การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 5 ขีดจำกัดความสามารถ
ตอนที่ 5 ขีดจำกัดความสามารถ
ในรุ่งเช้าเมื่อผมตื่นขึ้นมา สถานที่ที่ผมพักอยู่นี้ไม่ได้มีอาหารเช้าไว้รับรองเหมือนที่กิลด์มีให้ มันเป็นเพียงห้องพักราคาถูกสองทองแดงต่อคืน
ภายในอาคารนั้นเป็นห้องแคบที่ถูกกั้นไว้เพียงแผ่นไม้บางๆ แม้ในห้องจะยังถูกทำความสะอาดอยู่บ้าง…แต่กลับไม่มีประตูห้อง นั่นจึงทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นผมได้จากทางเดินข้างนอกห้อง
จากมุมมองทางด้านความปลอดภัยแล้ว ชักสงสัยว่าโครงสร้างนี้เหมือนพยายามจะให้เราต้องมาคอยระวังคนจากภายนอกเลย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมสามารถได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในห้องข้างๆ ได้อย่างชัดเจน
ผมไม่สามารถจะข่มตานอนได้จากเสียงกรนที่ดังมาจากห้องทางขวา และเสียงอันแสนลามกของโสเภณีจากห้องทางซ้าย
สิ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็คือตอนนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ
เพราะผมคงจะนอนแข็งตายแน่ๆ หากตอนนี้เป็นฤดูหนาว
ผมหมวดคิ้วทันทีที่ตื่นนอนขึ้นมาจากบรรยากาศที่ไม่น่าภิรมย์นัก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมไม่ได้ต้องการจะย้ายมาอยู่ในที่แบบนี้หรอก
จนกระทั่งเมื่อคืนก่อนหน้านี้ ผมเคยพักประจำอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่ถูกจัดหาให้กับคนของกิลด์ แม้มันจะเป็นสถานที่ที่เล็กแต่ก็สะอาดและสะดวกสบาย เจ้าของที่พักก็ใจดีซื่อสัตย์ ลูกสาวของเขาที่มาช่วยงานบริการก็ร่าเริงสดใส
เมื่อผมถูกขับไล่ออกมาจากกิลด์ ผมก็ลองไปถามเจ้าของโรงแรมดูว่าสามารถรอจนถึงเดือนหน้าก่อนจะเก็บค่าที่พักได้ไหม
ผมที่เป็นผู้พักอาศัยในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาหลายปีก็ไม่เคยเห็นพวกเขาแสดงสีหน้าที่หงุดหงิดออกมาเลยแม้ว่าผมจะติดค้างค่าเช่าหรือค่าอาหาร
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะไม่เป็นอะไร แต่ว่า….
「พวกเราไม่มีเหตุผลที่ต้องให้บริการแก่ผู้ที่ไม่ใช่นักผจญภัย!!」
ผมถูกกำปั้นซัดที่ร่างก่อนจะถูกโยนออกจากห้องไป
ดูเหมือนเจ้าของที่พักจะทราบแล้วว่าผมถูกขับไล่ออกมาจากกิลด์ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเขาเป็นคนที่ติดต่อกับกิลด์อยู่เสมอ
ส่วนทางด้านลูกสาวของเจ้าของโรงเตี๊ยมที่พูดคุยกับผมเป็นอย่างดีมาจนถึงตอนนี้ ก็เอ่ยออกมาด้วยความดีใจ
「ขอบคุณที่ใช้บริการมาจนถึงทุกวันนี้นะ! แต่ครั้งหน้าถ้ามาช่วยให้ทิปกันด้วยล่ะ!」
เห็นได้ชัดว่าผมน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้สึกมีความสุขในที่แห่งนี้ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วผมเป็นเพียงลูกค้าแสนขี้เหนียวคนหนึ่งที่ไม่มีแม้กระทั่งทิปแถมยังชอบติดเงินไปทั่วด้วย
แม้ว่าผมจะชอบพวกเขาในเรื่องของงานบริการจึงเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาคงมองผมเป็นแค่ตัวตลกสินะ
ผมอาจจะเป็นคนผิดเอง…ไม่สิ ผมผิดเองแหละ
แต่ถึงแบบนั้นทำไมทุกคนต้องมาผมเป็นเหมือนเศษขยะด้วยล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นสายตาของพนักงานต้อนรับของกิลด์หรือลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมที่มองมาที่ผม
ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาจนเอามือเข้าไปชกกับกำแพง…จริงๆ ก็แค่พยายามเฉยๆ ก่อนที่จะหยุดตัวเองไว้ เพราะกำแพงพวกนี้อาจจะพังลงมาเลยก็ได้หากผมต่อยไป
และถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงต้องจ่ายค่าเสียหายหลายสิบเท่าเพื่อเป็นค่าซ่อมแซม
มันคงจะโง่มากหากผมต้องมาเสียเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดเพราะเรื่องแบบนี้อีก
「…ปัญหาก็อยู่ตรงนี้แหละนะ」
ผมค่อยๆ นับเงินที่เหลืออยู่
เมื่อรวมเหรียญเงินกับเหรียญทองแดงที่ผมเหลืออยู่ ก็น่าจะพอสำหรับอยู่ไปได้อีกหนึ่งเดือน
แต่นั่นคือในกรณีที่ต้องทานอาหารที่ถูกที่สุดและที่พักที่ถูกที่สุด เรื่องอาหารผมคงจะไม่มีปัญหานัก แต่ยังไงก็ต้องรีบจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้เสียก่อน
หากผมไม่เลือกงาน ก็มีหลายงานที่ผมทำได้เช่นการกำจัดสิ่งปฏิกูล งานก่อนสร้างกำแพงเมืองที่มีความอันตรายสูง และอื่นๆ อีกมากมาย…แต่ผมไม่อยากจะทำมันหรอกนะ
ผมคงไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้นแน่หากผมมัวแต่กังวลเรื่องการหาเงินมาประทังไปวันๆ ผมยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
ใช่แล้ว ในกฎก็ไม่มีบอกสักหน่อยนี่นาว่าผมไม่สามารถล่ามอนสเตอร์หรือช่วยเหลือผู้คนได้ หากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิลด์
ถ้าผมยังคงไปเก็บสมุนไพรเหมือนที่ทำมา ก่อนจะนำไปขายโดยตรงให้กับพวกนักปรุงยาหรือร้านค้าโดยไม่ต้องผ่านกิลด์ก็น่าจะได้
ถึงการที่ผมจะไม่มีตัวกลางอย่างกิลด์ อาจจะถูกโกงเอาได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าต้องไปทำความสะอาดรางน้ำหรือท่อน้ำทิ้งแหละนะ
โดยปกติแล้ว พวกคนที่ทำกันแบบนี้โดยไม่ขึ้นตรงกับกิลด์จะถูกเรียกว่า “นักผจญภัยเถื่อน” พวกเขามักจะถูกมองว่าเป็นพวกพวกอันธพาลไม่ก็พวกเร่ร่อน
ผมรู้เรื่องนั้นดี แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญสำหรับผมหรอก แถมฟังดูน่าสนุกดีออกที่จะได้สร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะนักผจญภัยเถื่อน พนักงานต้อนรับหรือลูกสาวของเจ้าของโรงเตี๊ยมจะต้องเสียใจแน่นอนที่ทำแบบนี้กับผมในวันที่ผมประสบความสำเร็จ
พอผมคิดได้แบบนั้น ก็รู้สึกดีขึ้นมาหลังจากถูกขับไล่ออกจากกิลด์เพราะมันก็เหมือนการที่ผมได้ถอดปลอกคอที่คล้องเอาไว้อยู่นานออก
ตั้งแต่แรกความสัมพันธ์ของผมกับกิลด์ก็ไม่ได้ดีนักอยู่แล้ว
ผมรู้ว่าพวกนักผจญภัยและพนักงานต้อนรับคนอื่นต่างก็เรียนผมว่า “ปรสิต” ลับหลังผม
คิดซะว่านี่เป็นโอกาสดีแล้วที่จะได้ตีตัวออกห่างคนพวกนั้น
ผมกระแอมออกมา
ก่อนจะถอนหายใจ
ผมต้องเตือนสติตัวเองไว้ว่าที่คิดมาทั้งหมดมันก็แค่การหนีจากความเป็ฯจริง
ผมก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบขนาดถูกเรียกว่าปรสิตหรอกนะ
「เปิดหน้าต่างเลเวล」
ผมร่ายเวทย์เพื่อแสดงเลเวลของตัวเอง
ตัวเลขที่แสดงออกมาตรงหน้าของผมนั้นก็ยังเป็น 1 ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ไม่ว่าผมจะพยายามสักแค่ไหน ไม่ว่าจะต่อสู้มากี่ครั้ง เลเวลผมก็ไม่เคยเพิ่มจากเดิมเลย
ขณะที่ผมมองตัวเลขที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้ราวกับถูกสาป สีหน้าของผมก็บิดเบี้ยวออกมาโดยธรรมชาติ
◆◆◆
เลเวลของมนุษย์นั้นคือตัวบ่งชี้ระดับความสามารถของทุกคน หากพวกเขามีมากเท่าไหร่ความแข็งแกร่งก็จะมากขึ้นเท่านั้น
หากจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือเลเวล1 นั้นจะมีค่าพลังที่ 10 เลเวล 2 จะมีค่าพลังที่ 20 เลเวล 3 ก็30
ดังนั้นนักผจญภัยคนไหนที่ระดับเลเวลไม่สามารถเพิ่มขึ้นจาก1ไปได้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงคนอื่น
ที่ผมรู้ก็เพราะผมสูญเสียสมาชิกในปาร์ตี้ไปเพราะความต่างของเลเวลนี้มานักต่อนักแล้ว….
หรือจะให้พูดตรงๆ ก็คือโดนไล่ออกมาจากปาร์ตี้
ไม่ต่างกับน้องชายของผมหรือคู่หมั้นของผมที่เกาะนั้นเลย ผมถูกเพื่อนร่วมปาร์ตี้ทิ้งไว้ข้างหลัง
ผู้คนต่างก็มีความคิดในการเก็บเลเวลต่างกันออกไป แต่ถ้าไปถามพวกที่อยู่ในสนามรบอยู่เสมอ พวกเขาก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการจะเพิ่มเลเวลได้ดีที่สุดนั้นคือการที่ ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเราเสมอ
เราจะไม่มีทางอัพเลเวลได้เลยแม้จะฆ่ามอนสเตอร์ที่อ่อนกว่าตัวเองไปเป็นร้อยๆ ตัวก็ตาม
หรือก็คือคนที่อ่อนแอจะมีโอกาสเลเวลอัพได้ง่ายกว่าคนอื่น
นั่นหมายความว่าคนที่เลเวลน้อยย่อมอัพเลเวลได้ง่ายกว่าคนที่เลเวลสูงแล้ว
ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่เลเวลของผมกลับไม่เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่อยู่ที่เกาะกระทั่งตอนนี้ก็ด้วย
อาจจะฟังดูแปลกที่ผมพูดแบบนั้น แต่มันก็มีทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้
ขีดจำกัดความสามารถ
มันเป็นขีดจำกัดของมนุษย์ที่เป็นไปได้ เช่นนักบุญดาบผู้ผนึกเทพปีศาจไว้เมื่อสามร้อยปีก่อนก็ดูเหมือนจะมีเลเวลที่ 99 และไม่สามารถเพิ่มไปสูงกว่านั้นได้
กระทั่งนักบุญดาบยังมีขีดจำกัดเลเวลเลย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่มนุษย์คนอื่นจะไม่มีขีดจำกัดเช่นนั้น แน่นอนว่าผู้คนก็มีความแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน ขีดจำกัดเลเวลของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
…หากเป็นไปตามที่ว่ามาทั้งหมด ก็คงจะไม่แปลกหากจะมีใครสักคนที่มีขีดจำกัดเลเวลที่ 1
◆◆◆
ด้วยขีดจำกัดความสามารถนี้ทำให้เลเวลของผมอัพต่อไปไม่ได้ นี่มันความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
แต่ก็ใช่ว่าผมจะปักใจเชื่อจนหมดหวังหรอกนะ
เพราะทฤษฎีนี้ก็ใช่จะได้รับการพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์เสียหน่อยนี่
ตอนนี้ทุกคนต่างก็สามารถใช้เวทย์เพื่อดูเลเวลปัจจุบันของตนได้ และดูเหมือนจอมเวทย์ระดับสูงจะสามารถเห็นข้อมูลที่มากกว่านั้นได้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพวกเขาสามารถมองเห็น ขีดจำกัดของความสามารถ เลยสักครั้งดังนั้นเรื่องนี้ก็ยังยืนยันไม่ได้เสียทีเดียว
นั่นทำให้ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าที่เลเวลของผมไม่สามารถเพิ่มได้เป็นเพราะอะไรกันแน่ ขีดจำกัด หรือเพราะค่าประสบการณ์ไม่พอกันแน่ก็ไม่อาจสรุปได้
แถมตอนที่อยู่เกาะ คนที่ยังไม่ผ่านพิธีทดสอบก็ไม่สามารถลงไปต่อสู้ในสนามรบจริงได้ด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเชื่อว่าเลเวลของผมน่าจะอัพหากมาเป็นนักผจญภัย ตอนนั้นผมเชื่อแบบนั้นหมดใจ
แต่ความเป็นจริงมันปราณีผมเสียที่ไหน
ไม่ว่าผมจะเอาชนะมอนสเตอร์ไปกี่ตัว จัดการโจรไปกี่คน เลเวลผมก็ไม่เพิ่มขึ้นมาเลย
ขนาดเพื่อนเก่าในปาร์ตี้ของผม ต่อสู้กับศัตรูตัวเดียวกันในเควสเดียวกัน ทานอาหารแบบเดียวกัน พวกเขาก็ยังสามารถเพิ่มเลเวลอย่างรวดเร็วได้เลยแท้
สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในปาร์ตี้อย่างชัดเจนก็คือความแตกต่างระหว่างพวกเรา
เนื่องจากเลเวลนั้นเป็นข้อมูลสำคัญมันจึงเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ควรเปิดเผยไปทั่ว แต่เหล่าเพื่อนเก่าของผมต่างก็ยอมเปิดเผยเลเวลให้กับดูทุกคน
และพอพวกเขาทำแบบนั้น คนที่ไม่อยากแสดงเลเวลให้เห็นแบบผมก็จำเป็นต้องเปิดเผยเลเวลเหมือนกัน
ผมที่ถูกหลอกหลอนด้วยภาพเช่นนั้นมาโดยตลอด ก็ตัดสินใจว่าจะสารภาพแล้วเปิดเผยความจริงนี้ให้กับคนในปาร์ตี้ทราบ
เนื่องจากผมก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกปาร์ตี้จนสามารถเรียกหัวหน้าปาร์ตี้นั้นว่าเพื่อนคนหนึ่งได้
ผมจึงคิดว่าพวกเขาก็น่าจะเข้าใจในตัวผมเหมือนกัน
…แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาก็มีเพียงความเจ็บปวดแสนสาหัส ผมถูกเรียกว่าพวกลวงโลกต่อหน้าทุกคนและถูกไล่ออกจากปาร์ตี้
หลังจากนั้นนักผจญภัยคนอื่นๆ ก็มองมาที่ผมด้วยสายตาเหยียดหยามและมองว่าผมเป็น “ปรสิต” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสาเหตุก็น่าจะเป็นสมาชิกปาร์ตี้เก่าของผม
การกระทำของนักผจญภัยชั้นต่ำที่ซ่อนเลเวลของตนเพื่อเข้าปาร์ตี้ จะถูกเรียกว่า “ปรสิต” เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับกันได้ และหากกระทำด้วยเจตนาร้ายก็จะต้องรับโทษจากทางกิลด์
ถึงตอนนั้นผมจะไม่ได้ถูกลงโทษ แต่ทุกคนรอบตัวผมก็มองผมเป็นเหมือนอาชญากรไปแล้ว
เนื่องจากข่าวเรื่องที่ผมเป็นปรสิตที่มีเลเวลเพียง1แพร่กระจายออกไป ทุกคนก็เลยสรุปกันได้ว่าขีดจำกัดความสามารถของผมน่าจะมีเท่านั้น
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ต้องตัวคนเดียว เพราะไม่มีใครอยากจะพา ปรสิตเลเวล 1 มาเข้าปาร์ตี้ด้วยเลย
นอกจากนี้พอต้องทำงานคนเดียวขีดจำกัดของเควสก็แคบลง
มีเควสให้เลือกอยู่น้อยนิด ที่มาพร้อมกับรางวัลเพียงไม่กี่เหรียญทองแดง
ผมไม่สามารถซื้ออาวุธหรือเครื่องมือที่จำเป็นได้อีกต่อไป และด้วยเหตุนี้ ตัวเลือกในการทำภารกิจของผมก็น้อยลงไปกว่าเดิมอีก
และเมื่อสามปีที่แล้วผมก็ยอมถูกลดระดับจากนักผจญภัยระดับเก้าไปเป็นระดับสิบ เพราะต้องการลดค้าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับกิลด์
โดยรวมแล้วก็คือ ผมเป็นนักผจญภัยระดับเก้าอยู่ประมาณหนึ่งปีครึ่งเพราะผมคิดว่าการตั้งปาร์ตี้ด้วยระดับเก้านั้นจะง่ายกว่า และยังเป็นความภาคภูมิใจของผมเองด้วย
แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่สามารถหาปาร์ตี้ได้อีก
ดังนั้นผมเลยจำเป็นต้องลดระดับตัวเองลงไปที่สิบ แน่นอนว่าเควสที่เลือกทำได้นั้นจะน้อยลงไปมาก แต่ก็มีจำนวนของภารกิจที่สามารถทำคนเดียวเยอะกว่า ผมจึงมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่กลับกลายเป็นว่าผมไม่เหลือแรงไงหรือเงินในการจะกลับขึ้นไปเป็นระดับเก้าได้อีกเลย ก่อนที่ผมจะถูกไล่ออกจากกิลด์เมื่อวานนี้เอง
นั่นคือสถานการณ์ที่ผมต้องเผชิญมาจนถึงตอนนี้
—
Note 1 : สรุปคือฟังมันบ่นทั้งตอน
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code