การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 55 เจ้าหญิงทอมบอย
ตอนที่ 55 เจ้าหญิงทอมบอย
กษัตริย์โทบาร์ด องค์รัชทายาทเอซ่า และมาร์ควิสโครเคีย
ในงานพิธีมอบรางวัลผมจำชื่อและหน้าได้แค่สามคนนี้เท่านี้แหละ
และหากจะให้ผมพูดถึงฝ่าบาทคนนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าวิเศษมากเพราะเขาจัดพิธีมอบรางวัลแบบเรียบง่าย ตัดขั้นตอนที่ดูยาวนาน น่าเบื่อและเล่นใหญ่ออกไปจนต่างจากจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นกว่าครึ่ง
ส่วนอีกคนก็เจ้าชายเอซ่า ทันทีที่ผมได้เจอหน้าเขา เขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่กึกก้องว่า “ส่งไวเวิร์นครามนั้นมาเสีย” เจ้าชายวัย 13 ปีคนนี้ดูเหมือนอยากจะให้คราว โซราสเข้ามาเป็นมังกรสำหรับเขาในอนาคตเลยแฮะ
ก็จริงว่าไวเวิร์นครามมันแข็งแกร่งกว่าไวเวิร์นทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไวเวิร์นป่า ระดับพลังของมันก็ย่อมแตกต่างจากมังกรที่เลี้ยงมาอย่างเห็นได้ชัด
หากจะให้เทียบว่ามันแตกต่างกันขนาดไหน…ก็ต้องย้อนไปตอนที่ผมเอาคราว โซราสไปฝากไว้ที่คอกของพวกอัศวินมังกร ไวเวิร์นที่อยู่ในคอกเดียวกันต่างอยู่ในสภาวะสงบนิ่งและหมอบราบกับพื้นราวกับยอมจำนนต่อมัน
หากเจ้าชายจะถูกใจมันเข้าก็คงไม่แปลกอะไร
คงไม่ต้องบอกเนอะ ว่าผมไม่มีทางจะยกคราวโซราสให้กับเขาอยู่แล้ว
แต่อีกฝ่ายดันคิดว่าผมคงจะเต็มใจยกให้เขาโดยทันทีเลยเนี่ยสิ
ตัวผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรแอบแฝงหรอก ที่ผมสัมผัสได้ก็มีเพียงแค่เขาต้องการคราว โซราสเพราะเขาชอบมันจริงๆ
อย่างไรก็ตาม การที่เขาไม่ฉุกคิดขึ้นมาเลยสักนิดว่าผมอาจจะปฏิเสธความปรารถนาของเขาก็ได้ ก็คงต้องหักแต้มไป
เขายังคงมีความทะเยอทะยานแบบชายหนุ่มและความเย่อหยิ่งของเชื้อพระวงศ์ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าชาย ก็ควรทำตัวแบบเจ้าชาย
แต่แล้วก่อนที่ผมจะได้ปฏิเสธอะไรเขา เขาก็ดันรีบถอยจากผมไปทันทีหลังจากเห็นดยุกดรากูนอทและแอสทริดเข้ามาหาผม
ระหว่างที่ผมกำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดยุกก็อธิบายสถานการณ์ให้ผมได้ฟังด้วยความขมขื่น
จากที่เขาบอกผม ดูเหมือนว่ารัชทายาทคนนี้ได้ถอนหมั้นกับคลอเดีย ดรากูนอท ลูกสาวคนเล็กของท่านดยุกที่ผมเจอวันก่อน
แม้ว่าการยกเลิกการหมั้นหมายจะมาจากตัวของกษัตริย์ผ่านดยุกดรากูนอทและ ทางเจ้าชายไม่ได้พูดคุยอะไรกับดยุกดรากูนอทถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่การกระทำของเขาต่อคลอเดีย อย่างการที่ไม่เคยไปพบหรือส่งจดหมายมาหาเธอเลยแม้แต่ฉบับเดียวก็เพียงพอแล้ว
ก็นะหากมีเรื่องอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น จะให้เขามาสู้หน้ากับดยุกและแอสทริดได้ก็คงยาก
ส่วนคนสุดท้ายก็คือมาร์ควิสโครเคีย ตระกูลของเขาเป็นชนชั้นสูงที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของอาณาจักรคานาเรียรองจากดยุกดรากูนอท
เขาเป็นคนที่ยืนกรานว่าอาณาจักรควรจะผูกสัมพันธ์ฉันมิตรกับจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า ซึ่งขัดแย้งกับดยุกดรากูนอทที่เห็นต่างว่าอาณาจักรควรแยกตัวเป็นอิสระและปกครองตนเองโดยไม่มีภายนอกมายุ่งเกี่ยว
「ข้าได้ยินมาว่าท่านโซระเป็นคนของจักรวรรดิใช่หรือไม่ เนื่องจากทางข้าก็ตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในอนาคตก็เลยอยากจะเชิญท่านมาเล่าเรื่องของบ้านเกิดท่านกับเรื่องอื่นๆ ด้วยสักหน่อย 」
ร่างของมาร์ควิสโครเคีย ทำให้ผมนึกถึงเลข 1 เพราะเมื่อเขายืนพูดกับผมขณะแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า ร่างของเขานั้นผอมแห้งเหมือนเข็ม แต่สูงราวกับต้นไม้ ความกดดันที่ผมได้จากเขาก็ต่างจากแรงกดดันของนักรบอย่างดยุกดรากูนอท
แต่กลับกัน นัยน์ตาของเขากลับคมกริบ แววตาที่เชือดเฉือนราวกับมีดที่กำลังลับคมมาส่งผ่านดวงตาสีเทาของเขา จะให้พูดก็คือจะเป็นคนที่มีความสามารถในการปกครองและเกมการเมือง
จากที่ผมได้ยินมาก็ดูเหมือนว่าการหมั้นหมายของคลอเดียกับเจ้าชายถูกยกเลิกไปเพราะเขาเนี่ยแหละ จากที่เขาเข้ามาหาผมแบบนี้บางทีก็อาจจะอยากให้คำใบ้อย่างอำนาจของตระกูลดรากูนอทเริ่มเสื่อมถอยลงไปแล้ว
ถึงผมจะไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งภายในวังตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายผมก็ต้องมาได้ความรู้ที่ไม่จำเป็นพวกนี้อยู่ดีแฮะ
จริงสิ ผมได้คุยกับเอิร์ลคนอื่นๆ แล้วก็กัปตันของพวกอัศวินมังกรด้วย แต่ก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกันไปบ้าง
◆◆◆
「เห้อ…นี่แหละคือเหตุผลที่อยากจะกลับบ้านชะมัด」
「ถึงคุณจะบ่นแบบนั้นก็เถอะ…..แต่ฉันก็เห็นด้วยนะคะว่าวังเป็นสถานที่ที่ชวนให้หายใจลำบากจริงๆ!」
คนที่พยักหน้าให้กับผมก็คือคลอเดีย ดรากูนอท บุตรสาวของดยุกดรากูนอท
ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่คอกสำหรับไวเวิร์นที่ถูกสร้างขึ้นมาพิเศษ ซึ่งติดอยู่กับคฤหาสน์ของดยุกดรากูนอท
หลังจบงานพิธีมอบรางวัล ผมก็ขอให้ดยุกย้ายคราว โซราสมาที่นี่แทนเพราะผมไม่รู้ว่าหากฝากไว้ที่วังต่อ เจ้าชายจะมาทำอะไรบ้าง
แล้วทำไมมีคลอเดียที่ป่วยอยู่ถึงมาที่นี่กันล่ะ
「ช่วงนี้อาการของฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ ก็เลยอยากจะออกมาเดินเล่นสักหน่อย เพราะหากเอาแต่อยู่เฉยๆ เดี๋ยวร่างกายก็อ่อนแอกันพอดี」
…ก็เลยเลือกมาที่นี่ว่างั้นเถอะ
ผมของเธอเป็นสีบลอนด์ยาว ดวงตาสีม่วงอ่อน แขนขาของเธอตอนนี้อยู่ในสภาพผอมแห้ง ผิวก็ซีดราวกับขาดเลือด แต่บุคลิกแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของเธอได้ชัดเจน
เธอให้ความรู้สึกเหมือนเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเสียดาย
จากนั้นคลอเดียก็จ้องมองไปยังคราว โซราสด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
「ว่าแต่ เขาคนนี้สวยมากเลยนะคะ ดูเกล็ดสีครามพวกนี้สิ….เข้าใจได้ทันทีเลยว่าทำไมท่านพ่อถึงได้ชอบไวเวิร์นครามนัก…คือ…ฉันขอลองสัมผัสมันดูสักหน่อยได้ไหมคะ? 」
「ถามฉันไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ท่านควรไปถามเจ้าตัวเองนู้น」
「อ๊ะ นั่นสินะคะ! เอ่อ คราว โซราส ฉันขอโทษนะแต่ฉันขอสัมผัสร่างกายของเธอสักหน่อยได้หรือเปล่า? 」
「-พุกี้-!」
「ขอร้องเถอะนะ! จริงสิ ฉันชื่อว่าคลอเดีย ส่วนคนที่สนิทก็มักจะเรียกฉันว่าครอว」
「-กิ้ว-? 」
「เธอก็ถูกเรียกว่าคราวส่วนฉันก็ถูกเรียกว่าคลอว ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าเราเป็นเพื่อนกันได้แล้วสิ!!」
「…-พุกิ๋ว-? 」
คราว โซราสดูเหมือนกำลังสับสนอยู่ แต่สำหรับไวเวิร์นที่ให้ความสำคัญกับชื่อแล้ว พอเจอไม้ตายที่บอกว่าชื่อเรียกเสียงเหมือนๆ กันเข้าไปเหมือนจะได้ผลพอตัว
จากนั้นเขาก็ใช้หางฟาดพื้นไปหนึ่งครั้ง ราวกับจะบอกว่า “เฮ้อ เอาเถอะช่วยไม่ได้สินะ”
「ขอบคุณนะ!」
หลังจากเธอกล่าวขอบคุณ คลอเดียก็เริ่มเอื้อมมือไปสัมผัสกับเกล็ดของมัน
ระยะห่างที่ชีลต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าไปถึงได้กลับกลายเป็นศูนย์ทันทีเมื่อเจอผู้หญิงคนนี้
…หรือเพราะเป็นสายเลือดของอัศวินมังกรที่ทำให้พวกเขาเข้ากับไวเวิร์นได้ง่ายกันนะ?
จะว่าไปแอสทริดพี่สาวของเธอก็เข้าแตะตัวของคราว โซราสได้ง่ายๆ เลยนี่นาตอนอยู่เมืองอิชกะ
ไวเวิร์นที่อัศวินมังกรขี่นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นทรัพย์สินของประเทศ แต่ก็อย่างที่เห็น คฤหาสน์ของดยุกดรากูนอทนั้นกลับมีคอกสำหรับไวเวิร์นไว้ดูแลเองถึงสองตัวด้วยกัน
คราว โซราสอาจจะสัมผัสอะไรได้จากสองสาวนี้ก็ได้ เพราะพวกเธอก็โตมาในตระกูลแบบนี้ด้วยนี่เนอะ
「นี่คุณโซระ」
「ว่าไงเหรอ? 」
「เอซ่า…คือฉันหมายถึงฝ่าบาท…เขาได้พูดอะไรเกี่ยวกับมังกรตัวนี้ไหม? 」
「ก็ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกันเขาก็บอกให้ฉันเอาเจ้านี่ให้เขาแล้วน่ะสิ」
「ว่าแล้วเชี่ยว…คือฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่าฝ่าบาทจะมีเจตนาไม่ดี บางครั้งพระองค์ก็มักจะไม่ระวังถึงสิ่งที่ตัวเองพูด โดนชักจูงได้ง่าย แถมบ้ายออีกต่างหาก ถึงจะเป็นแบบนั้นพระองค์ก็เป็นคนดีนะคะ เขาเป็นผู้ที่ให้ความรักกับเด็กพวกนี้อยู่เสมอ และมักจะชอบพูดว่าตนจะต้องกลายเป็นอัศวินมังกรผู้ยิ่งใหญ่ พอได้มาเห็นไวเวิร์นครามแบบนี้ก็คงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวจริงๆ 」
หลังจากที่ไม่เห็นผมตอบอะไรกลับไป เธอก็รีบพูดต่อทันที
「ก็คือฉันไม่คิดหรอกนะคะว่า ฝ่าบาทจะใช้อำนาจของพระองค์ บังคับให้ท่านมอบไวเวิร์นให้กับเขาดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ」
「โฮ่ แบบนี้นี่เอง? 」
ก็จริงว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่ว่าอยากจะได้อะไรต้องได้ เห็นได้จากการที่เขาหลบหน้าดยุดดรากูนอท
หากเป็นพวกหน้าด้านหน้าทนจริง เขาก็คงจะเข้าไปทักทายดยุกดรากูนอทโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่การหมั้นหมายถูกยกเลิกไปแล้ว
「ค่ะ ก็เหมือนที่กล่าว! หากฝ่าบาทถูกมาร์ควิสโครเคียชักจูงไปทำเรื่องไม่ดีอีกฉันจะเป็นคนหยุดเขาให้เองค่ะ! ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฝีมือดาบของฉันก็เก่งกว่าฝ่าบาทนะคะ นอกจากนี้ฉันความสามารถในฐานะอัศวินมังกรก็ดีกว่าเขาด้วย!」
เห็นได้ชัดเลยว่าคลอเดียเคยเป็นว่าที่เจ้าหญิงทอมบอยมาก่อน
ขณะที่ผมคิดเรื่องนั้นอยู่ บุตรสาวดยุกก็เริ่มพูดต่อด้วยสีหน้าที่เศร้าเล็กน้อย
「เพราะแบบนั้น….ฝ่าบาทถึงได้ไม่ชอบฉันเท่าไหร่ค่ะ พระองค์ชอบผู้หญิงที่อ่อนโยน แม้ว่าฉันจะลองพยายามไว้ผมยาว เริ่มใส่ใจกับการพูดและพยายามทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้ แต่สุดท้ายมันก็เปลี่ยนสิ่งที่ฉันเป็นไม่ได้จริงๆ …」
หลังจากที่เธอพูดจบ คลอเดียก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เธอหันซ้ายขวาไปมาด้วยความตระหนก ผมสีบลอนด์ของเธอสะบัดไปมาเหมือนหางที่ตอบสนองความเคลื่อนไหวของเธอ
「ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่น่าเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณมาพูดเลย」
「ไม่หรอกๆ ฉันรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำหลังได้ยินถึงบุคลิกจริงๆ ของเจ้าชายเอซ่า พูดตามตรงนะว่าฉันก็รู้สึกหนักใจไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี หากทางนั้นบังคับให้ฉันส่งตัวคราว โซราสไป ถ้าถึงตอนนั้นฉันคงต้องฝากท่านคลอเดียด้วยแล้วกัน」
「ดะ…ได้เลยค่ะ ไว้ใจฉันได้เลย!!」
จากนั้นคลอเดียก็แสดงสีหน้าที่สดใสออกมา
พอผมเห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกันแฮะ
พี่สาวของเธอแอสทริดก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ถึงพวกเธอจะเป็นถึงบุตรสาวของดยุกผู้ยิ่งใหญ่ แต่พวกเธอก็ไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งหรือผยองออกมาเลย
ถ้าให้ผมเดาตอนแรกก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องผลจิไรอาโอคุส แต่หลังจากได้เห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่ามันเป็นนิสัยจริงๆ ของเธอ
สถานะของพวกเขาก็สูงกว่าผม อำนาจของพวกเขาก็มากกว่าผม แต่พวกเขาก็ยังปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียม ทั้งที่ผมไม่มีอะไรเทียบพวกเขาได้เลย
ช่างแตกต่างจากพวกชนชั้นสูงที่ผมเคยพบมาจนถึงตอนนี้ เพราะคนพวกนั้นไม่ได้เข้าหาผมอย่างเป็นมิตรเท่าใดนัก
เพราะงั้นมันก็เลยอดไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกเป็นมิตรกับคนเหล่านี้
…หากเป็นไปได้ผมก็อยากจะหาทางช่วยจัดการกับคำสาปที่กลืนกินเด็กคนนี้อยู่
ความผิดปกติของเธอยังคงสะท้อนในดวงตาของผม วิญญาณของเธอเริ่มเหือดแห้งไปทุกขณะ
มันเป็นสภาพเหมือนกับตอนที่มิโรสลาฟโดนผมกินวิญญาณจนแทบจะไม่เหลือ
ดังนั้นเหตุผลแรกที่ผมสงสัยเกี่ยวกับอาการของเธอก็คือ เธออาจจะโดนทำอะไรบางอย่างจากคนที่มีความสามารถคล้ายผม
แต่จากที่เห็น ก็ไม่มีใครในตระกูลดยุกทำแบบนี้ได้ แถมคนนอกก็ไม่น่าจะสามารถบุกรุกเข้ามาในตระกูลที่ได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นได้ด้วย เรื่องโดนกินวิญญาณจากคนนอกก็ต้องตัดไป
แล้วทำไมวิญญาณของคลอเดียถึงหายไปกันล่ะ
ทำไมมันถึงได้ลดลงไปทั้งที่ไม่ได้ถูกใครกินเข้าไป
หรือจะเป็นเพราะร่างของเธอไม่สามารถกักเก็บวิญญาณเอาไว้ได้กัน
ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับแก้วในหนึ่งที่มีรูตรงก้น
วิญญาณของคนคนหนึ่งจะสามารถฟื้นตัวได้ถึงแม้มันจะสูญหายไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากมิโรสลาฟ ไม่ว่าผมจะกินวิญญาณเธอไปมากขนาดไหน มันก็จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาหากผ่านไประยะหนึ่ง
นั่นก็หมายความว่าวิญญาณของคลอเดียก็น่าจะฟื้นฟูขึ้นมาทุกวันเหมือนกัน
แต่หากมองว่า การรั่วไหลของวิญญาณเธอนั้นมันมีมากกว่าที่ฟื้นล่ะ มันก็จะกลายเป็นว่าวิญญาณของเธอก็จะค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ
นั่นอาจจะเป็นผลของคำสาปที่กัดกินเธออยู่จริงๆ ก็ได้ ส่วนอาการอื่นๆ ที่ตามมาก็เป็นเพียงผลหลังจากที่วิญญาณเหือดแห้งไป หากคิดตามนี้มันก็จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมปาฏิหาริย์และยาอิลิกเซอร์ถึงส่งผลกับเธอแค่ชั่วคราว ก่อนที่อาการจะกำเริบอีกครั้ง
หากปล่อยไว้แบบนี้สุดท้ายแล้ว วิญญาณของเธอก็จะสูญสิ้นไปจนหมด รูโหว่ที่เกิดขึ้นในตัวของเธอจำเป็นต้องถูกซ่อมแซมเพื่อรักษาคำสาปดังกล่าว…แต่ผมก็ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ด้วยสิ
ไม่รู้ด้วยว่าต้องทำยังไง
สิ่งที่ผมทำได้คือกลืนกิน ไม่ใช่รักษา
หากเป็นแบบนี้ผมคงต้องไปหาคนอื่นเพื่อขอคำแนะนำแทน แต่การจะพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่ผมบอกในตอนแรกจะต้องเริ่มจากตรงไหนกันล่ะ
ผมจะไปอธิบายเรื่องพวกนี้ให้คนอื่นฟังยังไงกัน จะให้ไปบอกว่าผมทดลองมันมาแล้วจากการลองกินวิญญาณคนอื่นก็ไม่ได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ผมได้ยินมาจากลูนามาเรียระหว่างเดินทางอีก อนิม่าของผมเป็นสายพันธุ์ในตำนานอย่างมังกร หากเชื่อมโยงเรื่องวิญญาณตรงจุดนั้นแทนก็จะกระทบถึงเลือดเนื้อผมด้วยดังนั้นจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้อีก
หากปล่อยให้เรื่องหลุดไป ผมคงกลายเป็นเป้าแทน
แต่ถึงจะพูดมาแบบนั้น ผมก็ไม่อยากจะปล่อยอาการของคลอเดียให้เป็นแบบนี้ต่อไปอยู่ดี
เฮ้อ ให้ตายสิ จะทำยังไงดีนะ?!
หรือผมควรจะผสมเลือดตัวเองกับน้ำอสุจิแล้วให้เธอดื่มดีนะ ส่วนตัวผมมองว่ามันน่าจะได้ผลนะ
ลูนามาเรียกับชีลที่หลับนอนกับผมมาก็เป็นคนบอกเองว่าพลังของพวกเธอเพิ่มขึ้นจากเรื่องนี้ด้วย
แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้พวกเธอเลเวลเพิ่มและก็ไม่ได้ช่วยเติมเต็มวิญญาณของพวกเธอด้วย แต่อย่างน้อยมันก็ใช้แทนอิลิกเซอร์ได้บ้าง
แต่ปัญหามันก็ยังไม่ถูกแก้อยู่ดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะทำยังไงไม่ให้วิญญาณของเธอรั่วไหลออกจากร่างไปได้อีก
….หรือว่าผมควรจะใช้วิญญาณของผมถ่ายโอนเข้าไปในร่างของคลอเดียแทน
ก็จริงว่าผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน และก็ไม่เคยคิดจะลองด้วย
นั่นก็เลยทำให้ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมและก็รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากนั้น
หากผมถ่ายโอนวิญญาณจำนวนมากให้กับเธอ ภาชนะกักเก็บวิญญาณภายในร่างของเธออาจจะแตกสลายไปแทน
นอกจากนั้น ริมฝีปากของพวกเราทั้งสองต้องสัมผัสกันด้วยขณะถ่ายโอนวิญญาณเข้าไปในร่าง ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะลองก็ลองได้ หากดยุกดรากูนอทรู้ผมคงโดนฆ่าทิ้งเอาแน่
จริงสิ…ถ้างั้น…ผมลองใช้ลูน่าดูก็ได้นี่…ไม่สิเอาเป็นมิโรสลาฟแทนแล้วกัน รอหลังผมกลับไปที่เมืองอิชกะก่อน
หากมันได้ผลกับมิโรสลาฟ ผมค่อยกลับมาที่เมืองหลวงแล้วคุยกับดยุกดู…แต่ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ไว้ตอนตกดึกผมค่อยแอบเข้าไปจัดการตอนเธอหลับแทนแล้วกัน ถ้างั้นผมก็ควรจะหาช่องทางลักลอบเข้ามาเสียแต่ตอนนี้เลยสินะ
…ให้ตายเถอะ พอมาคิดๆ ดูนี่มันก็คือการที่ผมพยายามบุกรุกเข้าไปในห้องของเด็กสาวคนหนึ่งเลยนี่หว่า
พอผมคิดเรื่องพวกนี้ไปเรื่อยๆ พวกผมก็เดินทางกลับกันมาถึงคฤหาสน์ ที่นั่นมีเหล่าเมดได้ออกมารอต้อนรับพวกเราด้วยสีหน้าที่กังวล
เหตุผลที่คลอเดียไม่พาพวกเธอออกไปด้วยก็น่าจะเป็นเพราะไม่อยากจะให้พวกเขารบกวนคราว โซราส เป็นเด็กดีจริงๆ เลยน้าเด็กคนนี้
ทางผมก็ควรจะรีบกลับไปที่เมืองอิชกะได้สักที เพราะดูจากสภาพของคลอเดียผมคิดว่าตอนนี้ยังพอจะมีเวลาอยู่บ้าง
…แต่แล้วในวันต่อมา ผมก็พบว่านั่นเป็นเพียงการมองโลกในแง่ดีของผมเองเท่านั้น
———
Note 1 : ทดลองกับชีลกับลูน่า ไม่ ทดลองกับมิโร ช่ายยยยยย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code