การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 63 อาภรณ์วิญญาณปะทะอาภรณ์วิญญาณ
ตอนที่ 63 อาภรณ์วิญญาณปะทะอาภรณ์วิญญาณ
「โซระ โซระ….โซระอย่างงั้นหรือ? โฮ่โฮโฮ่? 」
ชายชราดูสนใจมากเสียจนตนหรี่ตาอันมืดบอดของเขาหลังคลอเดียตะโกนชื่อนั้นออกมา
สำหรับชายชราที่รับใช้ตระกูลมิตสึรุกิมาหลายปี โซระนั้นเป็นชื่อที่เขาได้ยินอยู่บ่อยครั้ง
ในฐานะบุตรชายแสนไร้ค่าของนักบุญดาบผู้ยิ่งใหญ่ โซระ มิตสึรุกิ
「ที่แท้ก็หนีมาจบที่อาณาจักรคานาเรียหรือนี่ แต่ว่า…」
ชายชรายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เพราะพลังคิที่สัมผัสได้จากคนผู้นี้ช่างรุนแรงเหลือเกิน
กระแสของคิภายในตัวเขามันสามารถสั่นสะเทือนอากาศได้เลย
จนทำให้คิดไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกับคนที่ไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบได้
พลังคิที่เอ่อล้นออกมานั้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับอาภรณ์วิญญาณแล้วอย่างแน่นอน
และวิชามายาดาบเดียวไม่ใช่ศาสตร์ที่จะสอนให้กับบุคคลภายนอก ใครก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับมายาดาบเดียว ก็ย่อมไม่มีทางจะใช้อาภรณ์วิญญาณได้ด้วย
นั่นก็หมายความว่า โซระคนนี้ คือโซระที่เขานึกถึงจริงๆ
แต่โซระคนที่เขานึกถึงนั้นไม่ได้ร่ำเรียนในศาสตร์มายาดาบเดียวอย่างเป็นทางการมาก่อน ดังนั้นการที่คนแบบนี้จะได้รับอาภรณ์วิญญาณมาย่อมเป็นสิ่งที่แทบจะเชื่อไม่ได้
แล้วชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข
ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจชายชราคิด
ชายชราไม่เคยพบเจอกับโซระมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความผูกพันทางอารมณ์ความรู้สึกอะไรต่อเขา เขาก็เป็นเพียงทายาทที่ถูกท่านผู้นำตระกูลขับไล่ไป
แต่ถึงแบบนั้น หากตัวโซระผู้นี้สามารถปีนกลับขึ้นมาจากหุบเหวและสำเร็จวิชาจนได้รับอาภรณ์วิญญาณจริง อย่างน้อยเขาก็ควรจะได้รับความเคารพต่อข้อเท็จจริงนั้น
เพราะนี่ก็เป็นเส้นทางที่ชายชราตัดสินใจจะเลือกเดินด้วยตัวเองเหมือนที่ผ่านๆ มา
「ท่านโซระ มิตสึรุกิ ยินดีที่ได้พบ ข้าคือหนึ่งในนักรบแห่งธงแห่งผืนป่า พวกเขาเรียกข้าว่า จินโบ ต้องขออภัยที่ในตอนแรกข้าไม่ทราบว่าท่านคือใครจึงไม่ได้บอกนามของตนไป 」
การพูดของเขาเปลี่ยนไป—จินโบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพอย่างสูงสุด
แต่ก็แน่ละว่าตนที่เป็นฝ่ายเข้ามาโจมตี หากเป็นจุดของฝั่งนั้นแล้วการได้เห็นคนของตระกูลดยุกและเหล่าข้ารับใช้ล้มลงกับพื้นไปหมดต่อหน้า ก็เป็นเรื่องธรรมดาหากตัวของเขาจะถูกปฏิบัติด้วยลักษณะตรงกันข้ามแทน
หากจะถูกเมินคำพูดก็คงช่วยไม่ได้
ดังนั้นจินโบจึงได้พูดต่อเพื่อให้อีกฝ่ายตอบสนองคำของตน
「ว่าแต่ คำแนะนำที่ข้าให้เกี่ยวกับคลอเดีย ดรากูนอทนั้นสุดท้ายเชื่อมโยงกับพี่สาวนางอย่างแอสทริด ดรากูนอทหรือไม่? 」
แอสทริดที่ได้ยินแบบนั้นก็สะดึ้งขึ้นก่อนจะมองไปที่จินโบ จากนั้นค่อยหันกลับไปมองโซระอีกที
โซระทำเพียงแค่ยังไหล่เบาๆ เป็นการตอบกลับ
「ก็แน่สิ หากมันมาจากปากของอาชญากรที่ก่อเหตุเสียเอง หากเขาอ้างถึงท่านแอสทริดว่าเธอเป็นคนร้าย มันก็หมายความว่าจริงๆ เธอย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว」
「ฮิฮิฮิ! ช่างท่านมีสายตาที่เฉียบคม ดูเหมือนว่าคนที่สู้ไม่ได้แม้กระทั่งนักรบเขี้ยวมังกรแล้วถูกเนรเทศจากเกาะจะเติบโตขึ้นมาบ้างแล้วสิ」
จากนั้นโซระก็พูดตอบโต้เสียงเยาะเย้ยอันหยาบคายนั้น
「หืม กำลังพูดถึงเรื่องโดนเนรเทศจากเกาะงั้นเหรอ ถ้างั้นเราทั้งคู่ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วสิ เพราะระหว่างฉันกับแกก็ไม่น่าต่างกันเท่าไหร่นะ」
「ฮิฮิฮิฮิ! ไม่เหมือนกันสักหน่อย นี่ท่านกำลังจะบอกว่าตัวข้าซึ่งได้รับความไว้วางใจให้ลงมือพิชิตอาณาจักรคานาเรียด้วยตัวคนเดียว เหมือนกับท่านงั้นหรือ? นี่ทำกำลังพูดอะไรไร้สาระอยู่กันแน่ หรืออยากจะให้ข้าสอนท่านถึงความเขลาตนกัน」
「หา? นี่แกคิดจริงเหรอว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของตระกูลมิตสึรุกิ หากแกมีความสามารถจริง ไม่มีทางหรอกที่ตระกูลจะยอมปล่อยออกมาจากเกาะได้」
หลังจากโซระพูดเช่นนั้น เขาก็จ้องมองจินโบวด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดต่อ
「ภายใต้การนำพาแห่งนักบุญดาบ กองกำลังทางการทหารของตระกูลมิตสึรุกิทั้งหมดซึ่งเป็นผู้ใช้เคล็ดวิชามายาดาบเดียวซึ่งสังกัดในธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าเพื่อปกป้องเกาะ ไม่ให้เหล่ามอนสเตอร์จากประตูปีศาจหลุดรอดออกไปได้จากเกาะ จะมีก็เพียงไม่กี่เหตุผลเท่านั้นที่คนเหล่านี้จะออกมาจากเกาะได้ โดยหนึ่งในนั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจจะต่อสู้ได้อีก ไม่ก็คนที่มีอาภรณ์วิญญาณไม่ถึงขั้นที่จะสามารถรับมือกับการต่อสู้ที่เกิดภายในเกาะได้」
พวกคนประเภทนี้แหละจะได้รับภารกิจให้ออกไปนอกเกาะ
ถึงคนพวกนี้จะสู้กับตัวบนเกาะไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีพลังพอจะสู้กับมอนสเตอร์ด้านนอกเกาะ แน่นอนว่ารวมไปถึงมนุษย์ด้วย
หรือแม้จะเป็นเพียงเศษสวะของเกาะ ก็ยังพอจะหาทางใช้ประโยชน์จากมันได้บ้าง
ในขณะที่คนพวกนี้กำลังทำการสะสางคำขอยุ่งยากของจักรวรรดิ การป้องกันเกาะนั้นก็จะถูกยกให้กับพวกที่มีความสามารถแทน นั่นแหละคือสิ่งที่โซระรู้ซึ้งถึงมันดี ว่าผู้นำตระกูลรุ่นปัจจุบันเป็นคนแบบไหน
「แล้วตอนนี้แกก็มายืนอยู่ตรงนี้ไง ด้วยพลังตอนนี้นี่เป็นสิ่งเดียวที่แกจะทำได้ มันต่างอะไรกับฉันที่โดนเนรเทศออกจากเกาะมากันล่ะ ไอ้คนโดนลดตำแหน่ง? 」
「ฮิฮิ ไร้สาระ ข้ามีเลเวลถึง 73 เลยนะ ถึงจะหยาบคายไปบ้างที่ข้าคงต้องขอพูดว่าท่านไม่มีอะไรเทียบเคียงข้าได้เลยนายน้อย」
「ถ้าดูจากอาภรณ์วิญญาณของแกแล้ว การใช้เสียงกับคำสาปดูเหมือนจะเป็นความสามารถพิเศษของแกสินะ」
「……หืม? 」
「ถ้าหากการโจมตีของแกจากสุสานมันมาถึงคฤหาสน์ได้ขนาดนั้น ทำไมแกถึงไม่ได้เป็นที่ต้องการของเกาะกันล่ะ ทั้งที่เกาะก็ขาดพวกโจมตีระยะไกลแท้ๆ เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะพลังของแกน่ะ ใช้ไม่ได้ผลกับพวกที่มีพลังคิอยู่เป็นจำนวนมากใช่ไหมล่ะ」
「……」
「พื้นฐานแล้วคิก็คือมานาที่สร้างขึ้นมาจากร่างของตน สกิลที่ใช้ไม่ได้แม้กระทั่งกับฉัน พวกมอนสเตอร์บนเกาะที่มานาภายในร่างมีเป็นถังก็คงไม่ต้องพูดถึง สรุปก็คือแกน่ะสามารถทรมานได้แค่สิ่งมีชีวิตที่มานาอ่อนแอกว่าแกเท่านั้นเอง ดังนั้นไม่ว่าเลเวลของแกจะเยอะขนาดไหน ก็ไม่มีเหตุผลให้ฉันต้องกลัวคนแบบแกเลยสักนิด」
โซระพูดออกมาอย่างชัดเจน
จากนั้นเขาก็สะบัดดาบสีดำในมือเขาจนเกิดประกายแสงสีดำ
วินาทีถัดมา เสียงที่เหมือนกับเครื่องปั้นกว่าร้อยชิ้นซึ่งแตกพร้อมๆ กันก็ดังขึ้นมาภายในสวนของดยุก
◆◆◆
ที่มาของเสียงนั้นก็คือเสียงแตกของกำแพงสีดำอย่างกาโควไซซึ่งสร้างขึ้นมาจากมานาของจินโบ
นั่นคือ “วายุ” การโจมตีระยะไกลของโซระที่ฟันออกมา
เศษของกำแพงที่แตกออกมาเป็นชิ้นๆ ได้ร่วงสู่พื้นและสลายไปราวกับหิมะที่ละลาย
จินโบวเบิกตาที่มืดบอดของตนกว้างขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแตกสลายเป็นชิ้นๆ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แต่ก็ไม่มีเวลามากพอจะให้แปลกใจนานนัก
โซระกำลังพุ่งเข้ามาโจมตีเขาด้วยดาบสีดำตรงบริเวณที่กำแพงของเขาถูกทำลายไป
และเนื่องจากตอนนี้ร่างของเขากำลังพิงอยู่ที่กำแพงของคฤหาสน์ดยุก จึงทำให้เขาไม่มีมุมให้ถอยหนีอีกแล้ว เขาจึงต้องใช้บิวะ หรืออาภรณ์วิญญาณของเขา ชิซุกะ โกเซ็นในมือมารับการโจมตีนั้นแทน
ในวินาทีที่อาภรณ์วิญญาณทั้งสองปะทะกันชิซุกะ โกเซ็นก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
นี่คือการโจมตีกลับอัตโนมัติของชิซุกะ โกเซ็น อีกทั้งมันยังรุนแรงกว่าการโจมตีที่ใช้กับพ่อลูกดรากูนอทอีกด้วย
หากเป็นคนทั่วไป แก้วหูก็น่าจะระเบิดไปนานแล้วก่อนจะลงไปกองกับพื้นด้วยความทรมานจากเลือดที่ไหลจากหูของพวกเขา
ทว่า โซระกลับต้านทานการโจมตีกลับนั้นได้ นอกจากนี้เขายังไม่สนใจเสียงของมันเลยด้วยซ้ำ
มันเหมือนกับที่โซระบอกไว้ ชิซุกะ โกเซ็นนั้นเป็นการโจมตีด้วยเสียงที่ไม่มีผลกับสิ่งมีชีวิตที่มีพลังคิจำนวนมาก
หากปล่อยไว้แบบนี้ข้าแพ้แน่ นั่นคือสิ่งที่ชายชราคิดในวินาทีที่อาภรณ์วิญญาณปะทะกัน แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ส่งเสียงหัวเราะอันแหลมสูงออกมาจากปากตน
「ฮิฮิฮิ! น่าสนุก น่าสนุกจริงๆ ข้าที่เป็นฝ่ายเอาแต่เล่นกับคลอเดีย ดรากูนอทด้วยความสนุกสนานมาถึงตอนนี้ ต้องพบกับปัญหาเสียแล้วสิ โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุม นี่แหละหนอคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราสนุกขึ้น! เข้ามาสิจากนี้ข้าจะเผชิญหน้ากับท่านด้วยพลังทั้งหมดที่มีเอง!」
หลังจากที่จินโบวพูดจบ เขาก็หอนออกมาจนมีเสียงเหมือนมอนสเตอร์นกชนิดหนึ่ง
จากนั้นร่างของโซระก็ปลิวไปข้างหลังราวกับว่ามีบางอย่างกำลังพลักเขาอยู่
จินโบวกำลังโจมตีโซระด้วยการระเบิดพลังคิ ในระยะเผาขน
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จินโบจะสามารถใช้ท่าพื้นฐานของคิได้ ในเมื่อโซระก็ยังใช้ได้เช่นกัน
แน่นอนว่ามันสร้างความเสียหายให้กับโซระได้น้อยมาก แต่จินโบก็หาได้สนใจ สิ่งที่สำคัญในตอนนี้สำหรับเขาก็คือการสร้างระยะห่างระหว่างเขากับโซระ ก่อนที่โซระจะทรงตัวได้ใหม่ จินโบวก็เริ่มร่ายมนตร์บทถัดไปของเขาแล้ว
「『อัศวินทหารม้าเหล็กนับล้าน แม้จะนำทัพด้วยม้าแก่และบาดเจ็บที่สุดขอบแดน』」
มันเป็นบทร่ายที่รวดเร็ว และแม่นยำ เหนือกว่าสิ่งอืนได้คือความสละสลวยของประโยคร่าย มานาเริ่มเข้ามารวมกันจนก่อตัวเป็นเวทมนตร์อย่างเป็นระเบียบ
หากมีจอมเวทอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็คงจะชื่นชมการร่ายมนตร์ของจินโบไปแล้วและเขาคงกลายเป็นจอมเวทที่เหล่าจอมเวททุกคนอยากจะไปถึง
「『แม้ไร้ซึ่งอาวุธ อาหาร น้ำ แต่ธงที่โบกสะบัดก็ยังจะไม่สั่นคลอน นี่คือกองทัพแห่งอัศวิน และคำสาบานแห่งการปฏิวัติ ผนังที่ถูกปูด้วยกระเบื้องและก่อด้วยหินแกรนิต ป้อมปราการที่ยากจะย่างกราย-กาโควไซ!』」
หลังจากที่เขาร่ายจบ กำแพงสีดำ ไม่สิป้อมปราการสีดำก็ปรากฏขึ้นโดยมีจินโบเป็นศูนย์กลาง
มันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการละร่ายกับการร่ายจนจบบทร่าย ความแข็งแกร่งของปราการและความหนาของมันที่สร้างขึ้นโดยจินโบว มันช่างแตกต่างกับกำแพงก่อนหน้านี้ที่สลายไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงมันจะเล็กไปบ้างแต่ก็สามารถเรียกว่าป้อมปราการได้
「นี่คือโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า เนื่องจากข้าสร้างมันด้วยมานาจำนวนมาก อย่าคิดว่าจะทำลายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวอีกล่ะ ด้วยสิ่งนี้แหละการโจมตีของท่านจะไม่มีวันมาถึงข้าแน่นอน ในขณะที่ตัวข้ายังสามารถโจมตีท่านได้เช่นเดิม」
จินโบหัวเราะออกมาเสียงดัง
「ฮิฮิ ว่าไงล่ะนายน้อย ท่านบอกว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวข้าในตอนนี้เลยใช่ไหม อย่าได้คิดว่าจะโค่นข้าได้ง่ายๆ หลังจากเห็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังข้าสิ มิเช่นนั้นท่านคงจะเป็นเพียงพวกที่มองภาพมุมกว้างไม่เป็นเลย ก็จริงอยู่ว่าอาภรณ์วิญญาณของข้ามีความสามารถที่จำกัด แต่ข้าก็สามารถชดเชยมันด้วยสกิลที่มีได้ แถมข้าไม่เคยบอกเลยด้วยว่าข้ามีเพียงความสามารถแค่อย่างเดียว!」
จากนั้นจินโบก็เริ่มร่ายมนตร์บทถัดไป
「『ต้นไม้ที่ผุพัง ผืนหญ้าที่เหี่ยวเฉา แผ่นดินที่เน่าเปื่อย』」
ในเวลาเดียวกันกับที่ชายชรากำลังร่ายมนตร์ ก็มีเสียงร่ายมนตร์ที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นมาพร้อมกัน
「『เลือดที่กำลังเดือด เส้นผมที่ถูกเผาไหม้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความพิโรธ』」
มันคือเสียงที่เกิดมาจากอาภรณ์วิญญาณของเขา ชิซูกะ โกวเซ็นมันกำลังเริ่มร่ายมนตร์เช่นเดียวกับที่จินโบวทำ
「『ขี้เถ้ากำลังเต้นรำ เมียสม่าที่ลอยคลุ้ง』」
「『ปราสาทอันสูงศักดิ์ เก้าอี้แห่งโครงกระดูก ธงแห่งการปฏิวัติที่โบกสะบัด ของขวัญแก่เหล่านักฆ่าผู้ร่วงหล่น』」
มันเป็นการร่ายประสาน นี่คือความสามารถหนึ่งของอาภรณ์วิญญาณของจินโบว
「『เกิดการปะทุแห่งความเสื่อมโทรม―― การพังทลายแห่งผืนดินที่แปดเปื้อน』!」
「『ดวงตาสีเลือดและมือที่ลุกโชน จงมอบอ้อมกอดแห่งความตายให้กับศัตรูของข้า――องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง!』」
เวทมนตร์ดินที่แท้จริงระดับ 7 ถูกร่ายออกมาหลังจากจินโบร่ายเสร็จ และสวนที่อยู่บริเวณคฤหาสน์ของดยุกก็เริ่มผุพังไปด้วยความรวดเร็ว
จุดศูนย์กลางของมันเริ่มที่ กาโควไซ ผืนดินโดยรอบได้กลายเป็นโคลนไปหมดแล้ว
แม้กระทั่งทางเดินหินที่ทอดยาวไปจนถึงคฤหาสน์หรือประตูเหล็กก็ไม่รอดพ้นจากการผุพังนี้มันพวกกลายเป็นของที่คล้ายดินเหนียวไปหมดแล้ว
หญ้าสีเขียวที่สวยงามในสวนก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงและเหี่ยวเฉาในพริบตา จนทำให้พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นที่แสบจมูก
จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของเหล่าข้ารับใช้ตระกูลดยุกดังขึ้นในอากาศ
เพราะสวนที่เน่าเปื่อยได้กลายเป็นหนองน้ำไร้ก้นซึ่งกำลังลากผู้คนลงไปข้างล่าง สภาพร่างของพวกเขาตอนนี้ก็เหมือนกับแมลงติดกับ ยิ่งพวกเขาพยายามขยับมากเท่าใด ร่างของพวกเขาก็จะโดนดูดลงไปลึกเท่านั้น
และถึงพวกเขาอยากจะวิ่งหนีไป มันก็ไม่มีที่จะให้หนีอีกแล้วเนื่องจากทั่วทั้งสวนถูกทำลายด้วยเวทของชายชราคนนี้
โซระก็ได้รับผลกระทบจากมันเช่นกัน
นอกจากนี้ ตัวเขายังต้องรับมือกับแขนแห่งเปลวเพลิงกว่าสิบแขนที่พุ่งออกมาจากชิซูกะ โกเซ็นอีกด้วย
หากโซระเสริมพลังตัวเองด้วยคิแหละหนีไป ก็น่าจะหลบพ้นได้ไม่ยาก
แต่โซระก็รู้ดีว่าหากทำแบบนั้น เปลวเพลิงพวกนี้ก็จะเล็งไปยังคนที่เหลือแทน โดยเฉพาะดยุกดรากูนอทกับลูกของเขา
พอเห็นโซระที่เป็นเช่นนั้น ปากของจินโบก็เปิดออกมาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code