเพื่อคลายความกังวล
ให้เลือกดื่มน้ำจากบ่อ อย่ากินปลาที่มาจากแม่น้ำ อย่าปล่อยให้พวกเด็กๆ ลงไปเล่นที่แม่น้ำ หากพวกเขาทำตามนี้ก็คงจะไม่มีผู้ป่วยคนใหม่หรอก
แต่ถึงตอนนี้จะไม่มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว แต่คนที่ได้รับการรักษาไปก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว นอกจากนี้สิ่งที่ได้รับผลกระทบจากพิษก็ไม่ได้มีแค่มนุษย์ด้วย
ถ้าจะให้พูดก็…ดินนี่ไงล่ะ
เพราะผมคงไม่สามารถห้ามไม่ให้คนใช้น้ำจากแม่น้ำในการทำการเกษตรได้หรอก เพราะหากพวกเขาไม่ใช้น้ำพืชของพวกเขาได้ตายกันหมดแน่ สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้น้ำนั่นอยู่ดี
พอเป็นแบบนั้นการใช้น้ำที่ปนเปื้อนก็ย่อมทำให้พืชผลติดพิษไปด้วยเช่นกัน คงไม่ใช่ว่ากะจะกินไอ้นั่นตอนเก็บเกี่ยวด้วยนะ หรือถึงจะไม่กินก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะนำไปขายและแพร่พิษไปยังแหล่งอื่นแทน
ไม่สิบางที่พืชพวกนี้อาจจะตายก่อนโตเพราะพิษก็ได้ แต่ที่แน่ๆ เลยก็คือพิษพวกนี้มันจะฝังรากลึกลงในดินจนกระทบกับการเกษตรในปีถัดไปแน่นอน
พอเป็นแบบนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่าการปรากฏตัวของบาซิลิสก์มันสร้างผลกระทบใหญ่หลวงจริงๆ
แถมผมก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุด้วยสิ
เอาเถอะไอ้ที่ผมว่ามาทั้งหมดมันก็อยู่ในการคาดการแล้ว
และพอรู้แบบนี้ ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะเตรียมการรับมือเอาไว้
ยิ่งกับผมที่เป็นคนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก็ย่อมมีผลจิไรอาโอคุสเอาไว้ติดตัว นอกจากนั้นผมก็เตรียมโพชั่นฟื้นฟูแรงกายสำหรับผู้ป่วยเอาไว้เป็นตันๆ นอกจากนั้นก็มีน้ำมนต์ไว้ชำระล้างพิษบนผืนดินด้วย
โดยสองอย่างหลังผมได้มันมาจากวิหารพระแม่แห่งผืนดิน
ส่วนถ้าถามว่าผมไปได้มันมาท่าไหน ก็ต้องย้อนกลับไปตอนที่ผมจัดการกับภารกิจของทางกิลด์ อย่างเรื่องที่มีเสียงกรีดร้องในทุกคืนจากสุสานที่อยู่ใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
และก็เพราะการเผชิญหน้ากับพวกแบนชีที่เป็นสาเหตุในเรื่องนั้นผมก็เลยมีเส้นสายกับวิหารพระแม่แห่งผืนดินซึ่งเป็นวิหารที่ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดังกล่าว ผมก็เลยใช้มันในการขอซื้อโพชั่นและน้ำมนต์เป็นจำนวนมากมาได้
เอาตามตรง ไอโพชั่นฟื้นฟูน่ะไม่น่าเป็นห่วงอะไร แต่ผมไม่มั่นใจว่าน้ำมนต์นี่มันจะได้ผลกับพิษของฟุไคไหมเนี่ยสิ
แต่ด้วยชื่ออย่าง พระแม่แห่งผืนดิน ที่สื่อถึงเทพธิดาที่ปกป้องผืนดิน น้ำมนต์จากวิหารนั้นก็น่าจะช่วยให้ชาวบ้านเชื่อถึงประสิทธิภาพได้อยู่หรอก ขอแค่จิตใจของพวกเขาเริ่มมั่นคงขึ้น ผมก็โอเคแล้ว
เอาเป็นว่าอย่างน้อยสุดผมก็อยากให้พวกเขาไม่สิ้นความหวังกันไปเสียก่อนแล้วเลือกจะเป็นโจรกันแทนเพราะปลูกพืชไม่ได้
「พวกเราต้องขอบคุณกับทุกอย่างที่คุณทำเพื่อพวกเราจริงๆ ค่ะ…」
นักบวชซาร่า ก้มหัวให้กับผมราวกับรู้สึกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณผม
แน่นอนว่าในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ย่อมไม่มีโรงแรม ผมก็เลยขอยืมห้องว่างภายในวิหารไว้พักผ่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากผมได้อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับนักบวชสาว พวกผมก็เลยได้มีโอกาสทานข้าวด้วยกันทั้งเช้าเย็นมาสามวันแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่พวกผมสองคนนะ ในวิหารนี้ก็ยังมีคนอื่นอีกหลายคน
ถ้าถามว่าพวกที่เหลือเป็นใครก็…
「โซร้าาา เร็วหน่อย ไปให้อาหารเจ้ามังกรกัน!!」
「ไปกันเถอะ!」
「เร็วเข้าสิ!」
มีเด็กสามคนวิ่งเข้ามาหาผมและนักบวชพร้อมกับส่งเสียงเอะอะออกมา
พวกเขาทุกคนเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในวิหารเนื่องจากเสียพ่อแม่ของตนไปและไม่มีญาติพี่น้อง
เนื่องจากเจ้าเด็กสามคนนี้มักจะเกาะติดผมอยู่ตลอดตั้งแต่ที่มาหมู่บ้านนี้ ผมก็เลยไม่ได้มีเวลาเตรียมการอะไรในการจัดการกับอิเรียเลย อันที่จริงผมก็อยากจะคุยกับนักบวชซาร่าให้มากกว่านี้อีกหน่อยนะ…ให้ตายสิเจ้าเด็กพวกนี้!
เพื่อตอบแทนที่เจ้าพวกนี้มาขวางทางผม ผมก็เลยพาคราว โซราสไปล่ากวางกับหมีที่อยู่บนเขาใกล้ๆ นี่ก่อนจะนำมันกลับมาให้พวกชาวบ้านนี่ก็เป็นวันที่3แล้ว
ฟุฟุฟุ ไอ้เจ้าพวกเด็กเวรเชิญกินเนื้อนี้ให้เยอะๆ จนอ้วนเป็นหมูกันไปซะ แต่ด้วยร่างที่ผอมแห้งของพวกเด็กนี่น่าจะต้องใช้เวลาเยอะอยู่แฮะ
…ผมเก็บความคิดที่ชั่วร้ายนี้เอาไว้ในใจและตอบพวกเด็กๆ ไปด้วยรอยยิ้ม
「ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว ว่าแต่พวกนายชอบไวเ-ฉันหมายถึงมังกรกันขนาดนั้นเลยเหรอ? 」
「แน่สิ! พวกมันเจ๋งออกนี่นา อนาคตฉันจะต้องเป็นอัศวินมังกรให้ได้เลยคอยดู!」
「ฉันก็ด้วย!」
「ฉันก็เหมือนกัน!」
「งั้นฉันขอเป็นด้วยนะคะ!」
「เดี๋ยวเถอะครับคุณนักบวชตรงนั้น อย่ามาสุมไฟด้วยสิ」
ผมมองไปยังซาร่ามีเข้ามาทำตัวกลมกลืนกับพวกเด็กๆ ไปด้วย พอเธอเคียงคอสงสัยมาที่ผม ความน่ารักของเธอที่แผ่ออกมามันเกิดต้านจริง
ให้ตายเถอะ คุณแม่ที่มีลูกสาวอายุตั้ง 18 ปีแล้วอย่ามาทำตัวเหมือนเด็กน้อยแบบนี้สิ!
ถึงมันจะดูไม่ค่อยดีกับคนมีอายุ แต่พอเธอน่ารักขนาดนี้ จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ!
สีหน้าของนักบวชซาร่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถ้าเทียบกับเมื่อ 3 วันก่อน ตอนนี้ผู้ป่วยที่เข้ามาเต็มวิหารไปหมด แต่พอเป็นตอนนี้ดูเหมือนเธอจะมีเวลาพักผ่อนบ้างแล้ว โพชั่นฟื้นฟูที่ผมนำมาก็เหมือนจะได้ผลดี
พอแรงกายของเธอกลับมาฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ถุงใต้ตาและแก้มที่ซูบผอมก็หายไป ตอนนี้เธอสามารถแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอให้ผมเห็นได้แล้ว
ความประทับใจแรกที่ผมเจอเธอก็คือเธอเป็นคนใจดี ถ่อมตัว แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่านักบวชของวิหารเทพแห่งกฏหมายก็มีด้านที่ขี้เล่นเหมือนกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เธอสามารถจัดการกับพวกเด็กๆ ได้ด้วยสินะ
หลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปที่ด้านนอกหมู่บ้าน
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าผมพาพวกเด็กๆ ไปหาคราว โซราส “มังกร” ที่พวกนั้นอยากเห็น
ไวเวิร์นก็เป็นที่นิยมในเมืองอิชกะนะ แต่ดูเหมือนที่หมู่บ้านเมลเทนี่ก็ไม่ต่างกันแฮะ ขนาดบ้านนอกแบบนี้เรื่องของอัศวินมังกรก็ส่งมาถึงแฮะ
ถึงแม้ผมจะไม่ได้รับอนุญาตให้พามันเข้าหมู่บ้านก็เถอะ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ให้ผมใช้พื้นที่ว่างหลังหมู่บ้านได้ ผมก็เลยให้มันรอตรงนั้นแทน
คราว โซราสก็เหมือนเดิมคือไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้นอกจากผม ถึงพวกเขาจะเป็นเด็กมันก็ข่มขู่อย่างไม่แยแส
พวกเด็กๆ ก็รู้เรื่องนี้พวกเขาก็เลยเลือกที่จะรอผมมากับพวกเขา ผมเดาว่าบางทีถ้าผมอยู่ด้วยมันน่าจะยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ได้บางสินะ
พอคราส โซราสเห็นว่าเป็นผมที่มา มันก็เริ่มกระพือปีกอย่างมีความสุข พร้อมกันนั้นดวงตาของเด็กทั้งสามคนก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
พอผมกำลังจะป้อนผลแอปริคอตเหมือนที่ทำเป็นประจำให้มันผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ผมทำการกวักมือเรียกพวกเด็กทั้งสามคนแล้วยืนผลแอปริคอตให้พวกเขา ก่อนจะมองเด็กพวกนั้นแล้วบอกว่า “รู้ใช่ไหมว่าพวกนายต้องทำอะไร?”
..ผมมีความรู้สึกว่าโอ๋เด็กพวกนี้มากเกินไปหน่อย แต่ก็เพราะพวกเขาช่วยเหลือซาร่ารับมือกับคนไข้ที่เข้ามาในวิหารจนกลายเป็นสถานพยาบาล
ภาพที่ผมเห็นคือพวกเขาต่างเข้าไปช่วยเหลือและรับมือกับผู้ป่วย ดังนั้นพอสถานการณ์สงบลง จะปล่อยให้พวกเขาสนุกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
แถมผมยังสามารถเก็บแต้มความชอบจากคุณซาร่าได้ด้วยสิ
พอคราว โซราสเห็นว่าผมยกหน้าที่ป้อนอาหารให้พวกเด็กๆ แทนมันก็เหมือนจะไม่ค่อยพอใจ แต่พอผมบอกมันไปว่า “เดี๋ยวฉันจะไปล่ากับนายทีหลังน่า ยอมๆ หน่อยเถอะ” ก็เป็นอันจบ
แน่นอนว่าการล่าที่บอกไม่ใช่แค่ล่าอาหาร แต่ผมอยากจะไปล่าบางอย่างที่ผมได้ยินมาจากชาวบ้านด้วย เพราะพวกเขาบอกว่าเห็นพวกออร์คมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้
ดูเหมือนพวกมันจะหลั่งไหลมาจากทางเขตนครศักดิ์สิทธิ์ทางตอนใต้ เป็นไปได้สูงว่าพวกมันน่าจะเริ่มตั้งถิ่นฐานกันสักที่แล้วก็ได้
สำหรับผมแล้วมันก็ของง่ายๆ ในการค้นหาพวกมันจากบนท้องฟ้า
พวกก็อบลินกับออร์คนั้นมีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบคม ส่วนมากพวกมันมักจะชอบเล็งหมู่บ้านที่ดูอ่อนแอเสมอ หากผมปล่อยทิ้งไว้ หมู่บ้านนี้ก็คงไม่พ้นเป็นเป้าของพวกมันแน่
น่าจะยังเหลือเวลาอีก 2-3 วันกว่าอิเรียจะมาถึงที่นี่ ผมก็น่าจะเพิ่มค่าความชอบของชาวบ้านได้อีกสักหน่อย แต่ผมก็ต้องประหลาดใจเมื่ออิเรียกลับมาในตอนเที่ยงของวันนี้
ดูเหมือนว่าเธอเลือกที่จะซื้อมาใช้เดินทางมาเลย แทนที่จะเป็นรถม้า พอผมมาคิดให้ดีๆ แล้วอิเรียก็เป็นถึงนักผจญภัยระดับ 6 เหมือนราส แค่เงินในการซื้อม้ามาขี่เองก็ไม่น่าจะลำบากเธอนัก ว่าแล้วเชียวผมคิดน้อยไปสินะ
แล้วเธอก็ต้องอยู่ในสภาพที่ปากกับตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นผมกำลังสับฟืนกับพวกเด็กๆ ที่บ้านเกิดตัวเอง
จากนั้น 3 วิได้ เธอก็ถามผมว่า “นายมาทำอะไรที่นี่?” ด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
ทีนี้ผมจะจัดการเธอยังไงดีนะ
ว่าแล้วผมก็รวบรวมคำพูดหลากหลายที่จะใช้ในการเอาชนะใจเธออยู่ภายในใจ
——–
Note 1 : มาถึงตรงนี้ผมมองว่าสุดท้ายเนื้อแท้โซระก็คือคนดีคนหนึ่งถึงจะชอบเครมว่าตัวเองร้ายเหมือนใครบางคน ไอ้เรื่องการแก้แค้นก็เหมือนจะทำเท่าที่โดน ใครไม่เกี่ยวหรือไม่ทำอะไรเขาก่อนก็ไม่ยุ่งพร้อมช่วยเหลือด้วย ส่วนซาร่าถึงจะเป็นแม่ของอิเรีย แต่พอเจอโมเม้นนึกถึงแม่ตัวเองก็น่าจะยอมปล่อยไปมั้งแถมน่ารักด้วย เรียกพ่อสิอิเรีย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code