การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 85 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า (บทปลาย)
ตอนที่ 85 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า (บทปลาย)
「ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมาเถอะ สิ่งที่คลิมพูดมามันก็ไม่ได้ผิด ดังนั้นก็ให้เรื่องมันแล้วกันไปดีกว่า」
ไคลอาเงยหน้าขึ้นมาตามที่โกซุบอกด้วยความโล่งอก
「ขอบคุณค่ะ ชิบะ อันที่จริงถ้าเป็นไปได้หากท่านบอกฉันเรื่องเกี่ยวกับคุณโซระให้ฟังด้วยจากนี้ ฉันจะรู้สึกขอบคุณมากเลยค่ะ」
「……หืม? 」
โกซุรู้สึกตกใจ
จากที่เขารู้มา สองพี่น้องนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอะไรมากกับโซระเลย จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เห็นไคลอารู้สึกสนใจความเป็นไปของโซระ
อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่โกซุ ทางคลิมเองก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
「เดี๋ยวทำไมท่านพี่ถึงต้องไปสนใจอะไรโซระนั่นด้วยล่ะ นอกจากนี้ก็ไม่เห็นจะต้องเรียกแบบให้เกียรติคนที่ถูกเนรเทศไปเลยนี่นา」
「ก็จริงว่าเขาถูกเนรเทศไปแล้ว แต่ความเป็นจริงเราก็ยังเคยเรียนรุ่นเดียวกันกับเขานี่ นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยล้อเล่นอะไรพวกเราเกี่ยวกับดวงตา เส้นผม หรือเรื่องที่เราเป็นเพียงเด็กที่ถูกตระกูลเบิร์ชรับมาเลี้ยงด้วย」
ผมสีขาวดวงตาสีแดง หรือที่ถูกเรียกกันว่าพวกเผือก ทั้งสองมักจะถูกห้อมล้อมไปด้วยสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็นมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้พอพวกเขาอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นคนระดับสูงของตระกูลเบิร์ช ก็ไม่พ้นการต้องถูกกลั่นแกล้งหรือรังแก
ทว่าโซระกลับปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมแม้ว่าตนจะเป็นถึงทายาทของตระกูลมิตสึรุกิก็ตาม
แม้มันจะเลือนรางไปบ้าง แต่เธอก็ยังจำได้ว่าโซระเคยไล่พวกเด็กนิสัยไม่ดีที่มาแกล้งเธออยู่หลายครั้งในอดีต ตอนเธอยังอายุเพียง 5 หรือ 6 ขวบ
ในอดีตถึงเธอจะมีความรู้สึกกลัวและยำเกรงต่อตระกูลมิตสึรุกิมาก นอกจากนี้เธอยังจำเป็นต้องใช้เวลาไปกับการเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อให้ตระกูลเบิร์ชที่รับเธอมาเลี้ยงดูยอมรับอีก เธอจึงไม่มีโอกาสหรือเวลาที่จะได้สานสัมพันธ์อะไรกับเขาต่อ จึงทำให้ทุกอย่างจบแค่เพียงพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันเท่านั้น แต่สุดท้ายไคลอาก็ไม่เคยลืมบุญคุณที่โซระมีต่อเธอเลย
บุญคุณดังกล่าวไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อตระกูลมิตสึรุกิแต่เป็นเพียงแค่ตัวตนของโซระเท่านั้น แม้ว่าเขาจะถูกเนรเทศออกไปแล้วความรู้สึกนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
「นี่นายจำไม่ได้จริงๆ เหรอ? 」
「…หือ นี่ท่านพี่กำลังจะพูดอะไรกันแน่น่ะ」
พอมองไปยังน้องชายของเธอพยายามหลบสายตาแล้วหันหน้าไปทางอื่น ไคลอาก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อ
「เหตุผลที่ฉันอยากจะรู้ว่าคุณโซระเป็นยังไงบ้าง ก็เพราะคิดว่าอายากะอาจจะอยากรู้ค่ะ」
「อาซึระอิเหรอ?」
คลิมรู้สึกสับสนขึ้นมาเพราะชื่อดังกล่าวได้ออกมาจากปากของพี่สาวเขา
อายากะ อาซึระอิ เธอเป็นศิษย์สำนักรุ่นเดียวกันกับพี่สาวของเขาและโซระ และเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า คลิมไม่เคยเอาชนะเธอได้ในการแข่งขันมาก่อนเลย
ทำไมอยู่ดีๆ พี่สาวของเขาถึงพูดชื่อนี้ขึ้นมาล่ะ คลิมไม่เข้าใจเลยสักนิด
ก็จริงว่าเขารู้เรื่องที่อายากะเคยเป็นคู่หมั้นกับโซระ แต่ว่าหลังจากโซระถูกเนรเทศออกไป อายากะก็ได้หมั้นกับรากุนะ มิตสึรุกิที่กลายเป็นทายาทคนใหม่แทนที่โซระ ความสัมพันธ์กับโซระของเธอก็น่าจะถูกสะบั้นไปหมดแล้วด้วย
เนื่องจากคลิมจะไม่ได้อยู่ธงเดียวกันกับพวกเขา แต่จากข่าวลือที่ได้ยินมาก็ไม่เห็นว่าอายากะกับรากุนะจะไม่ลงรอยอะไรกัน
「ทำแบบนั้นไปจะดีเหรอ เดี๋ยวคนของรากุนะรู้เข้าจะเป็นเรื่องเอานะ」
「ท่านรากุนะไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก แต่ก็นั่นสินะ บางทีฉันอาจจะทำอะไรไม่เข้าเรื่องไปจริงๆ ……」
เมื่อได้ยินน้องชายเธอบอกแบบนั้น ไคลอาก็ตอบรับเหมือนกับว่าเธออาจจะคิดผิดไปจริงๆ ก็ได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้มันติดอยู่ในหัวของเธอมาโดยตลอด
ในบรรดาศิษย์สำนักรุ่นทองคำ มีผู้หญิงอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คน และความสัมพันธ์ของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าดีมาก แม้พวกเธอจะแยกกันไปอยู่คนละธงแต่พวกเธอก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ
เพราะงั้น ไคลอาก็เลยรู้เรื่องของอายากะกับรากุนะดีกว่าน้องชายของเธอ
จากที่เธอรู้ ทั้งสองคนก็ไปกันได้สวย อายากะไม่เคยพูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับรากุนะให้เธอฟัง นอกจากนี้เธอก็ไม่เคยพูดความรู้สึกเสียใจที่มีต่อโซระออกมาเหมือนกันและตลอด 5 ปีที่ผ่านมาชื่อของโซระก็ไม่เคยออกมาจากปากของอายากะเลย
――แต่ก็เพราะแบบนี้แหละเธอเลยรู้สึกกังวล
จากสายตาของไคลอา เพื่อนของเธออย่างอายากะ อาซึระอิเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น นิสัยดีจริงใจ และเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาของเธอหรือคนรอบข้าง
แต่คนแบบเธอน่ะเหรอ ที่จะไม่รู้สึกสนใจเกี่ยวกับอดีตคู่หมั้นที่ถูกเนรเทศออกเกาะไป?
ในความทรงจำของเธอ อายากะนั้นมีความผูกพันกับโซระเป็นอย่างมากตอนที่เขายังอยู่บนเกาะ เธอรู้สึกโกรธมากหากได้ยินใครมาบ่นถึงความไม่เหมาะสมกันระหว่างพวกเขาทั้งสอง หรือก็คือจริงๆ แล้วอายากะชอบโซระถึงขนาดที่ว่าโกรธแทนเขาได้หากมีใครมาพูดแย่ๆ กับเขาและไคลอาก็เห็นว่าเมื่อเธออยู่ด้วยกันกับเขา เธอจะแสดงสีหน้าที่ดูมีความสุขออกมาเสมอ
ขนาดตัวไคลอาเองก็ยังรู้สึกอิจฉาในความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลย ดังนั้นสิ่งที่อายากะทำหลังจากโซระถูกเนรเทศออกไปจึงดูไม่เป็นธรรมชาติมากในสายตาเธอ
ถึงตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอจะไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมันคือการตัดสินใจของผู้นำตระกูล เขาคงไม่มีทางจะรับตัวโซระกลับเข้าตระกูล และเธอก็คงไม่มีทางติดต่อกับโซระที่ออกจากเกาะไปแล้วได้แน่ๆ ในตอนแรกไม่มีใครคิดหรือรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
ด้วยเหตุนี้เองไคลอาก็เลยไม่ได้คุยกับอายากะเกี่ยวกับเรื่องของโซระตอนอยู่ด้วยกันเลย
แต่ตอนนี้ เธอได้ทราบถึงข่าวของโซระเข้า มันก็เป็นเรื่องธรรมดาหากเธออยากจะเอามันไปบอกกับอายากะ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังพอมีความเป็นไปได้ที่โซระในตอนนี้จะดีพอให้ถูกรับกลับเข้าตระกูล
…แต่ก็นั่นแหละ….เรื่องที่น้องชายของเธอพูด อาจจะจริง เธออาจจะกำลังทำอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่จริงๆ ก็ได้
ในสถานการณ์แบบนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ในขณะที่เธอได้ใช้นิ้วมือลูบไปยังเส้นผมสีขาวของเธอโดยไม่ตั้งใจ ไคลอาก็ค่อยๆ พูดประโยคถัดมาให้คนอื่นฟัง โดยที่เธอคิดและเลือกคำที่จะใช้มาเป็นอย่างดีแล้ว
「….ถึงสุดท้ายแล้วฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกอายากะหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดนี่หากฉันอยากจะรู้เรื่องของคุณโซระ ใช่ไหมล่ะคลิม? แล้วก็ชิบะ หากคุณโซระมีพาหนะที่เรียกว่าไวเวิร์น บางทีเขาอาจจะอพยพไปยังประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องมอนสเตอร์นี่ด้วยก็ได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้ชิบะก็ควรรีบไปเจอเขาเลยจะดีกว่า」
◆◆◆
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็เลยมุ่งหน้าไปยังเมืองอิชกะโดยอาศัยรถม้าในวันรุ่งขึ้น
ที่มาลงเอยแบบนี้ได้ก็เป็นเพราะลิดเดลเสนอว่าทั้งสามคนควรจะเดินทางไปพร้อมกันเลยที่เมืองอิชกะ หลังจากเธอทราบว่าตอนแรกโกซุจะไปแค่คนเดียว
พอไคลอาพูดถึงเรื่องแนวป้องกันอาจจะอ่อนแอลง ลิดเดลก็อธิบายว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปด้วยเหตุผลดังนี้
เธอกล่าวว่า ทางเมืองอิชกะและกิลด์นักผจญภัยตัดสินใจว่าจะให้คนที่คอยรับมือกับการคลุ้มคลั่งนี้ในไม้แรกได้พักกันเสียหน่อย
เพราะในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์มาโจมตีเอาตอนไหน จนทำให้ไม่ได้หลับได้นอน มันก็อาจจะทำลายพลังกายและใจของผู้ป้องกันไปได้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างมาตรการป้องกันไว้ให้ทุกคนได้พักผ่อนบ้าง
ก็จริงว่าในสถานการณ์ปกติหากเอาคนถอยมาจากแนวป้องกัน มันก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ เนื่องจากการซื้อเวลาได้นานพอจึงทำให้แนวป้องกันของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากแล้วจนสามารถทำแบบนี้ได้
นอกจากนี้เบื้องบนของทางเมืองอิชกะก็เหมือนอยากจะให้พวกทหารที่ฝึกมาได้มีประสบการณ์จริงในการป้องกันเมืองและต่อสู้กับมอนสเตอร์ ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมาะสมพอดี
พอได้ยินแบบนั้น ไคลอาก็เลยพอจะยอมรับได้
โกซุก็ได้แต่พูดออกมาว่า “หากคุณบอกพวกเราตั้งแต่เมื่อวานก็คงดีนะ” เหมือนเป็นเรื่องตลกไป
ทางคลิมก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธเมื่อเขาได้รับคำสั่งว่าเขาสามารถพักได้ เพราะคลิมก็มันจะบ่นเสมออยู่แล้วว่ามาฟันหนอนแมลงพวกนี้ไปจะได้อะไร
ดังนั้นก็เลยลงเอยที่ทั้งสามเดินทางไปเมืองอิชกะพร้อมกัน
และเมื่อทั้งสามผ่านประตูเมืองเข้ามา โกซุก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งของเมืองแล้วถามขึ้น
「ตรงนั้นเป็นคอกม้าหรือเปล่าน่ะ แต่จะว่ายังไงดีล่ะมันไม่ใหญ่เกินไปหน่อยเหรอ」
「อ๋อ ตรงนั้นเป็นคอกสำหรับพวกอสูรรับใช้ค่ะเพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์คลุ้มคลั่งขึ้นพวกอสูรรับใช้ก็เลยถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไวเวิร์นครามของคุณโซระก็เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนเหมือนกันค่ะ」
พาร์เฟตเป็นคนตอบด้วยท่าทีที่สบายๆ
เนื่องจากเธอเห็นความสนใจในแววตาของโกซุเธอจึงพูดต่อ
「เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเมืองแล้ว เขาก็เลยใช้สนามหญ้าในบ้านของเขาเป็นคอกแทนค่ะ เพราะไวเวิร์นเป็นที่นิยมในหมู่คนของเมืองนี้ด้วย ฉันก็เลยได้ยินมาว่าพอคนผ่านไปมาที่คอกนั่น ก็มักจะต้องหยุดดูมันอยู่เสมอเลยค่ะ」
「ทั้งที่อยู่ในช่วงนี้คลุ้มคลั่งแบบนี้น่ะเหรอ คนเมืองอิชกะนี่เข้มแข็งกันจังเลยนะ」
「ก็เพราะพวกเขาไว้วางใจในนักผจญภัยและกิดล์ยังไงล่ะคะ」
พาร์เฟตพูดอวดแล้วยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะตบมือเหมือนนึกอะไรได้
「จริงสิคะ พวกเราลองไปเยี่ยมชมบ้านของคุณโซระก่อนจะไปที่กิลด์ดีไหมคะ ถึงเขาจะออกไปสำรวจบริเวณทางใต้อยู่ก็จริง แต่เขาก็มักจะเดินทางกลับมารายงานที่สำนักงานเมืองอยู่บ่อยๆ ด้วย บางทีหากโชคดีเราอาจจะมีโอกาสได้เจอกับเขาด้วยก็ได้นะคะ」
「ได้แบบนั้นก็คงดีเลย ว่าแต่…ทำไมเขาจำเป็นต้องเดินทางไปสำรวจทางใต้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าควรไปทางเหนือหรอกเหรอ หรือว่าทางใต้เองก็เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นเหมือนกัน? 」
「มาสเตอร์ของพวกเราจะเป็นคนบอกรายละเอียดกับเรื่องนี้เองค่ะ ฉันต้องขออภัยด้วยแต่ฉันไม่มีอำนาจในการจะบอกเรื่องนี้ค่ะ」
โซระต้องเดินทางไปค้นหาวิธีการจัดการกับพิษตัวใหม่ที่เกิดขึ้นมาบริเวณแม่น้ำเคล
ทางเมืองอิชกะยังไม่ได้ประกาศถึงเรื่องดังกล่าวให้ผู้คนได้ทราบ
เนื่องจากเรื่องที่ไม่มีวิธีการรักษาจริงๆ ยังไม่ได้ถูกยืนยันแถมตอนนี้ก็มีเหตุคลุ้มคลั่งอยู่ด้วย หากประกาศเรื่องพิษออกไปอีกเดี๋ยวสถานการณ์มันจะวุ่นวายเกินความคุม พวกเบื้องบนกลัวเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
โกซุก็รู้สึกตกใจอยู่หรอกที่พาร์เฟตบอก แต่ในเมื่อสุดท้ายเขาสามารถรู้เรื่องนี้ได้จากตัวกิลด์มาสเตอร์ ก็ไม่มีอะไรต้องไปคาดคั้นเอากับพนักงานต้อนรับ เขาจึงได้พยักหน้าให้กับคลิมเพื่อคุมไม่เข้าคลิมพยายามจะถามอะไรต่อจากนี้ด้วย
「หากเป็นแบบนี้ เดี๋ยวข้าค่อยไปรอฟังจากกิดล์มาสเตอร์ก็ได้ เขาชื่อว่าเอลการ์ดสินะ เอาเป็นว่าตอนนี้ก็ลองไปดูบ้านของท่านโซระก่อนแล้วกัน จะได้รู้ด้วยว่าเขาอยู่บ้านหรือเปล่า ไม่งั้นข้าคงไม่มีสมาธิในการไปคุยกับท่านเอลการ์ดแน่ๆ 」
「เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นรุ่นพี่ฝากด้วยนะคะ!」
ลิดเดลที่กำลังกุมบังเหียนในมือของเธออยู่ก็พยักหน้าและตอบกลับว่า เข้าใจแล้ว เมื่อได้ยินเสียงพาร์เฟต
เธอไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธที่จะพาทั้งสามคนไปบ้านของโซระก่อนไปเจอเอลการ์ดอยู่แล้ว นอกจากนี้พอดูใบหน้าของทั้งสามก็รู้ว่าพวกเขาสนใจเรื่องของโซระมากกว่ากิลด์เสียอีก
ขืนลิดเดลฝืนพาตัวทั้งสามคนไปที่กิลด์ก่อน สุดท้ายมันก็คงจะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้ทั้งสามคนแทน ดังนั้นการทำตามที่รุ่นน้องเธอบอกคงเป็นเรื่องฉลาดกว่า
――ทว่าหลังจากนั้นลิดเดลก็คิดขึ้นมาได้
ว่าหากเธอเลือกที่จะพาพวกเขาไปยังกิลด์ก่อน สถานการณ์มันจะแตกต่างจากตอนนี้ไปมากขนาดไหน
ไม่เพียงเท่านั้น
หากเธอไม่แนะนำให้ทั้งสามมาเมืองอิชกะพร้อมกันและปล่อยให้โกซุมาที่นี่เพียงคนเดียวละก็….
หากพวกเธอไม่ได้สนใจเรื่องจริยธรรมในการรักษาข้อมูลแล้วบอกทุกอย่างให้โกซุรู้เกี่ยวกับตัวโซระ หากเธอได้บอกถึงรายชื่อสมาชิกแคลนดาบควันโลหิต
หากเธอใช้ความพยายามมากกว่านี้ในการอธิบายให้สามคนนี้เข้าใจ
นี่คือความเสียใจอย่างไม่รู้จักจบสิ้นของเธอ เพราะลิดเดลไม่ได้ยินเสียงจากคำเตือนของตัวเธอในอนาคตว่าเธอไม่ควรจะเลือกเดินทางมายังที่บ้านของโซระเลย
ตอนที่พวกเขามาถึงบ้านของโซระ พาร์เฟตก็แสดงเสียงที่ดูผิดหวังออกมาเพราะ ไวเวิร์นไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้
「น่าเสียดาย ดูเหมือนคุณโซระจะยังไม่กลับมานะคะ」
「นั่นสินะ แต่ก็รู้สึกเหมือนจะมีคนอยู่ในบ้านนี่」
ที่ลิดเดลพูดแบบนั้นก็เป็นเพราะเธอเห็นชีลกำลังทำความสะอาดหน้าคฤหาสน์อยู่
จากนั้นไม่นานนักก็มีเอลฟ์ผมบลอนออกมาจากประตู
หลังจากที่โกซุเห็นภาพนั้น เขาก็เปิดปากขึ้นด้วยความสงวัย
「หืม นั่นมันเผ่ามนุษย์สัตว์แมวป่าหรือเปล่า…..แล้วก็เสื้อคลุมที่เอลฟ์คนนั้นใส่…นักปราชญ์สินะ พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของท่านโซระหรือ? 」
「…เอ่อ…จะว่าเป็นข้ารับใช้ก็ได้อยู่หรอกค่ะ」
「ดูมีเอกลักษณ์กันดีนะ ว่าไหมคลิม? 」
「หึ ดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นแค่ข้ารับใช้หรอก ดูยังไงการที่เอาหญิงสาวสวยๆ มาไว้รวมกันแบบนี้มันก็มีวัตถุประสงค์แค่เรื่องเดียวนี่」
คนที่ถูกเนรเทศออกมาจากเกาะได้ 5 ปีอย่างน่าสมเพช ตอนนี้กลับมีพลังมากพอจะหาผู้หญิงมาปรนนิบัติแล้ว
คลิมยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน
「ดูเหมือนหมอนั่นจะมาได้ไกลจริงๆ นั่นแหละ ไอ้เจ้าโซระเวรนั่น นี่ท่านพี่ รีบเอาเรื่องนี้ไปบอกอาซึระอิดีกว่า ถึงเธอจะยังมีความรู้สึกกับเขาอยู่ แต่ถ้าได้ยินเรื่องนี้อาจจะทำให้เธอตัดขาดได้จริงๆ ก็ได้」
「คลิม อย่าได้รับตัดสินอะไรเพียงแค่ที่ตาตัวเองเห็นสิ」
「ก็ได้ๆ งั้นก็ไปถามพวกนั้นตรงๆ เลยแล้วกัน เห้ย รีบๆ เข้าปะ――」
คลิมที่กำลังจะสั่งให้ลิดเดลทำอะไรบางอย่าง อยู่ดีๆ ปากของเขาก็หุบลง
พอลิดเดลมองไปยังใบหน้าของเขาก็เห็นว่าดวงตาของคลิมกำลังเบิกกว้างอยู่
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่รวมไปถึงโกซุและไคลอาด้วย
พอได้เห็นท่าทางแปลกๆ ของทั้งสามแล้ว เธอก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบด้วยเหตุผลบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอามากๆ เธอจึงได้มองไปตามจุดที่สายตาของทั้งสามมองไป สิ่งที่เธอเห็นก็จะเป็นมนุษย์สัตว์ชีล เอลฟ์ลูนามาเรีย
และคนสุดท้าย
มันคือร่างของคิจินสาวที่กำลังเดินออกมาจากประตูอย่างซูซูเมะ
———
Note 1 : ได้บวกกันแน่ๆละทรงนี้ แต่พวกสาวๆจะไหวกันเหรอ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code